กลไกแห่งการวิวัฒนาการ

ภายใน ตัวตน ของมวลมนุษย์ในแต่ละคน...ดูๆ แล้วมันอาจมี กลไก บางอย่าง ที่ซุกซ่อนอยู่ในยีน ในดีเอ็นเอ โดยจะเป็นสิ่งที่ พระเจ้า ท่านประทานมาให้หรือไม่? อย่างไร? ก็แล้วแต่จะว่ากันไป ที่มันทำให้เกิดขีดความสามารถในการปรับตัว ปรับสภาพ ให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมในแต่ละแบบ อย่างค่อยเป็นค่อยไป จนนำไปสู่ความคุ้นเคย คุ้นชิน ขึ้นมาในวันหนึ่งวันใดจนได้ ไม่ว่าสภาพแวดล้อมนั้นๆ จะมีสภาพผิดแผก แตกต่าง กันไปในลักษณะไหน จะหนาว จะร้อน จะก่อให้ความทุกข์ยาก ลำบาก หรือสะดวก สบาย ซักเพียงใด...

อย่างผู้ที่เคยมีประสบการณ์การติดคุก ติดตะราง มามั่ง อาจพอเคยได้ยินคำพูด คำปลอบประโลมใจ นับแต่วันแรกที่เข้าสู่ห้องขัง ของพวกนักโทษที่ติดคุกมานานๆ ว่าหลังจาก 7 วันผ่านพ้นไปแล้ว...ทุกสิ่งทุกอย่างจะค่อยๆ ดีขึ้นไปตามลำดับ หรือจะค่อยๆ ชินๆ ไปเอง และคำพูด คำปลอบประโลมใจ ทำนองนี้ ก็ออกจะเป็นจริงเป็นจัง ไม่ใช่แค่การให้กำลังใจกันชั่วประเดี๋ยวประด๋าว ด้วยเหตุเพราะ กลไก อะไรบางอย่างที่อยู่ในตัวตนของตนนั่นแหละ มันจะค่อยๆ ทำให้ความเจ็บปวด รวดร้าวทรมาน ความอึดอัด ขัดข้องใจ ในสิ่งต่างๆ ค่อยๆ คลี่ ค่อยๆ คลาย จนกลายเป็นความคุ้นเคย คุ้นชิน ไปจนได้...

ชนิดนักโทษบางรายที่ติดคุกตั้งแต่หนุ่มจนแก่ แต่เมื่อมีโอกาสได้ดื่มด่ำกับอิสรภาพ เสรีภาพ หลังพ้นโทษ กลับเกิดอาการปรับตัวแทบไม่ได้ แบบที่หนังฮอลลีวูดเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว เรื่อง Shawshank Redemption หรือ มิตรภาพ-ความหวัง-ความรุนแรง มันหยิบมาใช้เป็นภาพสะท้อนถึงลักษณะอาการดังกล่าวไว้อย่างชนิดน่าหดหู่ และน่าซาบซึ้ง ตรึงใจ เป็นอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้... กลไก ที่ก่อให้เกิดการปรับตัว ปรับสภาพ ในลักษณะที่ว่า จึงเป็นอะไรที่ออกจะ มหัศจอรอหันการันยอ มิใช่น้อย และทำให้มวลมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย แตกต่างไปจาก เครื่องจักรกล แบบคนละเรื่อง-คนละม้วน แม้แต่คอมพิวเตอร์ หรือ เอไอ ก็เถอะ...

