
ภายใต้โลกยุคใหม่ สังคมสมัยใหม่...คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่า บรรดา ทวยไทย หรือ ปวงชนชาวไทย ท่านได้ เปลี่ยนแปลง ไปเยอะแล้ว แบบชนิด พลิกหน้ามือเป็นหลังตีน หรือ หลังตีนเป็นหน้ามือ ก็แล้วแต่จะว่ากันไป แต่โดยแนวๆ...ต้องเรียกว่าน่าจะกู่ไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี ยากจะไปเหนี่ยว ไปรั้งใดๆ ได้ยิ่งเข้าไปทุกที...
โดย ผลแห่งการเลือกตั้ง แต่ละครั้ง แต่ละครา นั่นแหละ ที่สามารถใช้เป็นหลักฐาน ข้อพิสูจน์ ถึงการเปลี่ยนแปลงในลักษณะที่ว่า คือสรุปสุดท้าย...ผู้ที่ยังพยายามประคับประคอง ความเป็นมนุษย์ ให้หลงเหลือติดปลายนวมเอาไว้มั่ง
ไม่ว่าประเภท หิริ-โอตตัปปะ ความรู้สึก สำนึกต่อ บาป ว่าเป็นสิ่งที่ออกจะน่าเกลียด น่าชัง น่าละอาย อะไรทำนองนั้น สุดท้าย...ก็มีแต่ แพ้-กับ-แพ้ หรือแพ้แล้ว-แพ้อีก ยากที่จะเอาชนะฝ่ายตรงข้าม ภายใต้วิถีทางแห่งความเป็น ประชาธิปไตย ได้ง่ายๆ...
ด้วยเหตุนี้...ผู้ที่สามารถกวาดชัยชนะได้อย่างเป็นกอบ เป็นกำ ก็จึงมักออกไปทางไม่ เสือ ก็ จระเข้!!! และโดยสภาพเช่นนี้ ผู้ที่ยังคงรักบ้าน-รักเมือง ห่วงบ้าน-ห่วงเมือง บางกลุ่ม-บางเหล่า ท่านจึงคิดหาทางออก-ทางไปในแบบที่ออกจะหยาบๆ-ง่ายๆ ไปซักหน่อย นั่นคือ...คิดจะ วานเสือ ให้หันไป กัดจระเข้ ก็เลยยิ่งทำให้อะไรต่อมิอะไรยิ่ง เละตุ้มเป๊ะ ยิ่งขึ้นไปใหญ่ เพราะก่อนที่เสือคิดจะกัดจระเข้ จะเพื่อให้ตัวเองแข็งแกร่ง แข็งแรง เพื่อให้มีฤทธิ์ มีเดช หรือจะด้วยอะไรก็แล้วแต่ เสือท่านเลยต้องหันมาเติมพลัง หันมาหา ของว่าง ไว้รับประทาน ด้วยการ ขบหัว บรรดาปวงชนชาวไทยทั้งหลายไปพลางๆ ส่งผลให้เกิดความเจ็บปวด รวดร้าว เกิดเสียงครวญ เสียงคราง ดังระงมไปทั่วบ้าน-ทั่วเมือง อยู่จนตราบเท่าทุกวันนี้...
เพราะฉะนั้น...ถึงจะปรับ ครม. เปลี่ยนคณะรัฐบาล ยุบสภา ฯลฯ เปลี่ยนไปสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่อีกกี่หนต่อกี่หน แต่ตราบใดที่บรรดาปวงชนชาวไทยทั้งหลาย ท่านยังไม่เปลี่ยน!!! ยังเป็น ทวยไทย ฉบับดั้งเดิม ของเดิม ภายใต้ ครรลองประชาธิปไตย แบบเท่าที่เห็นและเป็นอยู่ ย่อมมีแต่นำมาซึ่งความ แพ้-กับ-แพ้ อยู่อีกนั่นแหละ สำหรับบรรดาผู้ที่ยังพยายามคิดดี-ทำดี หรือยังคงใฝ่ดี ทั้งหลาย อันนี้นี่เอง...ที่อาจถือเป็น หมากตาอับ หรือ หมากตาย สำหรับสังคมไทยและประเทศไทยในอนาคตเบื้องหน้า ที่ยากจะปฏิเสธ แม้ว่ายากที่จะยอมรับ หรือจะยอมศิโรราบกันได้ง่ายๆ...
แต่จะทำอะไรได้!!!...นอกเสียจากต้องสวมรองเท้าผ้าใบ กรูกันไป ลงถนน นั่งตากแดด ตากลม ตากฝน กันเป็นวันๆ-เดือนๆ หรือปีๆ เอาเลยก็ยังมี ก่อนที่จะเทียวไล้-เทียวขื่อ ขึ้นโรง-ขึ้นศาล กันอีกไม่รู้กี่สิบต่อกี่สิบปี ไม่ต่างไปจาก ปลา ที่ติดเบ็ด หรือ นก ที่ติดบ่วงนายพราน แต่ก็ยังแทบไม่ได้ช่วยให้บ้านนี้เมืองนี้ บริสุทธิ์สดใสกว่าแต่ก่อน มากมายซักเท่าไหร่นัก ตราบใดที่บรรดา ทวยไทย ทั้งหลาย ยังคงเป็นเช่นเดิม อย่างไม่คิดจะเปลี่ยนแปรไปเป็นอื่น สิ่งที่เปลี่ยนแปลงเลยเป็นแค่ เปลี่ยนรัฐบาล จาก รัฐบาลพลเรือน มาเป็น รัฐบาลทหาร แล้วก็วนไป-วนมาสู่วงจร-วัฏจักรแบบเดิมๆ ระดับนับเกือบๆ ศตวรรษ เข้าไปแล้วก็ว่าได้...
คำถาม ทุกวันนี้...มันเลยยังคงเป็นคำถามเดิมๆ เป็นโจทย์เดิมๆ ที่ยากส์ส์ส์จะหา คำตอบ ได้แบบหยาบๆ-ง่ายๆ แบบสอง-บวก-สองเป็นสี่ สี่-บวก-สี่เป็นแปด ฯลฯ อะไรทำนองนั้น เพราะมันคงหนีไม่พ้นต้อง ถอดรูท-ถอดสมการ กันอีกเยอะ โดยเฉพาะสมการที่ว่า...ทำอย่างไร? ถึงจะสามารถดลบันดาลให้บรรดา ทวยไทย ทั้งหลาย กลายเป็น ปวงชนที่มีธรรม-ใฝ่ธรรม อันเป็นรากฐานที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งสำหรับสิ่งที่เรียกว่า ประชาธิปไตย ทั้งหลาย หรืออย่างที่นักคิด นักปราชญ์ชาวอินตะระเดีย (Prabhat Ranjan Sarka) ท่านเคยสรุปเป็นข้อๆ นานแล้วนั่นแหละว่าประชาธิปไตยจะต้องประกอบไปด้วยเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้ คือ 1.ความรู้หนังสือ 2.ความตื่นตัวทางสังคม-เศรษฐกิจ และที่สำคัญเอามากๆ คือ 3.ต้องมีศีลธรรมในหมู่ประชาชนตั้งแต่ 51 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป...
ดังนั้น...ตราบใดที่ ทวยไทย หรือบรรดาปวงชนชาวไทยทั้งหลาย ยังไม่ได้เปลี่ยนไปในแนวนี้ โอกาสจะ ตอบโจทย์ ด้วยคำตอบแบบหยาบๆ-ง่ายๆ เลยมีแต่ยิ่งทำให้ เละเป็นโจ๊ก-เละเป็นขี้ ยิ่งขึ้นไปใหญ่ โดยเฉพาะถ้าหากต้องอาศัยสิ่งที่เรียกว่า ประชาธิปไตย เป็นมาตรฐานไปในทุกๆ เรื่อง ทุกๆ กรณี ด้วยเหตุเพราะ ประชาธิปไตย ใดๆ ก็แล้วแต่ ถ้าหากปราศจากเสียซึ่ง ศีลธรรม-คุณธรรม เป็นตัวรองรับและกำกับเอาไว้อย่างมั่นคง แข็งแรงแล้ว มันก็คงไม่ได้ต่างอะไรไปจาก เครื่องมือในการหลอกลวงประชาชน อย่างที่นักปราชญ์อินตะระเดีย Prabhat Rajan Sarkar ท่านได้ ฟันธง เอาไว้ก่อนหน้านั้นแล้วนั่นแล.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ถึงแม้จะไม่ปรารถนา...แต่ว่าบางครั้งยังจำเป็น
ในสังคมประชาธิปไตย การจะได้รัฐบาล ต้องผ่านครรลองของการเลือกตั้ง ไม่ใช่รัฐประหาร ในเมื่อประเทศไทยเป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
เทศนาปาฏิหาริย์!!!
ด้วยเหตุเพราะอ่านหนังสือซะหมดบ้าน!!! อย่างที่เคยบอกๆ เอาไว้แล้ว ก็เลยต้องหันไปคว้าหนังสือเก่า ว่าด้วยเรื่อง จาริกบุญ-จารึกธรรม ของ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต)
จับตา 'เรือฟริเกต' ลำที่ 2
เกือบครบ 1 เดือนพอดีตั้งแต่เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 2568 ที่ ผบ.ต่าย-พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. มีหนังสือบันทึกข้อความ เรื่องประกาศลำดับอาวุโสข้าราชการตำรวจ
ไทม์ไลน์ระยะจุดระเบิดสู่ระยะคลี่คลายทางการเมืองรอบนี้
ในที่สุดความผันผวนจัดทางการเมืองที่มาพร้อมกับ ความอึดอัด กลืนไม่เข้าคายไม่ออก คล้ายๆ การเมืองถูกตรึง ที่เคยทำนายไว้ว่า จะเกิดระหว่าง 19 พฤษภาคม-23 สิงหาคม 2568 อันจะทำให้มีการเปลี่ยนแปลงที่ สูงกว่าปรับคณะรัฐมนตรี
พ่อเคยทำไทยแตกแยก...ลูกก็มาทำอีกแล้ว
พ่อเคยทำให้ประเทศไทยเข้าสู่ภาวะของความขัดแย้ง เกิดกีฬาสีระหว่างเสื้อเหลืองกับเสื้อแดง มีความรุนแรงถึงกับทำร้ายกัน เข่นฆ่ากัน ตายนับสิบ เจ็บนับร้อย
ว่าด้วย‘นักวิเคราะห์ข่าวต่างประเทศ’
เคยมี เพื่อนซี้ เป็นชาวเขมรอยู่รายหนึ่ง...ชื่อว่า เขียว กัณหฤทธิ์ ที่เคยเป็นถึงรัฐมนตรีกระทรวงข่าวสารของกัมพูชา ในรัฐบาลของอดีตนายกฯ ฮวยเซ็ง นี่แหละ