'รวมไทยสร้างชาติ' เดินหน้าสู่สนามเลือกตั้ง ผมไม่ใช่คนทรยศ แต่ไม่อยากเป็นลูกน้องโจร

การเมืองในรอบหลายวันที่ผ่านมา ชื่อของ แรมโบ้-เสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ถูกจับตามองและปรากฏผ่านสื่ออย่างแพร่หลาย ตั้งแต่ออกมาเปิดตัวเรื่องการจัดตั้งพรรค รวมไทยสร้างชาติ พรรคการเมืองจัดตั้งใหม่ที่ประกาศแนวทางสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่สองหลังเลือกตั้งรอบหน้า นอกจากนี้ช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ชื่อของเขาก็ปรากฏบนพื้นที่สื่อการเมืองแบบร้อนแรง หลังถูก โทนี-ทักษิณ ชินวัตร กล่าวพาดพิง  จน เสกสกล อดรนทนไม่ไหว ต้องออกมาตอบโต้สวนกลับ อย่างเผ็ดร้อนสะเทือนไปทั่วแวดวงการเมือง

บทสนทนาวันนี้เราเริ่มด้วยการถามความคืบหน้าการจัดตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่ง แรมโบ้-เสกสกล เปิดเผยว่า หลังจากเปิดตัวพรรครวมไทยสร้างชาติแล้ว ขณะนี้การเดินหน้าจัดตั้งพรรคมีความคืบหน้าตามลำดับ เบื้องต้นคาดว่าจะเรียกประชุมใหญ่พรรคอย่างเป็นทางการภายในไม่เกิน 20 มีนาคม เพราะตามกฎหมายพรรคการเมือง  หลังจากพรรคได้รับการจดแจ้งจัดตั้งพรรคจากนายทะเบียนพรรคการเมือง ต้องมีการประชุมใหญ่สามัญประจำปีภายในหนึ่งปี ซึ่งพรรคได้รับการจดแจ้งจัดตั้งพรรคเมื่อ 31 มีนาคม 2564 ดังนั้นจะครบหนึ่งปีวันที่  31 มีนาคม 2565 โดยผู้จัดตั้งพรรคคุยกันว่าจะให้มีการเรียกประชุมใหญ่ภายในไม่เกิน 20 มีนาคม

สำหรับจุดขายหรือจุดแข็งทางการเมืองของพรรครวมไทยสร้างชาติ คือจะเป็นพรรคการเมืองที่รวมพลังคนไทยทุกกลุ่ม รวมพลังคนที่มีความรู้ความสามารถทุกด้าน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และทุกวัยตั้งแต่คนหนุ่มสาว จนถึงวัยกลางคน และคนที่มีประสบการณ์ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน และคนที่มีประสบการณ์ทางการเมือง เคยเป็น ส.ส. เป็นอดีตรัฐมนตรีที่จะมารวมพลังกันเป็นหนึ่งเดียว

...คำว่า รวมไทยสร้างชาติ คือรวมคนไทยให้เป็นหนึ่งเดียวในการที่จะนำพาประเทศไทย นำพาบ้านเมืองไปสู่การพัฒนาที่เจริญรุ่งเรือง ให้บ้านเมืองเกิดความมั่งคั่งยั่งยืน เพราะวันนี้อยากให้คนไทยทุกคนละลายพฤติกรรม  ไม่ต้องมาคิดเรื่องของ สีการเมือง กันแล้ว วันนี้เราไม่มีเวลามาเล่นกีฬาสีการเมืองกันแล้ว เพราะอย่างผมที่เคยเป็นเสื้อแดง หรือบางคนที่เขาเป็นอดีต กปปส. แต่สุดท้ายแล้วทุกคนก็คือคนไทยด้วยกัน

เราเคยเห็นต่างกันทางการเมือง แต่การเห็นแตกต่าง มันจะทำให้เกิดความขัดแย้งในบ้านเมืองไม่ได้ ความเห็นแตกต่างก็ต้องแก้ไขกันด้วยวิธีการทางกฎหมายและวิธีการทางประชาธิปไตย ไม่ใช่เห็นแตกต่างแล้วจะต้องมาลงถนน  มาไล่ตีไล่แทงกัน ไล่ฆ่ากัน มันไม่ได้แล้ว วันนี้ผมไม่อยากให้เรามาพูดเรื่อง สีเสื้อการเมือง กันอีกต่อไป อยากให้รู้ว่าเราคือคนไทยด้วยกัน ต้องสลายพฤติกรรม ต้องสลายสีเสื้อแล้วให้รวมพลังคนไทยเป็นหนึ่งเดียว ที่ก็คือมาร่วมกันรวมไทยสร้างชาติ ที่สุดท้ายเพื่อจะได้มาจับมือกันทำงานให้บ้านเมือง อะไรที่มันเห็นแตกต่างกันก็มาคุยกันบนโต๊ะ  มาคุยกันบนเวทีที่เราจัดไว้ให้ ไม่ใช่ไปคุยกันบนท้องถนน  ผมยืนยันว่าผมเป็นคนรักบ้านรักเมือง จุดยืนของพรรคก็คือต้องปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เรามีหลักอยู่สองข้อคือ หนึ่ง-คนที่จะมาอยู่กับพรรครวมไทยสร้างชาติ  ต้องเป็นคนที่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ สอง-ต้องสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีอีกหนึ่งสมัย แต่หลังจากนั้นจะเป็นใครไม่รู้ แต่ว่าการเลือกตั้งต่อไปต้องสนับสนุนพลเอกประยุทธ์เพื่อให้ท่านนายกฯ ได้กลับมาสานงานต่ออีกหนึ่งสมัย

ส่วนบทบาทของผมในพรรครวมไทยสร้างชาติ ผมก็เป็นเหมือนกับคนที่เป็นฝ่ายดำเนินการ เช่นการให้คนไปยื่นจดแจ้งขอจัดตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่พลเอกประยุทธ์เป็นคนคิดสโลแกนรวมไทยสร้างชาติขึ้นมา เมื่อเราคิดจัดตั้งพรรคการเมือง ผมก็เหมือนคนที่มาขุดดินฝังเสาเข็ม ตอม่อ หลังจากนั้นพอโครงสร้างก่อตัวเสร็จ เกิดเป็นพรรคขึ้นมาอย่างแข็งแรง เราก็อยากได้คนที่โปรไฟล์ดี  ประวัติ-ผลงานดี คนจากทุกสาขาอาชีพทุกแขนง รวมถึงคนซึ่งประชาชนชื่นชอบและไว้วางใจมารวมกันในบ้านหลังใหม่หลังนี้ ที่เป็นบ้านซึ่งแข็งแรง อบอุ่นและมั่นคง ได้มาทำงานร่วมกัน ส่วนผมขอเป็นแค่ยามเฝ้าบ้าน ไม่รับตำแหน่งอะไร จะเป็นแค่ยามเฝ้าบ้านคอยเฝ้าและคอยสนับสนุนพลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ สิ่งนี้คือสิ่งที่ผมมุ่งหวัง ไม่ได้หวังตำแหน่งอะไรในพรรครวมไทยสร้างชาติ

...สำหรับแรมโบ้แล้วมีแต่ใส่เกียร์เดินหน้า เกียร์ถอยหลังไม่มี ผมยืนยันว่าพรรครวมไทยสร้างชาติจะไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจแน่นอน ผมถึงจะขออยู่เบื้องหลังในการคอยดูแลและสนับสนุนให้บ้านหลังนี้มีความมั่นคง เป็นสถาบันการเมืองให้เป็นที่พึ่งของประชาชน เป็นพรรคที่รวมซึ่งคนที่มีความพร้อม มีศักยภาพ มีประสบการณ์ และสามารถนำพาบ้านหลังนี้เดินไปสู่เป้าหมาย คือเป็นสถาบันที่มั่นคงแข็งแรงต่อไปในอนาคต

-ปัจจุบันมีพรรคการเมืองตั้งใหม่เกิดขึ้นมากมาย  พรรครวมไทยสร้างชาติมีอะไรโดดเด่นเหนือกว่าพรรคอื่น?

แน่นอนที่สุดคือ เรื่องการชูการสร้างความสามัคคีของคนในชาติ เพราะจุดหลักของเราคือรวมพลังของคนจากทุกฝ่าย เราจะไม่ทะเลาะ จะไม่ขัดแย้ง เราจะใช้เหตุและผล  หลักของเราคือทำให้บ้านเมืองเกิดความเป็นเอกภาพ สร้างความสามัคคี ไม่ให้เกิดความแตกแยก

ส่วนใครที่คิดจาบจ้วงก้าวล่วง ไปกับพรรคเราไม่ได้  เพราะหลักของพรรคคือยืนยันในเรื่องการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข คือยึดมั่นในสถาบัน และหากในอนาคต คือถ้าพลเอกประยุทธ์กลับมาเป็นนายกฯ สมัยหน้าอีกครั้งแล้ว หลังจากนั้นเราก็มาว่ากันต่อในพรรคเรา ว่าจะเสนอหรือสนับสนุนใครเป็นนายกฯ คนต่อไป เราจะมาดูในตอนนั้นว่าใครที่มีคุณสมบัติจะเป็นนายกฯ ต่อจากพลเอกประยุทธ์