เพราะแม้แต่สรีระ รูปร่าง สีผิว สีผม หน้าตา ฯลฯ ก็น่าจะถูก กลไก ชนิดนี้ ปรับเปลี่ยน ปรับสภาพ ให้เป็นไปตามสภาวะแวดล้อม ตามความร้อน ความหนาว ความชื้น ความแห้ง ฯลฯ ส่งผลให้มนุษย์แต่ละรายต้องกลายสภาพไปเป็นฝรั่ง เป็นเจ๊ก เป็นแขก เป็นนิโกร ฯลฯ อยู่จนตราบเท่าทุกวันนี้ หรือเป็น กลไก ที่ก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า กระบวนการวิวัฒนาการ อันสุดแสนจะสลับซับซ้อน และอาจใช้เวลายาวนานพอสมควร แต่สุดท้าย...ก็กลายเป็นกระบวนการที่ก่อให้เกิดความเหมาะสม สอดคล้อง เกิด จุดลงตัว สำหรับมนุษย์ในแต่ละเผ่า แต่ละพันธุ์ รวมทั้งสิ่งมีชีวิตทั้งหลายในแต่ละแห่ง แต่ละที่...

ส่วนการที่ต้องแยกย้ายไปเป็นฝรั่ง เป็นเจ๊ก เป็นแขก เป็นนิโกร ฯลฯ ก็ใช่ว่าจะทำให้ คุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ ต้องสูญสิ้น สูญหาย ลงไปก็หาไม่ เพราะตราบใดที่มันไม่ได้ทำให้ขีดความสามารถในการ เข้าถึง-เข้าใจ ต่อสิ่งที่อยู่เหนือไปกว่าความรู้สึกในทาง สัญชาตญาณ แบบหยาบๆ ง่ายๆ ไม่ว่าประเภทคุณธรรม ศีลธรรม และจริยธรรมทั้งหลาย ยังคงหลงเหลือติดปลายนวมเอาไว้ได้มั่ง ไม่ว่าจะฝรั่ง จะเจ๊ก จะแขก จะนิโกร ฯลฯ ย่อมเป็นอะไรที่ผิดแผก แตกต่างไปจากลิง ค่าง บ่าง ชะนี และสิงสาราสัตว์ประเภท เดียรัจฉาน ทั้งหลายอยู่แล้วแน่ๆ...

คือถ้ายังไม่ถึงขั้นต้องวิวัฒนาการจาก ไดโนเสาร์ จนกลายมาเป็น วรนุส เอาง่ายๆ ยังสามารถดำรงรักษาคุณค่าแห่ง ความเป็นไดโนเสาร์ เอาไว้ได้ กลไก ที่ทำให้เกิดกระบวนการปรับตัว ปรับสภาพ ในลักษณะดังกล่าว ก็น่าจะมี ประโยชน์ เอามากๆ ชนิดอาจถือเป็น ของขวัญจากพระผู้เป็นเจ้า เอาเลยก็ว่าได้ เพราะมันช่วยให้เกิดความต่อเนื่องในการสืบทอด สืบต่อ ของมวลมนุษย์และสิ่งมีชีวิตแต่ละรุ่น แต่ละเผ่า แต่ละพันธุ์ โดยไม่ถึงกับ สูญพันธุ์ กันไปจนเกลี้ยง อันเนื่องมาจากขีดความสามารถในการหา จุดลงตัว ภายใต้สภาวะแวดล้อมต่างๆ ไม่ว่าหนาว ไม่ว่าร้อน ไม่ว่าจะเป็นไปลักษณะไหน...

