มหากาพย์คดี "บอส อยู่วิทยา" จาก "คนช่วย" กลายเป็น "ผู้ถูกกล่าวหา"

เป็นอีกหนึ่งคดีประวัติศาสตร์ สำหรับกรณีช่วยเหลือให้นายวรยุทธ หรือ บอส อยู่วิทยา ให้รอดคดีขับรถชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ผบ.หมู่งานปราบปราม

นับตั้งแต่เกิดเหตุในปี 2555 มาถึงวันนี้ผ่านมาเกือบ 12 ปี แต่ยังคงอยู่ในการรับรู้และความทรงจำของผู้คน เนื่องจากผู้ต้องหาเป็นทายาทตระกูลดัง และยังพบความพยายามในการช่วยเหลือเพื่อให้นายวรยุทธรอดคดี หรือรับโทษน้อยที่สุด

เป็นคดีที่สั่นคลอนกระบวนการยุติธรรม ตั้งแต่ชั้นตำรวจและอัยการ โดยเฉพาะการพยายามเปลี่ยนแปลงความเร็วของรถที่นายวรยุทธขับให้เหลือแค่ไม่ถึง 80 กิโลเมตร/ชม. กระทั่งในปี 2563 อัยการมีคำสั่ง 'ไม่ฟ้อง' นายวรยุทธ โดยอ้างว่า คดีมีพยานหลักฐานไม่พอฟ้อง

กระแสสังคมในขณะนั้นไม่มีใครรับได้ พร้อมวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความเหลื่อมล้ำในกระบวนการยุติธรรมว่า คุกมีไว้ขังคนจนเท่านั้น

เมื่อสังคมรับไม่ได้ พร้อมกับเรียกร้องให้ผู้มีอำนาจทำอะไรสักอย่างเพื่อรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกระบวนการยุติธรรม ทำให้รัฐบาลขณะนั้น ที่นำโดย 'บิ๊กตู่' พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 225/2563 แต่งตั้ง วิชา มหาคุณ อดีตกรรมการ ป.ป.ช.เป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญานายวรยุทธ อยู่วิทยา ซึ่งถูกตั้งข้อหาเป็นคดีอาญา 5 ข้อหา รวมถึงข้อหาขับรถโดยประมาทจนทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

คณะกรรมการชุด 'วิชา' ได้ตรวจสอบและมีข้อสรุปว่า การสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ มีกระบวนการสอบสวนไม่ชอบ มีการสมคบคิดเพื่อประวิงคดีในชั้นอัยการ ใช้อิทธิพลการเมืองกดดันกระบวนการยุติธรรม

ขณะเดียวกันยังมีข้อเสนอแนะให้ดำเนินคดีและวินัยต่อผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ตั้งแต่พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ ผู้บังคับบัญชา สมาชิกสภานิติบัญญัติ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่แทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ ทนายความซึ่งทำผิดกฎหมาย พยานที่ให้การเท็จ ตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุนให้เกิดการทำผิดดังกล่าว

ต่อมาในปี 2564 คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มีมติให้กรรมการ ป.ป.ช.ทุกคนเป็น 'องค์คณะไต่สวน' โดยมีผู้ถูกกล่าวหาจำนวน 15 ราย มีทั้งตำรวจ อัยการ ฝ่ายการเมือง

คดีนี้ ป.ป.ช.ใช้เวลากว่า 2 ปี กระทั่งมีมติชี้มูลความผิดผู้ถูกกล่าวหาหลายรายเมื่อเดือนกันยายน 2566 โดยมีบิ๊กข้าราชการตำรวจในนั้นด้วย ไม่ว่าจะเป็น 'บิ๊กอ๊อด' พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ 'บิ๊กอุ้ม' พล.ต.ท.เพิ่มพูน ชิดชอบ อดีตผู้ช่วย ผบ.ตร. รวมไปถึง นายเนตร นาคสุข อดีตรองอัยการสูงสุด ผู้เซ็นสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ

จากนั้น ป.ป.ช.ได้ส่งเรื่องให้อัยการสั่งฟ้องผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมด ซึ่งแต่แรกมีการจับตาว่า เมื่อมาถึงอัยการแล้วอาจจะต้องมีการตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างอัยการกับ ป.ป.ช.เพื่อพิจารณาข้อไม่สมบูรณ์ เหมือนกับอีกหลายๆ คดีใหญ่ จนบางครั้ง ป.ป.ช.ตั้งส่งฟ้องเอง

แต่ปรากฏว่า คดีนี้กลับรวดเร็วกว่าคดีอื่นๆ ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ อัยการได้มีคำสั่งรับดำเนินคดีอาญาฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 กับพวกรวม 8 ราย

8 รายที่อัยการรับดำเนินคดีอาญาฟ้องนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นระดับ 'บิ๊ก' ทั้งสิ้น ได้แก่ พล.ต.อ.สมยศ, พล.ต.ต.ธวัชชัย เมฆประเสริฐสุข เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้บังคับการกองพิสูจน์หลักฐาน, พ.ต.อ.วิรดล ทับทิมดี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งพนักงานสืบสวนสอบสวน, นายเนตร นาคสุข เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองอัยการสูงสุด, นายชัยณรงค์ แสงทองอร่าม พนักงานอัยการ, นายธนิต บัวเขียว, นายชูชัย หรือพิชัย เลิศพงศ์อดิศร นายก อบจ.เชียงใหม่ และนายสายประสิทธิ์ เกิดนิยม

สำหรับผู้ถูกกล่าวหาอื่นๆ นั้น ในส่วน พล.ต.ท.มนู เมฆหมอก และ พ.ต.อ.วิวัฒน์ สิทธิสรเดช คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติกันไว้เป็นพยาน

