ภายใต้การบริหารราชการแผ่นดินของพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ซึ่งนำโดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย เพื่อนับวันยุบสภาใน 4 เดือนตามข้อตกลงกับพรรคประชาชน (ปชน.) เกิดปมร้อนขึ้นมา เมื่อ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกฯ ระบุถึงการเตรียมทำประชามติพ่วงในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้า
โดยใช้บัตรเลือกตั้ง 4 ใบ คือ สส.เขต สส.บัญชีรายชื่อ ประชามติร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และประชามติยกเลิก MOU ไทย-กัมพูชา หรือ MOU 43 และ MOU 44 พร้อมกันในคราวเดียวนั้น
ทำให้หลายฝ่ายมีข้อกังวลมากว่า เหตุที่ ภท.เลือกสอดไส้เข้าไปแบบนี้ เพื่อหวังเลี้ยงกระแสชาตินิยม เพิ่มคะแนนให้กับพรรคตัวเองยาวไปจนถึงวันเลือกตั้งหรือไม่
เพราะในเชิงวิธีการ อาจมองได้ว่า การโยนเรื่องที่ละเอียดอ่อน มีผลกระทบใหญ่หลวงต่ออธิปไตย และผลประโยชน์ชาติ ให้ประชาชนตัดสินใจภายใต้ความไม่รู้ ก็คือการเลี่ยงความรับผิดชอบ และเป็นเกมการเมืองที่อาจนำมาซึ่งความเสียหายในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และการเจรจาในอนาคต
เนื่องจาก นายอนุทิน ไม่ได้ดูลดละในข้อเสนอนี้แต่อย่างใด ให้เหตุผลเพียงว่า จำเป็นต้องเร่งทำความเข้าใจให้ประชาชนได้รับทราบสิทธิและหน้าที่อย่างชัดเจน พร้อมเน้นย้ำว่า คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ กำลังศึกษาอยู่ หากผลออกมาชี้ว่าไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย รัฐบาลก็สามารถยกเลิกได้ โดยมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพราะอำนาจอยู่ที่ ครม. แต่ที่มีข้อเสนอให้นำเข้าสู่ประชามติ ก็เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วม และเป็นการให้เกียรติประชาชน
ล่าสุด นิด้าโพล ได้มีการเปิดเผยผลการสำรวจเรื่อง ‘จะทำประชามติแล้ว…เข้าใจ MOU 43 และ MOU 44 หรือยัง’ ซึ่งสะท้อนความรู้ความเข้าใจของประชาชนเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวได้เป็นอย่างดี เมื่อถามความเข้าใจของประชาชนเกี่ยวกับเรื่อง MOU 43 พบว่า ร้อยละ 44.12 ระบุว่า ไม่เข้าใจเลย รองลงมา ร้อยละ 24.96 ระบุว่า ไม่ค่อยเข้าใจ ด้านความเข้าใจของประชาชนเกี่ยวกับเรื่อง MOU 44 พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 45.73 ระบุว่า ไม่เข้าใจเลยรองลงมา ร้อยละ 24.96 ระบุว่า ไม่ค่อยเข้าใจ ร้อยละ 22.44
เมื่อความต้องการในการทำความเข้าใจเรื่อง MOU 43 และ MOU 44 ให้ชัดเจนมากขึ้น ร้อยละ 65.50 ระบุว่า ต้องการที่จะเข้าใจทั้ง MOU 43 และ MOU 44 รองลงมา ร้อยละ 34.04 ระบุว่า ไม่ต้องการที่จะเข้าใจเลยทั้ง MOU 43 และ MOU 44
ขณะที่เมื่อถามความคิดเห็นต่อการทำประชามติเรื่องการยกเลิก MOU 43 และ MOU 44 พบว่า ตัวอย่างกว่าร้อยละ 60.76 ระบุว่า เห็นด้วยที่จะมีการทำประชามติ ยกเลิกทั้ง MOU 43 และ MOU 44