และการที่ เด็กๆ จะค่อยๆ เติบโตขึ้นมาเป็น ผู้ใหญ่ มันก็น่าจะเกี่ยวพันกับ กลไก ในลักษณะที่ว่าอยู่เหมือนกัน หรือทำให้เกิดกระบวนการวิวัฒนาการในระยะสั้นๆ ในช่วงชีวิตของแต่ละปัจเจกบุคคล ที่ทำให้ผู้ซึ่งเคยหุนหัน-พลันแล่น เคยมีอารมณ์-ความรู้สึกแบบเด็กๆ ค่อยๆ กลายเป็นผู้ที่เริ่มรู้จักคิดหน้า-คิดหลัง ไม่ถึงกับคิดจะ หักดิบ อะไรต่อมิอะไรอีกต่อไป เกิด วุฒิภาวะ ที่ทำให้สามารถปรับตัว ปรับสภาพ เข้ากับสภาพแวดล้อมต่างๆ ได้มากขึ้นๆ โดยแม้ว่ากระบวนการวิวัฒนาการทำนองนี้ จะทำให้บรรดาพวก เอฟซี หรือพวก ติ่งๆ ของเด็กๆ ทั้งหลาย เกิดอาการหงุดหงิด งุ่นง่าน ไม่ชอบใจ ไม่ถูกใจ จนถึงกับต้อง จัดระเบียบรถทัวร์ กันชนิดอลหม่าน แต่ก็นั่นแหละ...มันอาจกลับมี ประโยชน์ ต่อประเทศไทย สังคมไทย มิใช่น้อย คือยังพอมีโอกาสได้เห็นทางรอด-ทางไปอยู่มั่ง แม้แต่เล็กๆ น้อยๆ ก็ยังดี แทนที่จะต้อง เละเป็นขี้-เละเป็นโจ๊ก ไปด้วยกันทุกฝ่าย ไม่ว่าเด็ก ไม่ว่าผู้ใหญ่ หรือคนแก่ คนชรา อันเนื่องมากจากต่างหา จุดลงตัว กันไม่เจอ ส่งผลให้เกิดความมืดมนอนธการไปทั่วจนตราบเท่าทุกวันนี้.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ถึงแม้จะไม่ปรารถนา...แต่ว่าบางครั้งยังจำเป็น

ในสังคมประชาธิปไตย การจะได้รัฐบาล ต้องผ่านครรลองของการเลือกตั้ง ไม่ใช่รัฐประหาร ในเมื่อประเทศไทยเป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

เทศนาปาฏิหาริย์!!!

ด้วยเหตุเพราะอ่านหนังสือซะหมดบ้าน!!! อย่างที่เคยบอกๆ เอาไว้แล้ว ก็เลยต้องหันไปคว้าหนังสือเก่า ว่าด้วยเรื่อง จาริกบุญ-จารึกธรรม ของ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต)

จับตา 'เรือฟริเกต' ลำที่ 2

เกือบครบ 1 เดือนพอดีตั้งแต่เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 2568 ที่ ผบ.ต่าย-พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. มีหนังสือบันทึกข้อความ เรื่องประกาศลำดับอาวุโสข้าราชการตำรวจ

ไทม์ไลน์ระยะจุดระเบิดสู่ระยะคลี่คลายทางการเมืองรอบนี้

ในที่สุดความผันผวนจัดทางการเมืองที่มาพร้อมกับ ความอึดอัด กลืนไม่เข้าคายไม่ออก คล้ายๆ การเมืองถูกตรึง ที่เคยทำนายไว้ว่า จะเกิดระหว่าง 19 พฤษภาคม-23 สิงหาคม 2568 อันจะทำให้มีการเปลี่ยนแปลงที่ สูงกว่าปรับคณะรัฐมนตรี

พ่อเคยทำไทยแตกแยก...ลูกก็มาทำอีกแล้ว

พ่อเคยทำให้ประเทศไทยเข้าสู่ภาวะของความขัดแย้ง เกิดกีฬาสีระหว่างเสื้อเหลืองกับเสื้อแดง มีความรุนแรงถึงกับทำร้ายกัน เข่นฆ่ากัน ตายนับสิบ เจ็บนับร้อย

ว่าด้วย‘นักวิเคราะห์ข่าวต่างประเทศ’

เคยมี เพื่อนซี้ เป็นชาวเขมรอยู่รายหนึ่ง...ชื่อว่า เขียว กัณหฤทธิ์ ที่เคยเป็นถึงรัฐมนตรีกระทรวงข่าวสารของกัมพูชา ในรัฐบาลของอดีตนายกฯ ฮวยเซ็ง นี่แหละ