'อัยการวัชรินทร์' ขีดเส้น 2 เดือน สรุปสำนวน 'คดีรีด 140 ล้าน'

‘วัชรินทร์’ หัวโต๊ะประชุมคดี 140 ล้าน ขีดเส้น 2 เดือน สรุปสำนวนส่งอัยการปราบทุจริต ยืนยันทุกอย่างต้องชัดเจน ให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย

30 ต.ค. 2566 – ที่สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานการสอบสวน อาคารถนนบรมราชชนนี นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน หัวหน้าชุดคณะทำงานตรวจสอบหรือกำกับการสอบสวน คดี 140 ล้าน เรียกประชุมคณะพนักงานสอบสวนทั้งพนักงานอัยการ และตำรวจ โดยมีพล.ต.ต. กิติศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ รักษาราชการเเทน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ซึ่งเป็นผู้เเทน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เข้าร่วมประชุม

นายวัชรินทร์ ภานุรัตน์ รองอธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน เปิดเผยถึงความคืบหน้าในคดีว่า เนื่องจากคดีนี้เข้าข่ายความผิดตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย หรือ พ.ร.บ.อุ้มหายฯ ซึ่งพนักงานอัยการต้องเข้าร่วมการสอบสวนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตามกฎหมาย โดยก่อนหน้านี้ได้มีการแต่งตั้งคณะพนักงานอัยการเพื่อกำกับดูแลคดีนี้แล้ว แต่ภายหลังมีบางส่วนที่ได้รับการแต่งตั้งโยกย้ายไป จึงได้มีการแต่งตั้งชุดทำงานคณะใหม่ขึ้นมา ขณะที่ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่เดิมทีมี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนในคดีนี้ ได้เปลี่ยนแปลง อำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบไปแล้วในวาระการแต่งตั้งโยกย้ายครั้งล่าสุด รวมถึงมีตำรวจพนักงานสอบสวนบางนายในคดีนี้ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อได้ เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์พนันออนไลน์ ซึ่งสืบเนื่องจากการเข้าตรวจค้นบ้านพักของพล.ต.อ.สุรเชษฐ์เมื่อต้นเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา ขณะนี้จึงอยู่ระหว่างรอให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีคำสั่งแต่งตั้งหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนชุดใหม่เพื่อกำกับดูแลคดีนี้ต่อไป

โดยในวันนี้ทางคณะพนักงานอัยการและเจ้าหน้าที่ตำรวจจะร่วมกันหารือถึงความคืบหน้าทั้งหมดในคดี เพื่อกำหนดแนวทางในการดำเนินคดีและ รวบรวมพยานหลักฐาน จัดทำส่งสำนวนให้พนักงานอัยการพิจารณาสั่งฟ้องต่อไป โดยยืนยันว่าจะเร่งทำสำนวนให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เบื้องต้นได้สอบปากคำพยานในคดีนี้ไปแล้วจำนวน 15 ราย

ต่อมา นายวัชรินทร์ เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า จากการประชุมร่วมกันระหว่างทีมพนักงานสอบสวนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และทีมพนักงานอัยการสอบสวน ก็มีการตกผลึกข้อมูลร่วมกัน โดยได้หารือในประเด็นต่างๆ ว่ายังมีประเด็นใดที่ค้างคา ต้องสอบสวนเพื่อหาความเชื่อมโยงเพิ่มเติมให้ชัดเจนมากที่สุด โดยเฉพาะเรื่องเส้นทางการเงิน และได้ข้อสรุปว่า คณะทำงานจะสามารถทำสำนวนคดีนี้ให้เสร็จได้ภายใน 2 เดือน โดยการทำสำนวนจะต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายทั้งผู้เสียหายและผู้ต้องหา และยืนยันว่าทุกอย่างต้องชัดเจน ต้องตอบให้ได้ทั้งหมดว่าใครถูกดำเนินคดีเพราะอะไร มีความเชื่อมโยงตรงไหน หากไม่พบความเกี่ยวข้อง จะไม่มีการดำเนินคดี

ส่วนพยาน 15 ปาก ที่คณะทำงานได้เรียกมาสอบสวนเพิ่มเติมไปแล้วนั้น ถือว่าเป็นประโยชน์ ได้ข้อมูลที่เพียงพอ หลังจากนี้ อาจมีการเรียกพยานใหม่มาสอบสวนเพิ่มเติมอีก แต่ถือว่าเหลือไม่มากแล้ว โดยในการสอบสวน จะเรียกมาที่สำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด อาคารถนนบรมราชชนนี ซึ่งมีการตั้งวอร์รูมขึ้นที่นี่

สำหรับหัวหน้าทีมพนักงานสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจะมีการแต่งตั้งคนใหม่มาแทน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาตินั้น ในการประชุมวันนี้ ได้เน้นย้ำกับทีมพนักงานสอบสวนของตำรวจที่รู้รายละเอียดสำนวนเป็นอย่างดีว่า ให้อธิบายรายละเอียดกับผู้ที่จะมาดูแลสำนวนคนใหม่ให้รัดกุมครบถ้วนมากที่สุด เพื่อให้สามารถดำเนินการต่อได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ ยืนยันว่า แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงคณะทำงานหลายส่วน แต่การทำงานคดีนี้ไม่มีสะดุดแน่นอน ที่ผ่านมาก็มีการสอบสวนมาอย่างต่อเนื่อง แม้มีพนักงานสอบสวนของตำรวจบางส่วนที่ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ แต่อัยการก็ยังประสานกับส่วนที่เหลือให้มาร่วมสอบสวนตลอด

