
ใกล้ถึงช่วงปีหน้า-ฟ้าใหม่ยิ่งเข้าไปทุกที...การตระเตรียมคำอำนวย-อวยพรให้กับใครต่อใครไว้ในช่วงวาระโอกาสเช่นนี้ อาจถือเป็น หน้าที่ อย่างหนึ่ง ของบรรดาผู้ที่ประกอบไปด้วยความรู้สึกประเภทปรารถนาอยากให้เขาเป็นสุข (เมตตา) สงสารอยากให้เขาพ้นทุกข์ (กรุณา) หรือรู้สึกพลอยยินดีเมื่อเขาได้ดีมีสุข (มุทิตา) อันอาจถือเป็นลักษณะพิเศษ ลักษณะเฉพาะของปวงประดา ทวยไทย ทั้งหลาย ส่วนผลแห่งคำอวยพรจะเป็นไปตามนั้นหรือไม่? อย่างไร? อันนั้น...คงต้องขึ้นอยู่กับ เงื่อนไข-เหตุปัจจัย ต่างๆ อีกเยอะ...
แม้แต่ผู้ที่ยังคงพะงาบๆ...อย่างเช่น อันตัวข้าพเจ้าเอง ก็เถอะ อดที่จะนั่งคิด นั่งนึก หวังจะสรรหาคำอวยพรเหมาะๆ เจาะๆ มาเผื่อแผ่ให้กับบรรดาญาติสนิท มิตรสหาย พรรคพวกเพื่อนฝูง อยู่ประมาณแปดตลบ สิบตลบไปแล้วเห็นจะได้ แต่ก็ยังไม่ถึงกับลงล็อก ลงตัวอยู่ดี จะลอกสนิม เคาะสนิม รจนาคำอำนวย-อวยพรให้กลายเป็นบทกลอน บทกวี แบบที่เคยไหลๆ ลื่นๆ เหมือนเมื่อครั้งอดีต ก็แทบเป็นไปไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เพราะโอกาสที่จะก่อให้เกิดความซาบซึ้ง ตรึงใจ เกิด แรงบันดาลใจ แบบที่ กวีโป๋อ่าว อย่าง น้าเนาว์ของเราเอง (เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์) ท่านหลั่ง ท่านไหล ออกมาแบบปรื๊ดๆๆ มันออกจะยากเย็นแสนเข็ญซะยิ่งกว่าเข็นภูเขาขึ้นครกไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า...
แต่ครั้นเมื่อหันไปเห็นคำอำนวย-อวยพร ที่ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ท่านประทานให้กับบรรดาปวงชนชาวไทย เนื่องในวาระดังกล่าว แม้จะสั้นๆ-ง่ายๆ แต่ถ้าลองนำมาระลึกนึกถึง นำไปประพฤติ-ปฏิบัติอย่างจริงๆ-จังๆ แล้วล่ะก็ ต้องถือว่าน่าจะเป็นอะไรที่ลุ่มลึก ลึกซึ้ง และกว้างขวาง-ใหญ่โตเอามากๆ นั่นคือคำอำนวย-อวยพร ที่ว่าไว้ว่า “สัทธา สาธุ ปติฏฐิตา-ศรัทธาตั้งมั่นแล้ว ยังประโยชน์ให้สำเร็จ” หรือ “ขอให้ท่านจงตั้งมั่นในศรัทธาอันประกอบด้วยปัญญา เพิ่มความเจริญสำเร็จทุกประการเทอญ” อันนี้...เลยคงต้องขอประทานพระอนุญาต ขอหยิบยืมมาใช้เป็นคำอำนวย-อวยพร ต่อบรรดาญาติสนิท มิตรหมาย พรรคพวกเพื่อนฝูง พี่ๆ น้องๆ แต่ละรายเอาไว้ ณ ที่นี้...