ขณะที่ พ.ต.ท.ปัณณ์ณภณ นามเมือง หรือคทาธร พัชรนามเมือง พล.อ.ท.จักรกฤช ถนอมกุลบุตร พล.อ.ท.สุรเชษฐ ทองสลวย คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนดำเนินการตาม ป.วิ.อาญา และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 63

ส่วน พล.ต.ท.เพิ่มพูน คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาที่มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนเพื่อดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 64 ที่เหลืออีก 5 คน คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติไม่ชี้มูล

มีการตั้งข้อสังเกตกันว่า คดีนี้เป็นเรื่องที่สังคมจับตาอย่างมาก การที่ ป.ป.ช.ชี้มูลระดับ ‘บิ๊กตำรวจ-บิ๊กอัยการ-นักการเมือง’ ทั้งที่บางคนมีคอนเน็กชันกว้างขวาง เป็นอดีตหัวหน้าส่วนราชการ เพื่อไม่เป็นการซ้ำเติมข้อครหาเรื่องการช่วยเหลือกัน และเป็นการแสดงให้เห็นว่า พร้อมจัดการกับทุกระดับ

ขณะที่ในชั้นอัยการที่รวดเร็ว นั่นเพราะคดีนี้ทำให้องค์กรอัยการเสียหายอย่างหนักจากการเซ็นคำสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ หากตุกติก หรือมีคำถามอีกจะยิ่งเป็นการซ้ำเติมองค์กร ฉะนั้น จึงต้องฉับไวเพื่อกู้ศรัทธา

กระบวนการหลังจากนี้จะเป็นการต่อสู้กันในชั้นศาล ซึ่งน่าจะใช้ระยะเวลาพอสมควร ผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้มีชื่อเสียงและคอนเน็กชันทางการเมือง น่าจะไม่ยอมง่ายๆ

แต่ไม่ว่าจะนานแค่ไหน ย่อมไม่สามารถลบคดีนี้จากความจำของผู้คน ทันทีที่ได้ข้อสรุปที่ไม่สมเหตุสมผล หรือมีความไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นอีก กระบวนการยุติธรรมจะถูกตั้งคำถามอีกครั้ง

สุดท้ายจะกอบกู้ความศรัทธาและความศักดิ์สิทธิ์ของกระบวนการยุติธรรมได้หรือไม่ มีแต่คนเฝ้ารอดู.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

“ลุง”กับ“อา”ใจถึงพึ่งได้ เฮือกสุดท้ายใน”บ้านป่า”?

“เปิดต้อนรับนักการเมืองเทรนด์เดียวกัน ที่รสนิยมในเรื่องของ พรรคพวก เพื่อนฝูง พี่น้อง ต้องมาก่อน เรื่องคำมั่นสัญญา การไม่หักหลังกัน เปรียบเหมือน ปฏิญญา-กฎเหล็ก ในการคบหากันของแวดวงคนใจนักเลง”

“อนุทิน-ภท.” “พยัคฆ์ติดปีก”

กรณีสถานการณ์ “กัญชา” พลิกจากเดิมที่จะถูกดึงกลับไปเป็นยาเสพติด หักนโยบายพรรคภูมิใจไทยสร้างมา เป็นการออก พ.ร.บ. เพื่อใช้เฉพาะทางการแพทย์ วิจัย เศรษฐกิจเท่านั้น

ผลโหวตวุฒิสภาชุด13 ‘มงคล’ปธ.หัวใจสีเหลือง

ผ่านพ้นจนได้ สำหรับการเลือกประธานวุฒิสภา และรองประธานวุฒิสภา 2 ตำแหน่ง แม้จะมีเรื่องขรุขระต้องนับคะแนนใหม่อีกรอบหนึ่ง ในการเลือกรองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 เนื่องจากมีคะแนนเกินมา 1 แต้ม

ยังไม่จบ ศึกชิงอำนาจสภาสูง แผนสองกินรวบ ปธ.กมธ.ทุกชุด!

วันอังคารนี้ 23 ก.ค. คาดว่าคงไม่เกินช่วงเที่ยงๆ ก็จะได้รู้กันแล้วว่า ผลการโหวตของสมาชิกวุฒิสภา (สว.) เพื่อเลือก ประมุขสภาสูง-ประธานวุฒิสภา และ รองประธานวุฒิสภาคนที่หนึ่ง-รองประธานวุฒิสภาคนที่สอง รวมสามเก้าอี้ใหญ่สภาสูงจะออกมาอย่างไร

ตั้งกลุ่มสว.สีเขียว-ปิดดีล'อยู่บำรุง' 'บ้านป่าฯ'ยังมีของไม่วางมือ

การขยับทางการเมืองของ บ้านป่ารอยต่อฯ ภายใต้การนำของพี่ใหญ่ตระกูล วงษ์สุวรรณ บิ๊กป้อม-พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ในช่วงนี้น่าสนใจไม่น้อย ทั้งกระแสข่าวดึงสมาชิกวุฒิสภา (สว.)

พรรคร่วมรัฐบาลขอเขย่า ไม่ตกเป็น'หมูในอวย'พท.

แม้ว่าพรรคร่วมรัฐบาล นำโดยพรรคภูมิใจไทย พรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติ ฯลฯ จะยอมผ่านเรือธงของพรรคเพื่อไทย โครงการดิจิทัลวอลเล็ต แจกเงิน 1 หมื่นบาทให้แก่ประชาชนจำนวน 50 ล้านคน