ทิศทาง ‘รทสช.’ เมื่อไร้ ‘บิ๊กตู่’ เงื่อนไขน้อย ศัตรูมีแค่ ‘ก้าวไกล’

ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม สำหรับการประกาศวางมือทางการเมือง และลาออกจากสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติของ "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 

เรื่องนี้นอกจากคนใกล้ชิดแล้ว ไม่มีใครทราบเรื่อง มีสัญญาณเพียงไม่กี่สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้าการประกาศออกมาไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น 

ไม่ว่าจะเป็นการสั่งลาก่อนปิดประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ว่า “ขอให้ทุกคนโชคดี” ซึ่ง ณ ตอนนั้นคนในห้องไม่มีใครสงสัยในประโยคดังกล่าวเลยว่า มันจะเป็นคำกล่าวที่มีความหมาย เพราะเป็นคำพูดของ "บิ๊กตู่" ที่มักจะพูดทุกครั้งก่อนปิดประชุม   

 หรือการพูดกับสื่อมวลชนที่รอดักสัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า “วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส ดูสว่างสวยงาม” 

แต่กว่าจะรู้ว่ามันเป็นสัญญาณ ก็ต่อเมื่อมีการประกาศออกมาแล้ว ถึงจะย้อนกลับไปคิดถึงปฏิกิริยาเหล่านี้ ว่ามันมีนัยสำคัญ  

เมื่อเป็นแบบนี้ การทำงานวันสุดท้ายของ "บิ๊กตู่" ในฐานะนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ของประเทศไทย คือวันที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศ พาคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณตน ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะเป็นวันไหน ตราบใดที่ประเทศยังไม่ได้ผู้นำคนใหม่จากความเห็นชอบของที่ประชุมร่วมสองสภา 

อย่างไรก็ดี การประกาศวางมือของ "บิ๊กตู่" มันทำให้ความหวาดระแวง ข่าวลือต่างๆ นานาหายไป โดยเฉพาะเรื่องการชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ขณะเดียวกัน มันยังเป็นการสลัดความเกี่ยวข้องใดๆ กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นนับจากนี้   

"บิ๊กตู่" ลอยตัวไปแล้ว นับจากนี้หากมีอะไรเกิดขึ้นในทางการเมือง จะไม่เกี่ยวกับนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ของประเทศอีก แต่เกี่ยวข้องกับนักการเมือง พรรคการเมือง และ ส.ส.ที่ยังดำเนินต่อ  

ลองคิดดูว่า หากเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม "บิ๊กตู่" ไม่ได้ประกาศวางมือ ในขณะที่วันที่ 12 กรกฎาคม คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัติของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล ใครจะถูกมองเป็นผู้ร้าย?  

 หรือในวันที่ 13 กรกฎาคมนี้ ซึ่งจะมีการโหวตนายกรัฐมนตรี หากชื่อของนายพิธายังไม่ผ่าน หรือเจออุปสรรคอะไร หอกดาบจะพุ่งไปหาใคร ถ้าไม่ใช่ "บิ๊กตู่

 แต่วันนี้เมื่อ "บิ๊กตู่" ไม่อยู่ มันจึงเป็นเรื่องของ "คนที่ยังอยู่" เท่านั้น 

ขณะที่ทิศทางของพรรครวมไทยสร้างชาติ หรือ "พรรคลุงตู่" นับจากนี้ถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ในวันที่ขาด "ศูนย์กลาง" จะเดินไปทางไหนต่อ  

ในทางการเมืองมองกันว่า เมื่อไม่มี "บิ๊กตู่" แล้ว ข้อจำกัดของพรรครวมไทยสร้างชาติอาจจะน้อยขึ้น รวมถึงข้อจำกัดในการผสมพันธุ์ทางการเมือง 

โดยคนที่มีอิทธิพลกับพรรครวมไทยสร้างชาติ นอกจาก "บิ๊กตู่" แล้วก็ยังคงเหลืออยู่ โดยเฉพาะ "นายทุน" ของพรรค ที่สามารถกำหนดทิศทางของพรรคได้ 

ซึ่งมีรายงานว่า นายทุนผู้มากบารมีทางการเมืองรายนี้ จะยังเดินหน้าทำพรรครวมไทยสร้างชาติต่อ โดยมีจุดมุ่งหมายให้เป็นผู้นำของพรรคฝ่ายอนุรักษนิยม 

ต้องการใช้พรรครวมไทยสร้างชาติเป็นดังกองกำลังและฐานเสียงสำคัญในพื้นที่ภาคใต้ และเป็นพรรคเบอร์หนึ่งของดินแดนสะตอ   

นายทุนรายนี้ไม่ได้เป็นแค่ผู้มากบารมีในพรรครวมไทยสร้างชาติเท่านั้น แต่ยังทรงอิทธิพลในพรรคขนาดใหญ่ฝ่ายเสรีประชาธิปไตยด้วย  