คือคำว่า ศรัทธา หรือการมีสิ่งที่เรียกว่า ศรัทธา ขึ้นมาในตัวตน หรือในความรู้สึกของผู้หนึ่ง-ผู้ใดนั้น คงต้องยอมรับว่าถือเป็น กระบวนการ ที่มีความสลับซับซ้อนมิใช่น้อย ไม่ว่าจะเป็นศรัทธาระดับพื้นๆ ฐานๆ ที่ใกล้ๆ ออกไปทาง งมงาย หรือไม่? อย่างไร? ก็ตามที ไปจนถึงระดับที่ผ่านการยกระดับไปเป็นขั้นๆ โดยอาศัยสิ่งที่เรียกว่า ปัญญา จนกลายมาเป็นศรัทธาที่เต็มไปด้วยพลานุภาพ ชนิดที่สามารถนำมาซึ่ง ความเจริญสำเร็จในทุกประการเทอญ ดังที่สมเด็จพระสังฆราชท่านได้ทรงอำนวย-อวยพรเอาไว้ในแนวนี้ก็แล้วแต่ ย่อมล้วนแล้วแต่ต้องผ่านการสะสม สั่งสม หรือการ ตกผลึก ไปเป็นขั้นๆ...
ยิ่งเป็น ศรัทธา ที่ประกอบไปด้วย ปัญญา ด้วยแล้ว...ยิ่งต้องใช้เวลาเคี่ยวงวด ต้องเผชิญกับคำถาม ข้อสงสัย การโต้เถียง เจอกับความขัดแย้ง แตกต่าง ไม่รู้จะกี่ขั้นต่อกี่ขั้น ถึงจะ ตกผลึก กลายมาเป็นศรัทธาในลักษณะที่ว่าได้จริงๆ แต่ครั้นเมื่อกลายมาเป็น ศรัทธา ในแบบที่ว่าได้อย่างเป็นจริง-เป็นจัง อันนี้...ต้องเรียกว่า ยิ่งกว่า ผนังทองแดง-กำแพงเหล็ก ยิ่งกว่า ป้อมปราการที่มิมีผู้ใดจะตีแตก ย่อมสามารถกลายเป็นเครื่องมืออันจะนำไปสู่ ความเจริญสำเร็จในทุกประการ ได้อย่างชนิดไม่น่าเชื่อ แต่ก็คงต้องเชื่อกันจนได้นั่นแล...
การที่จะยกระดับ ศรัทธา ให้มั่นคง แข็งแรง ให้ไปไกลถึงขั้นนี้...จึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ มีแต่ต้องอาศัย ปัญญา แบบชนิดยิ่งๆ ขึ้นไป ยิ่งถ้าไปถึงขั้น รู้แจ้ง-เห็นจริง ยิ่งก่อให้เกิดอานุภาพ ประสิทธิภาพ ยิ่งขึ้นไปใหญ่ หรือไปถึงขั้นไม่หลงเหลือ อัตตา ใดๆ เพราะทุกสรรพสิ่งล้วนแต่เป็น อนัตตา ไปด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งปวง อันนั้นนั่นแหละ...ที่อาจถึงขั้นไม่ต้องเกิด ไม่ต้องตาย เป็นอมตะไปตลอดชั่วนิจนิรันดร์กาลเอาเลยก็ว่าได้ โดยทั้งนั้น ทั้งนี้ ย่อมหนีไม่พ้นต้องอาศัย ศรัทธา นั่นเอง เป็นพลังในการขับเคลื่อน ผลักดัน มันถึงพอจะผ่าน อวิชชา แต่ละระดับ ผ่านความ งมงาย แต่ละขั้น แต่ละตอน ไปจนได้...
โดยเฉพาะท่ามกลางความซับซ้อนแห่งความเป็นไปของโลก ที่มันเต็มไปด้วย คำถาม นานาชนิด ย่อยแยก แตกละเอียด แย้งกันไป-แย้งกันมา แบบชนิดหัวมังกุ-ท้ายมังกร ไปแทบจะทุกเรื่อง-ทุกราว จนแม้แต่เรื่องของความดี-ความชั่ว-ความจริง-ความงาม ฯลฯ ยังมีอันต้องผิดแผกแตกต่างไปตาม มาตรฐาน ของใคร-ของมันจนได้ โอกาสที่จะอาศัยแค่ ปัญญา ล้วนๆ ไปหา คำตอบ ต่อคำถามในแต่ละเรื่อง แต่ละราว จึงแทบเป็นไปไม่ได้ มีแต่ต้องใช้ ศรัทธา เป็นพลังขับเคลื่อนในการเอาชนะ อวิชชา แต่ละระดับ ต้องอาศัย ความเชื่อ อันมิอาจผันแปรไปเป็นอื่น ว่า...ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมหนีไม่พ้นต้องเป็นไปตาม กฎแห่งธรรมชาติ นั่นแล แม้ยิ่งมืดเท่าไหร่ก็เท่ากับยิ่งใกล้สว่างเท่านั้น และสุดท้าย...ธรรมะย่อมต้องชนะอธรรมจนได้อย่างเที่ยงแท้แน่นอน.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ฤๅการเมืองไทยเป็นได้แค่ธุรกิจ
คนที่รู้เรื่องรัฐศาสตร์และเรื่องการปกครองจะเข้าใจว่าการเมืองคือ การบริหารจัดการแบ่งปันอำนาจและทรัพยากรของชาติ ให้แก่ประชาชนที่เป็นพลเมืองของประเทศบนพื้นฐานของกฎกติกาที่เป็นธรรม John Locke
วิกฤตแห่งความจริงกับ'เงาปิศาจ'
ระหว่างที่ใครต่อใครกำลังตื่นเต้นกับข่าวคราวผงาดขึ้นมาของ DeepSeek หรือ AI ของจีน ชนิดต้องหันไปเทขายหุ้น ChatGPT ของอเมริกาจนมูลค่าตลาดหายไปเป็นแสนๆ
อาวุโส 33% กินแห้ว!
เห็นที "สีกากี" ประเภท "แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน" ในการแต่งตั้งตำรวจระดับ รองผู้บังคับการ (รอง ผบก.) ลงมาถึง สารวัตร (สว.) วาระประจำปี 2567 จะต้องเหนื่อย
แม้เมืองมีปัญหาเศรษฐกิจ แต่บางท่านอาจรวย(ตอนจบ)
ตอนนี้มาว่ากันถึงหลักโหรที่ส่งสัญญาณล่วงหน้าว่า ถึงแม้ต่อจากวันเกิดเมืองที่ 21 เมษายน 2568 ไปนี้ เมืองจะเริ่มเข้าเคราะห์
ไม่โปร่งใส...ไร้นิติธรรม
ความโปร่งใสของการบริหารราชการแผ่นดินของประเทศ เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ประเทศของเรามีความน่าเชื่อถือ และประเทศอื่นๆ ในประชาคมโลกพร้อมที่จะคบหาสมาคมกับเรา ไม่ว่าการลงทุน การค้าขาย การมาเที่ยว รวมทั้งการอพยพเข้ามาพำนักอยู่ในประเทศ ประเทศที่มีความโปร่งใสในการบริหาร นักการเมือง ข้าราชการจะต้องมีการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมาย แสดงให้ชาวโลกเห็นว่าประเทศไทยเราเป็นนิติรัฐที่ให้ความสำคัญกับหลักนิติธรรม
ถ้าประชาธิปไตยมันชั่ว...ก็เลิกเถอะ???
ด้วยเหตุเพราะไม่คิดจะ วิ่งไล่กวดเทคโนโลยี มานานแล้ว!!!...ไม่ว่าด้วยเหตุเพราะวัยและสังขาร หรือด้วยเพราะความ แปลกแยก ต่อสิ่งเหล่านี้เป็นการส่วนตัว