หากมองลงลึกไปในตัวเลข สิ่งที่ปรากฏเห็นชัดมากที่สุดคือ ประชาชนส่วนมาก ไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวเพียงพอ
ส่วนภาคประชาชน บางส่วนมีจุดร่วมคือ ความกังวลต่อผลประโยชน์ชาติ และความไม่พร้อมของประชาชนในการตัดสินใจเรื่องที่ซับซ้อน พร้อมเรียกร้องการดำเนินการที่รอบคอบ และแผนสำรองที่ชัดเจน แต่ก็มีอีกฝั่งก็สนับสนุนให้มีการยกเลิกแบบเต็มตัวด้วย
ในมุมฝ่ายการเมือง ดูจะมีแนวโน้มไปในทิศทางคล้ายกันว่า ไม่ควรโยนภาระให้ประชาชาชน โดยเฉพาะพรรคประชาชน ซึ่งเคยมุ่งหวังหนักแน่นจะได้แก้ไขรัฐธรรมนูญ ยังเซอร์ไพรส์กับเรื่องนี้ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรค มองว่า กระบวนการเรื่อง MOU เป็นเรื่องที่มีความละเอียดซับซ้อน จึงไม่เชื่อว่าจะสามารถจัดเวทีสาธารณะให้ความรู้แก่ประชาชนได้อย่างรอบด้าน เพราะยังมีบางเรื่องที่ขนาดประชุมกันในรัฐสภายังขอประชุมลับเลย ทั้งยังมีข้อห่วงใยด้วยว่า การทำประชามติแบบนี้ ผลลัพธ์ที่ได้ จะไม่ใช่ผลที่สะท้อนเจตจำนงที่แท้จริงของประชาชน
“เราคงส่งเสียงเรียกร้องว่า เราไม่เห็นด้วยกับกระบวนการการจัดทำประชามติ ที่ประชาชนไม่สามารถแสดงความเห็น หรือรับรู้ข้อมูลได้ทั้ง 2 ด้าน” นายณัฐพงษ์กล่าว
พรรคเพื่อไทย (พท.) อย่าง นางสาวขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อ และฐานะรองโฆษกพรรค ก็เรียกร้องให้ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.การต่างประเทศ แสดงจุดยืนให้ชัดเจนว่า คิดเห็นอย่างไรกับ MOU 43 และ MOU 44 หากรัฐบาลมีแนวคิดจะยกเลิก MOU ทั้ง 2 ฉบับ ก็ขอให้ชี้แจงต่อสาธารณะว่า มีเจตนาอย่างไรที่จะแก้ไขปัญหาความขัดแย้งเกี่ยวกับเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา เนื่องจากเรื่องนี้เป็นผลประโยชน์และอธิปไตยของชาติ การปักปันเขตแดนไม่สามารถทำได้ด้วยอารมณ์ หรือกระแสของสังคม
ฝ่ายความมั่นคง พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหม ซึ่งเคยดูจะมีอํานาจในการตัดสินใจมากในเรื่องเช่นนี้ ระบุเพียงว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหลายกระทรวง และหลายหน่วยงาน เป็นเรื่องของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) อยากให้รอความชัดเจนก่อน หากถูกยกเลิกก็ต้องมีกลไกอื่นขึ้นมาทดแทน แต่ไม่ขอพูดถึง เพราะเป็นเรื่องของอนาคต ซึ่งอาจจะยกเลิก หรือไม่ยกเลิกก็ได้ ส่วน ผบ.เหล่าทัพ ยังไม่มีความเห็นในเรื่องนี้
สำหรับเหล่านักวิชาการก็ยังมีความกังวลถึงผลกระทบที่อาจตามมาหากมีการยกเลิกจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องความเสี่ยงต่อการเจรจาเขตแดนทางบกของ MOU 43 ที่อาจทำให้ขาดกรอบการเจรจา ซึ่งเป็นที่ยอมรับร่วมกันระหว่าง 2 ประเทศ และอาจนำไปสู่ความตึงเครียดบริเวณชายแดน หรือทำให้ปัญหาการปักปันเขตแดนทางบกกลับเข้าสู่สภาวะชะงักงัน