เป็นคนที่ทำการเมืองแบบ "สองขา" และเป็นคนที่สามารถทำให้ผู้นำฝ่ายอนุรักษนิยมและพรรคขนาดใหญ่ในฝ่ายเสรีประชาธิปไตย ผสมผสานเป็นเนื้อเดียวกันได้ ซึ่งอาจจะได้เห็นในเร็วๆ นี้ 

คนที่คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ อาจจะต้องทบทวนดูใหม่ เพราะมันมีสัญญาณมาตั้งแต่การโหวตเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร และรองประธานสภาผู้แทนราษฎร เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาแล้ว 

จะเห็นว่า ส.ส.ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ส่งบุคคลชิงตำแหน่งทางนิติบัญญัติกับพรรคก้าวไกลเพียงพรรคเดียว นั่นคือ นายวิทยา แก้วภราดัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่ชิงเก้าอี้รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 กับ นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกลเท่านั้น 

 ในขณะที่นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา จากพรรคประชาชาติ และนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย พรรครวมไทยสร้างชาติไม่ได้ขัดขวางเลย  

หากมองให้ดีๆ มันเป็นการ "ทอดไมตรี" ให้แก่กันอย่างหนึ่ง หรือเป็นการแสดงออกอย่างหนึ่งว่า สามารถทำงานร่วมกันได้  

 และที่ผ่านมา พรรครวมไทยสร้างชาติชัดเจนมาตลอดว่า ไม่สังฆกรรมกับพรรคที่มีความคิดจะแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งก็คือพรรคก้าวไกลเท่านั้น ไม่ได้ประกาศเป็นศัตรูกับพรรคอื่นใดเลย  

 ฉะนั้น นับจากนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ ตราบใดที่ "ศัตรู" ของพรรครวมไทยสร้างชาติมีเพียงแค่ "พรรคก้าวไกล" เท่านั้น. 

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เคาต์ดาวน์สว.5ปีอำลาเก้าอี้ จับตาเลือกตะลุมบอนรอบใหม่

เคาต์ดาวน์สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ชุดปัจจุบัน ที่จะหมดวาระดำรงตำแหน่งในวันที่ 11 พ.ค.นี้ บางคนบอกลากันทีชุดลากตั้ง ที่มีคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นผู้ให้กำเนิด และมาพร้อมกับอำนาจพิเศษที่สามารถโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีได้ด้วย

“อุ๊งอิ๊ง”เล่นใหญ่เกินเบอร์ ไล่ทุบ"แบงก์ชาติ"กระแสตีกลับ สงครามเย็น พท.-ธปท.จบยาก

เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี-รมว.พาณิชย์ แกนนำรัฐบาลเพื่อไทย ออกมาดาหน้าปกป้อง อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร-หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เป็นการใหญ่ หลังโดนวิจารณ์-ถล่มเละ กรณี อุ๊งอิ๊ง เล่นใหญ่เกินเบอร์ ใช้เวทีอีเวนต์การเมืองของพรรคเมื่อ 3 พ.ค. อ่านโพยตามสคริปต์ที่คนเขียนมาให้ ด้วยการ อัดธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่า

เศรษฐา1/1เร่งเครื่อง ปม'พิชิต'ทำติดหล่ม หวังศาลรธน.เคลียร์จบ

ครม.เศรษฐา 1/1 หลังจากนี้ก็สามารถเข้าปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเป็นทางการ หลังเมื่อวันศุกร์ที่ 3 พ.ค.ที่ผ่านมา เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี นำ รมต.ที่ได้รับการแต่งตั้ง ที่มีทั้งรัฐมนตรีหน้าใหม่

'อุ๊งอิ๊ง' ดูไว้! นักการเมืองต้องรักษาสัจจะเหมือน 'อภิสิทธิ์' เคยหาเสียงไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์

เมื่อน.ส.แพทองธาร ชินวัตร กล่าวในงานอีเวนต์ ”10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10“ ว่า พรรคเพื่อไทยตัดสินใจถูกตั้งรัฐบาลผสม

พิสูจน์ฝีมือ ‘ครม.เศรษฐา2’ ปรับทัพใหม่ รอดหรือร่วง?

หลังปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เรียบร้อย โดยมีรัฐมนตรีเข้าใหม่ 7 คน และออก 4 คน ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ กว่าจะได้คนที่ถูกฝาถูกตัว ก็ต้องมีทั้งคนที่พอใจและไม่พอใจเป็นธรรมดา

คณะสอบวินัย"บิ๊กโจ๊ก"ส่อเค้าวุ่นไม่จบ “สราวุฒิ”จ่อเกษียณโยนเผือกร้อนสีกากี

สู้กันทุกกระบวนท่าเต็มสรรพกำลังอภิมหาศึก “สีกากี” สำนักงานตำรวจแห่งชาติ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.ที่ถูกคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนพัวพันคดีเว็บพนันออนไลน์ ระบุว่า “การสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมาย”