ถ้าหากยังไม่ถึง จังหวะ และ โอกาส ที่เหมาะ-ที่ควร...ในอันที่จะทำให้ เพราะสิ่งนี้-สิ่งนี้...สิ่งนี้จึงเป็นไป ความพยายามที่จะเคี่ยวเข็ญ-บังคับ-ขับไส ให้สิ่งนั้น-สิ่งนั้น อุบัติขึ้นมาตามปรารถนาและต้องการของใครต่อใคร คงต้องยอมรับเอาจริงๆ นั่นแหละว่า ไม่เพียงแต่เป็นอะไรที่ออกจะน่าเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า ลำบาก ยากเข็ญ เผลอๆ...อาจหนักไปทางน่าทุเรศ ทุรัง ด้วยเลยก็ไม่แน่!!!
เงื่อน ยากที่จะกำหนดห้วงระยะเวลาได้แบบเป๊ะๆๆ ผู้ที่เพียรกระทำ กรรมดี แต่ยังไม่ได้รับผลตอบสนอง เลยต้องชักสะพานแหงนถ่อ รอคอย ไปจนเกิดความอึดอัดขัดข้องใจขึ้นมาจนได้ ถึงขั้นต้องหันไปด่าผี-สาง
-เทวดา หันไปด่า พระผู้เป็นเจ้า เอาเลยก็ยังมี ส่วนผู้ที่พลั้งเผลอ พลั้งพลาด หรือมุ่งมั่นเจตนาที่จะสร้าง กรรมชั่ว ทั้งหลาย แต่ก็ยังไม่ถึงกับต้องได้รับผลตอบสนองแบบสมน้ำ-สมเนื้อ ก็เลยชักจะคล้อยตาม หรือชักเชื่อๆ ขึ้นมามั่งแล้วว่า ทำดี-ได้ดีมีที่ไหน? ทำชั่วได้ดี-มีถมไป จนต้องกลายเป็นหน้าที่ของผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ ไม่ว่าตั้งแต่พระสงฆ์ องคเจ้า ไปจนคนทรง นักแก้กรรม-สแกนกรรม ฯลฯ โน่นเลย ที่พยายามแจกแจงรายละเอียดถึงความสลับซับซ้อนดังกล่าวไปตามมี-ตามเกิด...
ส่วนใครจะเชื่อ-ไม่เชื่อ...ในคำชี้แจงอธิบายของบรรดาผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ แต่ละราย แต่ละประเภท อันนั้น...ก็คงต้องว่าไปตาม รสนิยม ของใคร-ของมันเอาเองก็แล้วกัน แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...ด้วยความเป็นไปของ กฎเกณฑ์ธรรมชาติ หรือถ้าจะเรียกว่า กฎวิทยาศาสตร์ ก็น่าจะได้ อะไรที่มันมีที่มาจาก เหตุ ใดๆ มันก็น่าจะส่ง ผล ให้เป็นไปตามนั้น อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้เลย หรือแบบที่เคยบอกๆ เอาไว้แล้วนั่นแหละว่า เมล็ดข้าว มันย่อมต้องเติบโต ออกดอก ออกผล ไปเป็น ต้นข้าว อย่างมิน่าจะเปลี่ยนไปเป็นอื่น ผลมะม่วง ย่อมเจริญงอกงามเป็น ต้นมะม่วง ไม่ใช่ต้นมะพร้าว ต้นทุเรียน ต้นยาง หรือต้นอะไรต่อมิอะไรอยู่แล้วแน่ๆ หรือแบบที่นักวิทยาศาสตร์เขาพยายามอรรถาธิบายถึงความเกี่ยวข้อง สัมพันธ์ ระหว่าง พลังงานจลน์ กับ พลังงานศักย์ อะไรทำนองนั้น คือไม่ว่าวัตถุ-สิ่งของใดๆ จะเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ย่อมต้องเกี่ยวข้องกับแรงผลัก-แรงดันในด้านตรงกันข้ามในอัตราส่วนที่ไม่ได้ผิดแผก แตกต่าง ไปจากกัน...
กรรมดี-กรรมชั่ว และ ผลแห่งการกระทำ นั้นๆ...มันเลยคงต้องเป็นไปตามกฎธรรมชาติ กฎวิทยาศาสตร์ หรือจะเรียกว่ากฎอิทัปปัจจยตา-ปฏิจจสมุปบาท อย่างพวกพระๆ ทั้งหลายก็ย่อมได้ นั่นคือ ด้วยเหตุเพราะสิ่งนี้-สิ่งนี้...สิ่งนี้จึงเป็นไป หรือเป็นไปแบบที่พวกนักปราชญ์อิสลาม เขาสรุปไว้สั้นๆ ง่ายๆ นั่นแหละว่า “พระเจ้าได้มอบเสรีภาพให้กับมนุษย์ทั้งหลายที่จะทำดีก็ได้-ทำชั่วก็ได้ แต่เขาเหล่านั้นย่อมได้รับผลไปตามนั้น อย่างมิมีข้อยกเว้นแม้แต่อณูเดียว” เพียงแต่ ผล ดังกล่าวมันจะปรากฏขึ้นมาในตอนไหน? แบบไหน? เมื่อไหร่? อย่างไร? อันนี้นี่แหละ...ที่มันออกจะสลับซับซ้อน จนอาจก่อให้เกิดความลังเล ความไม่แน่ใจ ไม่มั่นใจ ว่า พระผู้เป็นเจ้า ท่านยังคงทำหน้าที่ หรือยังยกเลิก-ไม่ยกเลิกกฎธรรมชาติ กฎวิทยาศาสตร์ในลักษณะที่ว่านี้ไปแล้วหรือเปล่า???
ด้วยเหตุนี้...สิ่งที่เรียกว่า จังหวะ และ โอกาส หรือถ้าว่ากันตามสำบัด สำนวน ท่านปัญญาจารย์ ในพระคัมภีร์ไบเบิล ก็อาจเรียกว่า วาระ อะไรทำนองนั้น จึงมีความสำคัญเอามากๆ คือถ้ามันยังไม่ได้เป็นไปตามจังหวะ-โอกาส หรือวาระก็ตาม มันออกจะเป็นอะไรที่น่าเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า น่าจะลำบากเอามากๆ โดยเฉพาะสำหรับบรรดาผู้คิดจะประกอบ กรรมดี ทั้งหลาย ขณะที่อาจเป็นสิ่งน่าสนุกสนาน น่าโลดโผน โจนทะยาน สำหรับผู้ที่มุ่งมั่นจะประกอบ กรรมชั่ว เพื่อให้ ตัวกูเอง ได้มาในสิ่งซึ่งปรารถนาและต้องการเอาง่ายๆ การ ทำดี-ได้ดี...มีที่ไหน? และการ ทำชั่ว-ได้ดีมีถมไป มันเลยกลายเป็น ช่องทางธรรมชาติ ที่ทำให้ คนชั่ว ได้ดี-มีโอกาส และทำให้ คนดี ไร้บทบาท-และอำนาจ จนต้องออกอาการน่าทุเรศ ทุรังไปตาม มาตรฐานทางสังคม ในแต่ละห้วง แต่ละระยะ...
แต่ก็นั่นแหละ...เมื่อจังหวะ-โอกาส หรือวาระมาถึง “ปลาติดอยู่ในอวนฉันใด-นกติดอยู่ในบ่วงแร้วฉันใด-บรรดาบุตรมนุษย์ย่อมต้องถูกวาระอันร้ายกาจดักจับติดโดยฉับพลันฉันนั้น” ดังที่ ท่านปัญญาจารย์ ท่านว่าไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิลนั่นแล อะไรที่อาจดูน่าเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า น่าทุเรศ ทุรังในวันนี้ จึงอาจเป็น กรรมดี ที่กำลังจะส่งผลไปถึงวันข้างหน้า อันทำให้ กรรมชั่ว ทั้งหลาย ไม่อาจดำรง คงอยู่ได้อีกต่อไป เพราะโดยหลักฐาน ข้อพิสูจน์ ว่า พระผู้เป็นเจ้า ท่านยังคงทำหน้าที่เพื่อให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามกฎธรรมชาติ กฎวิทยาศาสตร์ อย่างไม่คิดจะละเว้นใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย ก็พอมองเห็นได้ไม่ยาก นั่นคือ...โดย กฎเหล็ก ที่ถูกนำมาใช้บังคับต่อทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ ว่าอะไรก็ตามที่ เกิด ย่อมมีแต่ ตาย...กับ...ตาย ลูกเดียวเท่านั้นเอง ชนิดไม่มีใครมีสิทธิ์หลีกเลี่ยงได้โดยเด็ดขาด!!!.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
นักการเมืองไม่ทำชั่ว...ไม่ต้องกลัวรัฐประหาร
นายกรัฐมนตรี 2 คนที่มาจากตระกูลชินวัตรต้องถูกยึดอำนาจจากการทำรัฐประหารในปี 2549 และ 2557 ทำให้นายใหญ่ของพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นหมายเลข 1 ของตระกูลชินวัตรมีความประหวั่นพรั่นพรึงการทำรัฐประหารของทหารเป็นอย่าง
'หิริ-โอตตัปปะ'คือวาระแห่งชาติ!!!
คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้เลยว่า...ไอ้สิ่งที่เรียกว่า ความอาย หรือจะเรียกภาษาพระ ภาษาบาลี ประมาณว่า หิริ-โอตตัปปะ ก็คงพอได้ นับวันมันชักเป็นอะไรที่ ขาดแคลน
'เห็นลิ้นไก่' แก้ กม.กลาโหม
ป่วนกันทั้ง "กรมปทุมวัน" หลังคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ หรือ ก.พ.ค.ตร. มีคำวินิจฉัยกรณีตำรวจยศ พ.ต.อ. ตำแหน่งนักบิน (สบ 5) รายหนึ่ง
ลัคนาธนูกับเค้าโครงชีวิตปี 2568
ยังอยู่ในช่วงเจ็ดปีของการเปลี่ยนแปลงใหญ่สุขภาพอนามัย-หนี้สิน-ลูกน้องบริวาร และเกือบตลอดปีผู้หลักผู้ใหญ่อวยสถานะ-ยศ-เงินทองให้ แต่มีช่วงซ้อมรับทุกข์และการได้ความผิดที่ไม่ได้ก่อ
เด็กฝึกงาน...ไม่ผ่านโปร
ฉากทัศน์ทางการเมืองของประเทศไทยหลังจากรู้ผลของการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 เป็นภาพที่สร้างความกังวลให้กับคนไทยจำนวนมากที่ไม่ได้เลือกพรรคส้มหรือพรรคแดง
'ความเป็นไทย' กับกรณีน้ำท่วมภาคเหนือ-ภาคใต้
ถึงแม้จะก่อเกิด ถือกำเนิด ที่อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี...แต่ด้วยเหตุเพราะไปเติบโตที่ภาคใต้ ไม่ว่าเริ่มตั้งแต่อำเภอทุ่งสง จังหวัดหน่ะคอนซี้ทำหมะร่าด ไปจนอำเภอกันตัง