
ไม่ว่า บ้านเรา ...หรือ โลก ดูๆ มันชักจะยุ่งๆ ยิ่งกว่าหนวดแขกพันกับฝอยขัดหม้อยิ่งเข้าไปทุกที แถมอาจไม่ใช่ยุ่งแต่เฉพาะเรื่องกฎ กติกา ระบบ ระเบียบ ที่นับวันแทบไม่เหลือพลังอำนาจในการ บังคับใช้ ไม่ว่าตั้งแต่ระดับโลก หรือระดับไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาก็ตามที แต่น่าจะยุ่งไปถึงเรื่องความคิด ทัศนคติ ค่านิยม กระบวนทัศน์ ฯลฯ และอะไรต่อมิอะไรที่เกี่ยวพันไปถึงจิตสำนึก หรือจิตไร้สำนึก เอาเลยก็เป็นได้...
คือมันทำให้ มนุษย์เมื่อวานนี้ กับ มนุษย์วันพรุ่งนี้ แทบไม่ต่างอะไรไปจาก มนุษย์ต่างดาว ระหว่างกันและกัน โอกาสที่จะหา ความลงตัว
หาสายใยที่ก่อให้เกิด ความเชื่อมโยง ไม่ให้ต้องถูกตัดขาด แยกขาดออกจากกันและกัน นับวันมันชักจะหายาก หาเย็น ยิ่งกว่าหาหนวดเต่า-เขากระต่าย เอาเลยก็ว่าได้ และนั่นเอง...ที่ทำให้กระบวนการคลี่คลาย ทุเลา เบาบาง สิ่งที่เป็น ปัญหา ในแต่ละปมปัญหา เลยเป็นอะไรที่ออกจะสลับซับซ้อน ชนิดยุ่งฉิบหาย ยุ่งตายห่า ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ แม้จะใช้กรรมวิธีแบบมหาราชชาวกรีก อย่าง พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ที่ตัดสินใจชักดาบออกมาผ่า ปมกอร์เดียน ซึ่งผูกเอาไว้ท้าทายใครก็ตามที่คิดจะยึดเอเชีย หรือคิดจะอาศัย อำนาจ เพียงอย่างเดียวล้วนๆ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปได้เอาง่ายๆ!!!
ด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้การรับมือกับ ปัญหา ลักษณะเช่นนี้ มันเลยกลายเป็นภาระ หน้าที่ ของ ปัจเจกบุคคล มากกว่าที่จะไปรอคอย ไปตั้งความหวัง เอากับ อำนาจ ใดๆ ก็ตามที หรือมีแต่ต้องอาศัย ตัวตนของตน นั่นแหละเป็นทั้ง เครื่องมือ เป็นทั้ง เครือข่ายป้องกัน ในอันที่จะพิทักษ์ ปกป้อง เอาชนะอุปสรรค เอาชนะปมปัญหานั้นๆ ได้ การหันมายกระดับตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง เพื่อให้เกิดความทนทาน แข็งแกร่ง มั่นคง ในการเผชิญหน้ากับฉากสถานการณ์ต่างๆ จึงอาจมีความสำคัญเสียยิ่งกว่าการจะไปประดิษฐ์ คิดค้น หาทางออก-ทางแก้ ให้กับสังคมทั้งสังคม หรือแม้กระทั่งชาติ-บ้านเมือง อันเป็นอะไรที่อาจเลยไปจาก ขีดความสามารถ ของปัจเจกบุคคลใดๆ ที่จะสามารถบรรลุเป้าหมายนั้นๆ ได้ง่ายๆ...
หรือพูดง่ายๆ ว่า...หันมา เอาตัวให้รอด เอาไว้ก่อนนั่นแหละ เข้าท่าที่สุด!!! เพียงแต่ว่า รอด ในที่นี้ย่อมไม่ได้หมายถึงการปล่อยปละละเลย ไม่คิดจะสนใจต่อความรู้สึกของผู้อื่น แต่หมายถึงความ เข้าถึง-เข้าใจ ต่อความเป็นไปของบรรดาสรรพสิ่งทั้งหลาย ว่า มันเป็นเช่นนั้นเอง-มันเป็นพรรค์นั้นแหละ หรือเป็นเพราะ ด้วยเหตุเพราะสิ่งนี้-สิ่งนี้...สิ่งนี้จึงเป็นไป นั่นเอง เป็น ความรอด ที่อาจพอช่วยให้ ตัวตนของตน ไม่ต้องเสียเวลาเข้าไป ปรุงแต่ง กับอารมณ์-ความรู้สึกใดๆ ไม่ว่ารัก ไม่ว่าหลง ไม่ว่าโกรธ เกลียด เคียดแค้น อาฆาตพยาบาท ริษยาและชิงชัง อันย่อมทะลักหลั่งควั่งพรูเข้ามาตามฉากสถานการณ์นั้นๆ แบบพอๆ กับ สึนามิ ในแต่ละลูก แต่ละระลอก นั่นแล...
