ว่าด้วย 'เพื่อนซี้' ที่เป็นชาวเขมร!!!

เคยมี เพื่อนซี้ เป็นชาวเขมรอยู่รายหนึ่ง...ชื่อว่า เขียว กัณหฤทธิ์ ที่เคยเป็นถึงรัฐมนตรีกระทรวงข่าวสารของกัมพูชา ในรัฐบาลของอดีตนายกฯ ฮวยเซ็ง นี่แหละ แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าจะหมดสภาพ เป็น-ตาย-ร้าย-ดี หรือไม่? ประการใด? เพราะความรู้จัก มักจี่ ความคุ้นเคยสนิทสนมที่ว่า มันผ่านมาตั้งแต่ไม่รู้จะกี่ต่อกี่สิบปีที่แล้ว...

และช่วงที่รู้จักกันแรกๆ ในระหว่างการประชุมอะไรซักอย่างที่ประเทศรัสเซียก็ชักจำไม่ได้ซะแล้ว ท่านก็ยังไม่ถึงกับเป็นใหญ่-เป็นโตอะไรมากมาย ยังเป็นเพียง สื่อ หรือ นักข่าว ธรรมดาๆ ของประเทศเขมรเขา และอาจด้วยความ

เป็นพวก หัวดำ ด้วยกัน หรือเป็นชาวเอเชีย ที่มีโอกาสเข้าไปสอดแทรกในหมู่บรรดาพวกฝรั่ง หัวทอง หรือบรรดาชาวยุโรปที่เข้ามาร่วมประชุมอะไรที่ว่า ความรู้สึกในเชิงมิตรภาพ ความอบอุ่นที่ได้ไปไหนต่อไหนร่วมกัน ในหมู่พวกหัวดำทั้งหลาย อันประกอบไปด้วยคุณพี่ เขียว จากเขมร ท่าน ไพโรจน์ จากลาว รวมทั้งท่าน ทองลุน สีสุลิด ที่ครั้งนั้นยังเป็นแค่รัฐมนตรีเล็กๆ ไม่ได้ขึ้นชั้นเป็นถึงประธานประเทศเหมือนเดี๋ยวนี้ ไปจนแขกมาเลเซียอย่าง บาลา จันดรา เลยกลายเป็นเพื่อนรัก-เพื่อนใคร่ แบบชนิดซี้แหงย่ำปึ้กเอามากๆ...

แต่ถ้าหากมีโอกาสเจอกันในช่วงนี้...คงต้องยอมรับอย่างตรงไป-ตรงมา ว่าอาจหนีไม่พ้นต้องเกิดความแปลกแยก ความอีหลักอีเหลื่อระหว่างกันและกันอยู่พอสมควรทีเดียว คือถ้าหากเผลอไปเรียกขานชื่อ-เสียง-เรียงนามนายเก่าของคุณพี่ เขียว อย่าง สมเด็จฮวยเซ็ง ตามแบบฉบับที่ อาเฮียสนธิ ลิ้มฯ ของบ้านเรา ได้เรียกๆ เอาไว้ครั้งล่าสุด ก็ยังไม่นึกออกว่าคุณพี่ เขียว ท่านอาจลุกขึ้นมาโดดถีบ หรือจะงัดเอามวยเขมรตามแบบฉบับ เคลมโบเดีย ขึ้นมาเล่นงาน จนตัวเราอาจต้องสวมวิญญาณ นายขนมต้ม เพื่อปกป้องสรีระอันบอบบางและใกล้จะไปแหล่-มิไปแหล่ กันในแบบไหน? อย่างไร?

หรือถ้าหากคุณพี่ เขียว ท่านเกิดแสดงอาการหงุดหงิด ฉุนเฉียว ต่อนายกรัฐมนตรีประเทศไทย อย่างเช่นคุณหลาน อุ๊งอิ๊ง ไม่ว่าเรื่องมืออาชีพ-ไม่มืออาชีพ หรืออะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ เราสมควรจะโดดถีบคุณพี่ เขียว ดี-ไม่ดี ก็ยังมิอาจสรุปได้ โดยเฉพาะเมื่อนึกไปถึงบิดาบังเกิดเกล้าของคุณหลาน อุ๊งอิ๊ง ที่เผอิญดันไปเป็นเพื่อนซี้ เพื่อนตาย กับนายเก่าของคุณพี่ เขียว หรือกับ สมเด็จฮวยเซ็ง ที่ อาเฮียสนธิ ลิ้มฯ ท่านถึงขั้นเพิ่มสร้อย ต่อสร้อยชื่อ ฉายา ว่า ณ ช้างสารทำมิดี-มิร้าย เอาเลยถึงขั้นนั้น เรียกว่า...ยิ่งนึกๆ-คิดๆ ยิ่งออกจะปวดหัว เวียนเฮด ยิ่งขึ้นไปใหญ่...

คือระหว่างความเป็นเพื่อน...หรือความมี มิตรภาพ ซึ่งกันและกัน แม้ว่าอาจไม่ได้ถือเป็นเรื่องใหญ่-เรื่องโตสำหรับใครต่อใครก็แล้วแต่ แต่ยังไงๆ...ต้องถือเป็นเรื่อง สำคัญ มิใช่น้อย สำหรับบรรดามวลมนุษย์ทั้งหลาย หรือเป็นสิ่งที่สามารถนำไปใช้เป็นเครื่องวัด คุณค่าแห่งความมนุษย์ เอาเลยก็ยังได้ โดยเฉพาะถ้าหากความเป็น มิตร ที่ว่าตั้งอยู่บนพื้นฐานของ ธรรมะ หรือความถูกต้อง-เป็นธรรม ไม่ว่าต่อตัวเอง ผู้อื่น หรือต่อสภาพสังคมรอบข้าง ไม่ได้นำมาซึ่งความเลวร้าย ความคิดคดทรยศ คดในข้อ-งอในกระดูก หรือเป็นมิตรภาพในแบบที่เรียกว่า กัลยาณมิตร ทั้งหลาย ไม่ได้เป็นแค่ เพื่อนกิน หรือเพื่อนที่พยายามชักจูงเพื่อนๆ ไปในทางเสียหาย แบบ คบคนพาล-พาลพาไปหาผิด อะไรทำนองนั้น...

หรือถ้าหากเพื่อนชวนให้ไปแอบสูบแก๊ส สูบน้ำมัน จากอ่าวไทยมาแบ่งปันกันกิน อันนี้นี่แหละ...ที่น่าจะ โดดถีบ ไม่ว่าขึ้นชื่อว่าเพื่อน-หรือไม่เพื่อนก็แล้วแต่ เพราะเท่ากับเป็นการชวนกันไปทำร้าย ทำลาย ผลประโยชน์ของผู้อื่น หรือผู้ที่สมควรจะได้ ไม่ต่างไปจากถ้าเพื่อนอยากจะได้ปราสาทโน้น-ปราสาทนี้ ทั้งที่ไม่ใช่ของตัวเอง ไม่ใช่สมบัติตัวเองเอาเลยแม้แต่น้อย แต่เพียงเพื่อจะให้เกิด ผลประโยชน์ สำหรับตัวเอง ในการหาเสียง การสร้างคะแนนนิยม แค่ชั่วครั้ง-ชั่วคราว อันนี้...ก็น่าจะ ถีบ ได้ หรือน่าจะ ขนมต้ม ได้ ไม่ว่าตามแบบฉบับไทยๆ หรือฉบับ เคลมโบเดีย ก็แล้วแต่...

สรุปรวมความแล้ว...ถึงจะไม่ได้มีโอกาสเจอะเจอเพื่อนเขมรอย่างคุณพี่ เขียว กันหฤทธิ์ อีกต่อไปแล้ว ไม่มีโอกาสได้นั่งร้องเพลงคาราโอเกะ เหมือนอย่างครั้งที่คุณพี่ เขียว เขาเคยมาเยือนประเทศไทย แต่ความรู้สึกถึงสิ่งที่เรียกว่า มิตรภาพ ระหว่างตัวเราเองกับคุณพี่ เขียว ก็ดูจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงใดๆ แม้แต่นิด ยังคงรู้สึกถึงความอบอุ่น ความรู้จิต-รู้ใจ แบบแค่มองตากันก็รู้เรื่อง และไม่น่าจะมีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้อง โดดถีบ ซึ่งกันและกัน เพราะความรู้สึกถึงมิตรภาพในลักษณะเช่นนี้ มันคงต่างไปจากมิตรภาพระหว่าง สมเด็จฮวยเซ็ง กับ บิดาบังเกิดเกล้า ของคุณหลาน อุ๊งอิ๊ง แบบคนละเรื่อง-คนละม้วน เพราะนั่น...ขนาด หลานแท้ๆ ยังโดนอัดเทปเอามาเผยแพร่ โดยไม่ได้คำนึงถึงความเป็นญาติ ความเป็นเพื่อนสนิท มิตรสหายใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ถึงแม้จะไม่ปรารถนา...แต่ว่าบางครั้งยังจำเป็น

ในสังคมประชาธิปไตย การจะได้รัฐบาล ต้องผ่านครรลองของการเลือกตั้ง ไม่ใช่รัฐประหาร ในเมื่อประเทศไทยเป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

เทศนาปาฏิหาริย์!!!

ด้วยเหตุเพราะอ่านหนังสือซะหมดบ้าน!!! อย่างที่เคยบอกๆ เอาไว้แล้ว ก็เลยต้องหันไปคว้าหนังสือเก่า ว่าด้วยเรื่อง จาริกบุญ-จารึกธรรม ของ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต)

จับตา 'เรือฟริเกต' ลำที่ 2

เกือบครบ 1 เดือนพอดีตั้งแต่เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 2568 ที่ ผบ.ต่าย-พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. มีหนังสือบันทึกข้อความ เรื่องประกาศลำดับอาวุโสข้าราชการตำรวจ

ไทม์ไลน์ระยะจุดระเบิดสู่ระยะคลี่คลายทางการเมืองรอบนี้

ในที่สุดความผันผวนจัดทางการเมืองที่มาพร้อมกับ ความอึดอัด กลืนไม่เข้าคายไม่ออก คล้ายๆ การเมืองถูกตรึง ที่เคยทำนายไว้ว่า จะเกิดระหว่าง 19 พฤษภาคม-23 สิงหาคม 2568 อันจะทำให้มีการเปลี่ยนแปลงที่ สูงกว่าปรับคณะรัฐมนตรี

พ่อเคยทำไทยแตกแยก...ลูกก็มาทำอีกแล้ว

พ่อเคยทำให้ประเทศไทยเข้าสู่ภาวะของความขัดแย้ง เกิดกีฬาสีระหว่างเสื้อเหลืองกับเสื้อแดง มีความรุนแรงถึงกับทำร้ายกัน เข่นฆ่ากัน ตายนับสิบ เจ็บนับร้อย

ว่าด้วย‘นักวิเคราะห์ข่าวต่างประเทศ’

เคยมี เพื่อนซี้ เป็นชาวเขมรอยู่รายหนึ่ง...ชื่อว่า เขียว กัณหฤทธิ์ ที่เคยเป็นถึงรัฐมนตรีกระทรวงข่าวสารของกัมพูชา ในรัฐบาลของอดีตนายกฯ ฮวยเซ็ง นี่แหละ