ส่วนผลกระทบต่อพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล MOU 44 ที่เป็นกรอบการเจรจาเพื่อพัฒนาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลร่วมกัน มีทรัพยากรธรรมชาติและพลังงานจำนวนมหาศาล ถ้ายกเลิกโดยไม่มีแผนรองรับที่ชัดเจน อาจทำให้ไทยเสียโอกาสในการเข้าถึง และแสวงหาผลประโยชน์จากพื้นที่ดังกล่าว รวมถึงอาจเปิดช่องให้เกิดข้อพิพาทใหม่ๆ ได้
สุดท้าย หากยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงแนวทาง หรือเกิดการตัดสินใจใดขึ้น เราคงต้องมาชั่งน้ำหนักจากการถกเถียง เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสีย วางแผนรณรงค์ทำความเข้าใจให้กว้างที่สุด ก่อนรอให้ความเห็นของสังคมได้ตกตะกอน และพร้อมฟังผลตัดสินใจที่จะเป็นข้อสรุปในวันเลือกตั้งครั้งหน้า.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เปิดวิสามัญเดินหน้าแก้รธน. ปลดล็อกเงื่อนไขซักฟอกนายกฯ แต่'ธรรมนัส'ยังโดนล็อกเป้า
จากเงื่อนไขการเมืองสองข้อที่ พรรคประชาชน ซึ่งสนับสนุนให้อนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ว่าพร้อมจะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี-รัฐบาลทันทีหากอนุทินไม่ดำเนินการตามเงื่อนไขสองข้อคือ
แก้วิกฤต‘ไทย-กัมพูชา’ วัดฝีมือ‘รัฐบาลหนู’จบศึก
ทุกการตัดสินใจของรัฐบาลและนายกฯ อนุทินอยู่บนความปลอดภัยของประชาชน ขณะที่รัฐบาลนายอนุทินเองก็เปรียบเสมือนรัฐบาลที่เข้ามาทำงานเพียงชั่วคราวในเวลาสั้นๆ แค่ 4 เดือน กับภาระที่ยิ่งใหญ่ และเป็นงานหินในมือที่ต้องจัดการในเวลาจำกัด
นับหนึ่ง"ปฏิบัติการทางทหาร" พลิกยุทธวิธีจาก “ป้องกัน-ได้สัดส่วน”
หลังจากเกิดเหตุทหารเหยียบระเบิดช่วงเช้าของวันที่ 10 พ.ย.ที่ผ่านมา บริเวณพื้นที่ห้วยตามาเรีย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ขณะปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนเส้นทาง เป็นเหตุให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บ 4 นาย หนึ่งในนั้นคือ จ.ส.อ.เทิดศักดิ์ สมาพงษ์ ข้อเท้าขวาขาด
‘อภิปรายไม่ไว้วางใจ’ แค่คำขู่ ป้อง ‘แก้ไขรธน.’ ล่มกลางทาง
หากใครนับวันรอเลือกตั้งรอบใหม่ ช้าที่สุดคงเหลือเวลาไม่ถึง 3 เดือนดีของรัฐบาลชุดปัจจุบัน นับแต่การแถลงนโยบายต่อรัฐสภากว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งจะเวียนไปบรรจบกับวันที่ 31 มกราคม ปี 2569 ตามข้อตกลง MOA ที่ได้ทำไว้กับพรรคประชาชน และ ‘นายกฯ หนู’ ประกาศให้คำมั่นไว้
ธรรมนัส“ไม่ออก”ปักหลักชน หลังเจอแรงบีบให้ซ้ำรอยอดีตรมช.คลัง
แม้ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี จะออกลูกแอ็กชันหลายรอบในเรื่องการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี-สแกมเมอร์-พนันออนไลน์ มีการประกาศให้เป็น "วาระแห่งชาติ" ผ่านการออกอาวุธต่างๆ
'สแกมเมอร์-รัฐธรรมนูญ' ต่อรองเพื่อเป้าหมายทางการเมือง
การเปิดเครือข่ายสแกมเมอร์ของพรรคประชาชนไม่ได้เกิดขึ้นช่วงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาเท่านั้น แต่มีการเปิดประเด็นและนำไปอภิปรายในสภามาพักใหญ่