โดยหลังจากคณะพนักงานสอบสวนสรุปสำนวนมีความเห็นสั่งฟ้องในชั้นสอบสวน จะส่งสำนวนให้อัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต พิจารณาสั่งฟ้องต่อไป โดยคดีนี้เกี่ยวข้องกับความผิดของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งอยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง

ผู้สื้อข่าวรายงานว่า สำหรับกรณีนี้ ตำรวจ สภ.คูคต ได้ดำเนินคดี พล.ต.ต.กัมพล ลีลาประภาภรณ์ อดีตผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี และลูกน้อง รวม 10 คน กรณีไปจับกุมผู้ต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องกับเว็บพนัน แล้วนำตัวไปรีดเงิน 140 ล้านบาท เพื่อแลกกับการเคลียร์คดี จนมีวลีเด็ดว่า “เป้รักผู้การเท่าไหร่ เป้เขียนมา” แต่ภายหลังกลุ่มผู้ต้องสงสัยไม่พอใจกับพฤติกรรมของตำรวจชุดจับกุม จึงได้นำหลักฐานเข้าแจ้งความกับตำรวจ สภ.คูคต จังหวัดปทุมธานี เพื่อดำเนินคดีกับตำรวจชุดดังกล่าว ซึ่งต่อมาพนักงานสอบสวนได้ส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พิจารณา และต่อมา ป.ป.ช. มีคำสั่งให้ส่งสำนวนกลับมาให้ชุดพนักงานสอบสวนเดิมทำคดีต่อ

ในคดีนี้แรกเริ่มเดิมทีต้นเรื่องเป็นของพนักงานสอบสวน สภ. คูคต จากนั้นจึงมีการตั้งคณะทำงานเพิ่มเติมโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติชาติ ซึ่งมอบหมายให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน แต่ในข้อกฎหมายการกระทำความผิดที่เข้าข่าย พ.ร.บ.อุ้มหายนั้น จะต้องมีพนักงานอัยการเข้าไปร่วมสอบสวนกับตำรวจในชั้นสอบสวนด้วย ซึ่งเดิมทีเป็นอำนาจของสำนักงานอัยการจังหวัดปทุมธานี แต่เนื่องด้วยมีการเกิดเหตุในหลายพื้นที่ทั้งในกรุงเทพมหานคร ปทุมธานี และเชียงราย ทางสำนักงานอัยการจังหวัดปทุมธานี จึงทำหนังสือถึงอัยการสูงสุดว่าเห็นควรให้ทำคดีนี้อย่างไร ซึ่งต่อมาอัยการสูงสุดได้มีคำสั่งให้สำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด เป็นผู้ทำคดีร่วมสอบสวนกับตำรวจ ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานทำสำนวน.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อัยการเลื่อนสั่งคดี 'ศรีสุวรรณ-เจ๋งดอกจิก' กับพวกตบทรัพย์อธิบดีกรมการข้าว

พนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต 3 นัดฟังคำสั่งในคดีที่พนักงานสอบสวน กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.)ได้นำสำนวนพร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้อง นายยศวริศ ชูกล่อ

'บิ๊กต่อ' สั่งนครบาลสอบด่วน! ป้ายซื้อขายพาสปอร์ต ผิดจริงฟันแน่

'ผบ.ตร.' สั่งตรวจสอบที่มาของป้ายโฆษณาภาษาจีน รับทำหนังสือเดินทาง-ขอสัญชาติต่างๆ กำชับ สตม. ตรวจสอบ คัดกรองคนต่างด้าว เจอกระทำผิดฟันตามกฎหมายทุกมิติ

‘บิ๊กเอก’ ยกเสียงสะท้อนจากตำรวจ เจ็บปวดผู้มีอำนาจข่มขืนองค์กร ถึงเวลาต้องปฏิรูปตร.

อีกเสียงสะท้อนจากนายตำรวจ ที่สื่อสารออกมา อย่างเจ็บปวด เปรียบเทียบให้เห็นภาพองค์กรตำรวจ ผู้มีอำนาจทางการเมือง อดีตผู้บังคับบัญชาสูงสุด ทำอะไรไว้ ควรที่จะปฏิรูปตำรวจอีกหรือไม่

'อดีตผช.ผญบ.' ยิงกำนันสาวเจ็บสาหัส ก่อนฆ่าตัวตายหนีความผิด

'อดีตผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน' ใช้อาวุดปืน .38 จ่อยิงกำนันสาว ต.แก่งโสภา จนบาดเจ็บสาหัส กลางงานเลี้ยง ก่อนยิงตัวเองเสียชีวิตหนีความผิด

ศาลตัดสินจำคุก 5 ปี อดีตนางเอก 'แยม ธมลพรรณ์' ส่วนสามีโดน 20 ปี คดีเว็บพนัน-ฟอกเงิน

ศาลอาญาสั่งจำคุก 5 ปี แยม ธมลพรรณ์ อดีตนักแสดงละครจักรๆวงศ์ๆ ส่วนสามี ภูมิพัฒน์ โดนคุก 20 ปี เปิดเว็บพนัน ฟอกเงินอื้อ ส่วนจำเลยอื่นรับโทษลดหลั่นไป ยกฟ้อง 1 คน หนีประกัน 2 คน