แม้ว่าการ เอาตัวรอด ด้วยกรรมวิธีเช่นนี้...อาจทำให้ตัวเองต้องเลือนหายไปจากความสนใจของสังคม ไม่มีโอกาสที่จะกระทำ ปฏิกิริยา ใดๆ อันจะนำมาซึ่งชื่อเสียง เกียรติยศ อำนาจ วาสนา บารมี ใดๆ เอาเลยก็ตาม แต่ก็น่าจะถือเป็นกรรมวิธีที่ออกจะเหมาะสม สอดคล้อง กับสถานการณ์ความเป็นไปของโลก และสังคมต่างๆ ที่ต่างกระทำปฏิกิริยาต่อกันและกัน จนนำมาสู่ความยุ่งเหยิง ยุ่งฉิบหาย ยุ่งตายห่า ยิ่งกว่าหนวดแขกพันกับฝอยขัดหม้อดังที่ได้กล่าวไปแล้ว หรือทำให้ความเป็น Nobody นั้น เป็นอะไรที่น่าพึงปรารถนา ที่พอช่วยให้เกิดความสุข ความสงบ ความเย็น ได้ยิ่งกว่าความเป็น Somebody ไม่รู้จะกี่เท่าต่อกี่เท่า...
เพราะเท่าที่ดูจากบรรดาผู้ที่ หิวแสง ทั้งหลาย...ไม่ว่าจะโดดออกมาจากฉากเวที ณ มุมไหน ต่อมุมไหน ส่วนใหญ่ก็มักต้องเสียเวลาไปกับการ จัดระเบียบรถทัวร์ หรือต้องเจอกับ ทัวร์ลง จนแทบไม่มีเวลาจะไปสนใจเรื่องอื่นใด กลายเป็นผู้ที่หมกมุ่นชุลมุนชุลเกอยู่กับตัวเอง ก่อนที่จะจมดิ่งไปกับ กระแส ต่างๆ ชนิดแม้แต่ตัวของตัวเอง ยังช่วยอะไรไม่ได้เอาเลย โอกาสที่จะไปช่วยแก้ไข เยียวยา สังคมทั้งสังคม จึงแทบเป็นไปไม่ได้ อีกทั้งยังทำให้โอกาสที่จะเชื่อมโยง บูรณาการ สิ่งต่างๆ ให้กลายไปเป็น เครือข่ายป้องกันทางสังคม ยิ่งเป็นไปไม่ได้ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น...
ด้วยเหตุนี้...ภายใต้ความยุ่งเหยิง ยุ่งฉิบหาย ยุ่งตายห่า ไม่ว่าระดับโลก หรือในระดับสังคมไทย ที่นับวันมีแนวโน้มว่าจะยุ่งขึ้นไปกว่านี้อีกไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า ไม่ใช่แต่เฉพาะเศรษฐกิจ การเมือง การทหาร สังคม วัฒนธรรม ประเพณี ฯลฯ เท่านั้น แต่จะยุ่งไปถึงจิตสำนึก จิตไร้สำนึก ของแต่ละคน แต่ละราย เอาเลยก็เป็นได้ การหันมาให้ความสำคัญกับ เครือข่ายป้องกันตัวเอง ให้มากๆ เข้าไว้ ให้เกิดความแข็งแกร่ง มั่นคงในการยึดมั่นความดี-ความจริง-ความงาม หรือยึดมั่นใน ธรรม อย่างมิมีวันผันแปรไปเป็นอื่น เหมือนอย่างที่ พ่อท่าน-โพธิรักษ์ ท่านว่าเอาไว้นั่นแหละว่า... “ยังยิ่งยงเป็นใจดวงงาม-แพ้ก็แพ้ชะตาทราม-ดวงใจคงความมั่นคง” อันนี้...น่าจะเข้าท่ากว่าเป็นไหนๆ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สองพ่อลูก...สองแผ่นดิน ฤๅจะสิ้นวาสนาและบารมี
เวลาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาสืบเนื่องมาเป็นร้อยปี หากจะมองตั้งแต่ยุคต้นของรัตนโกสินทร์ อาณาจักรกัมพูชาในตอนนั้นคืออาณาจักรเขมรที่เป็นประเทศราชของสยามมาจนถึงรัชกาลที่ 4
ประเทศไทยกับ'หมากตาอับ'!!!
ภายใต้โลกยุคใหม่ สังคมสมัยใหม่...คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่า บรรดา ทวยไทย หรือ ปวงชนชาวไทย ท่านได้ เปลี่ยนแปลง ไปเยอะแล้ว แบบชนิด พลิกหน้ามือเป็นหลังตีน
สีกากีติดลบ!
ยิ่งกว่าพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก แวดวง "สีกากี" แค่เพียงสัปดาห์เดียวก็มีบุคลากรตกเป็นผู้ต้องหา ตกเป็นจำเลย ตกเป็นที่พูดถึงในมุมลบของสังคมแทบจะเป็นรายวัน
แรงกดดันดร.ทักษิณยังเป็นเพียงหนังตัวอย่างของคนลัคนาสถิตกันย์
ก่อนหน้านี้ผู้เขียนเคยให้สัมภาษณ์สื่อหลายแห่งรวมทั้งที่ไทยโพสต์ คุณศลิลนา ภู่เอี่ยม และคุณบุญระดม จิตรดอน ที่แนวหน้า ว่า ดร.ทักษิณ ชินวัตร ที่ ลัคนาส
ฤๅเขาคือเจ้าของประเทศ
มีคนคนหนึ่งประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ ทำให้เขากลายเป็นอภิมหาเศรษฐีมีเงินเป็นแสนๆ ล้าน เขามีความร่ำรวย แต่เขาไม่พอเท่านั้น เขามีความทะเยอทะยานอยากเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย
กลไกแห่งการวิวัฒนาการ
ภายใน ตัวตน ของมวลมนุษย์ในแต่ละคน...ดูๆ แล้วมันอาจมี กลไก บางอย่าง ที่ซุกซ่อนอยู่ในยีน ในดีเอ็นเอ โดยจะเป็นสิ่งที่ พระเจ้า ท่านประทานมาให้หรือไม่? อย่างไร?