จุดขายของพรรครวมไทยสร้างชาติจะมีสองข้อคือ  หนึ่ง-ต้องสนับสนุนผู้นำที่ปกป้องสถาบัน สอง-ผู้นำที่ต้องไม่มีประวัติเรื่องทุจริตคอร์รัปชัน ต้องไม่มีเรื่องผลประโยชน์แอบแฝงและไม่มีประวัติเรื่องการโกงกินบ้านโกงกินเมือง ซึ่งคนที่พรรคจะสนับสนุนมาเป็นนายกฯ ต่อจากพลเอกประยุทธ์ จะต้องมีคุณสมบัติตามสองข้อดังกล่าว  ส่วนพรรคการเมืองอื่นที่คิดว่าจะไปสนับสนุนอดีตผู้นำที่โกงกิน หรือจะเป็นพรรคการเมืองที่ไม่ปกป้องสถาบัน จะเข้ามาคิดล้มล้าง จะมาแก้ไขมาตรา 112 แบบนี้คือตรงข้ามกับเรา แบบนี้ไม่เอา เรารับไม่ได้

ดังนั้นจุดยืนของเราจึงชัดเจนในเรื่องนี้มาก และยืนยันว่าเราจะมีพรรคการเมืองที่เป็นพันธมิตร เป็นแนวร่วมกับพรรครวมไทยสร้างชาติหลายพรรคเพราะมีจุดยืนคล้ายกัน อย่างเช่นพรรคไทยภักดีที่มี นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม  เป็นหัวหน้าพรรค และอีกหลายพรรคการเมืองที่ได้มีการพูดคุยกับคนของรวมไทยสร้างชาติ ในการจะจับมือเป็นพันธมิตรการเมืองต่อกัน เพื่อคุยกันว่าพวกเราจะเดินไปในทิศทางแนวนี้ ส่วนอนาคตข้างหน้าเมื่อรอบนี้เราสนับสนุนพลเอกประยุทธ์แล้ว พอนายกฯ กลับมารอบหน้าและอยู่จนครบแปดปีแล้ว หลังจากนั้นเราก็จะมาคุยกันต่อ ว่าใครเหมาะสมที่สุดที่จะมาทำภารกิจหลักนี้ และดูว่าพรรคไหนจะเสนอใคร พรรครวมไทยสร้างชาติจะไม่เสนอแข่งเพื่อให้ไปในทิศทางเดียวกัน

รวมไทยสร้างชาติ

พรรคเพื่อนบ้าน พปชร.

               -ตั้งเป้าว่าจะมี ส.ส.หลังเลือกตั้งประมาณกี่คน?

สถานการณ์ ณ เวลานี้เรื่องที่ว่าพรรคตั้งเป้าจะได้ ส.ส.หลังการเลือกตั้งรอบหน้ากี่คน ต้องดูจากปัจจัยการเมืองประกอบด้วย เช่นต้องดูสถานการณ์ในพรรคพลังประชารัฐ อย่างที่คนไปมองกันว่าพลังประชารัฐกำลังเสาโยกเสาเอียงแล้ว หลังคารั่ว ฝาบ้านผุแล้ว ก็อยากบอกว่า อย่าไปปรักปรำพรรคพลังประชารัฐขนาดนั้น เอาว่าถ้าวันนี้พลังประชารัฐยังให้เกียรติพลเอกประยุทธ์ ยังคิดที่จะสนับสนุนพลเอกประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป โดยรวมพลังกันอยู่ตรงนั้นที่พลังประชารัฐ แบบนี้ผมก็ไม่มีปัญหา

“พรรครวมไทยสร้างชาติพร้อมจะเป็นพรรคการเมืองคู่ขนาน เรียกว่าเป็นเพื่อนบ้านกัน จะเป็นพรรคที่มีบ้านอยู่ติดกันกับพลังประชารัฐ จะขับเคลื่อนการเมืองไปในทิศทางเดียวกัน ก็คือต้องสนับสนุนพลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ “

...ด้วยการเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯ คนเดียวเท่านั้น จะไปเสนอชื่อตอนเลือกตั้ง 2-3 คน เราก็ไม่เห็นด้วย เพราะหากทำแบบนั้น รวมไทยสร้างชาติบอกเลยว่าจะไม่เห็นด้วยกับพลังประชารัฐ แต่หากบ้านหลังนี้ รวมไทยสร้างชาติ บ้านที่เราตั้งมาเพื่อรองรับพลเอกประยุทธ์  หากตอนเลือกตั้งถ้าพลังประชารัฐเกิดเบี้ยว ไม่ยอมเสนอชื่อพลเอกประยุทธ์เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีตอนเลือกตั้งรอบหน้าตามที่หัวหน้าพรรคให้สัมภาษณ์ไว้ พรรครวมไทยสร้างชาติเราก็พร้อมที่จะรับพลเอกประยุทธ์มาเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี คือเรื่องสนับสนุนเราสนับสนุนอยู่แล้ว อันนี้ต้องแยกกัน คือพลเอกประยุทธ์จะมาอยู่กับเราหรือไม่มาอยู่กับเรา เราพร้อมสนับสนุนท่านอยู่แล้ว  แต่หากว่าพลังประชารัฐไม่สนับสนุนไม่เสนอชื่อพลเอกประยุทธ์ แบบนี้พรรครวมไทยสร้างชาติพร้อมเสนอชื่อพลเอกประยุทธ์เป็นแคนดิเดตนายกฯ ทันที

ดังนั้น ที่ถามว่าพรรครวมไทยสร้างชาติตั้งเป้าหมายว่าจะมี ส.ส.กี่คนหลังเลือกตั้ง ตอนนี้ผมยังตอบไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะมีเหตุผลอื่นมาประกอบด้วย เช่นหากพรรคพลังประชารัฐเสนอชื่อพลเอกประยุทธ์เป็นแคนดิเดตนายกฯ ผมมั่นใจว่า ส.ส.ของพลังประชารัฐที่เขารักและสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ เขาก็จะอยู่ที่พรรคพลังประชารัฐต่อไป ส.ส.พลังประชารัฐก็จะยังอยู่กับพลังประชารัฐต่อไป  แต่หากพลเอกประยุทธ์ไม่ถูกเสนอชื่อจากพลังประชารัฐ  แล้วเกิดว่าพลเอกประยุทธ์มาอยู่กับรวมไทยสร้างชาติ แล้วพรรคเราเสนอชื่อท่านเป็นแคนดิเดตนายกฯ ถ้าแบบนี้ผมมั่นใจเลยว่าจะมี ส.ส.หลายคนในพลังประชารัฐตามพลเอกประยุทธ์มาที่รวมไทยสร้างชาติอย่างแน่นอน เพราะ ส.ส.หลายคนก็บอกว่า เขาได้รับเลือกตั้งเข้ามาเป็น ส.ส.ตอนเลือกตั้งปี 2562 ก็เพราะกระแสที่ประชาชนอยากให้พลเอกประยุทธ์กลับมาเป็นนายกฯ ดังนั้นเขาก็คงจะตามมาที่พรรครวมไทยสร้างชาติ หากอยากกลับมาเป็น ส.ส.อีกรอบตอนเลือกตั้งครั้งหน้า

"ผมมั่นใจว่าหากพลเอกประยุทธ์มาอยู่กับรวมไทยสร้างชาติ จะมี ส.ส.พลังประชารัฐหลั่งไหลมาที่รวมไทยสร้างชาติเหมือนเขื่อนแตก จะมากันแบบเยอะแยะมหาศาล ดังนั้นจำนวน ส.ส.หลังเลือกตั้งเราก็มั่นใจว่าจะได้ระดับเกิน 100 คนขึ้นไป แต่หากพลังประชารัฐเสนอชื่อพลเอกประยุทธ์ แล้ว ส.ส.พลังประชารัฐส่วนใหญ่จะยังอยู่กับพลังประชารัฐต่อไป เราก็ไม่ว่ากัน เราก็อาจจะเป็นพรรคการเมืองขนาดกลาง  อาจจะมี ส.ส.สัก 50-60 ที่นั่งในสภา เอาไว้สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ ไว้ช่วยพลังประชารัฐสนับสนุนท่านกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีรอบหน้า"

...สำหรับเป้าหมายกลุ่มฐานเสียงของพรรค เราตั้งเป้าไว้ทุกกลุ่ม เพราะพรรคมีเครือข่ายที่จะมาทำงานกับเราที่จะมาจากประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกร กลุ่มรากหญ้า กลุ่มมวลชนต่างๆ ซึ่งทัพใหญ่ที่เราต้องตีในคราวนี้ ในส่วนของภาคใต้ ภาคเหนือ เราไม่ค่อยหนักใจ แต่เราจะมุ่งหน้าลุยอีสานเพื่อเจาะฐานของพรรคเพื่อไทย จะเอาแบบทะลุทะลวงเลย และเรามั่นใจว่าเลือกตั้งที่จะมีขึ้น รวมไทยสร้างชาติจะได้ ส.ส.ภาคอีสานหลายคน

สิ่งสำคัญเลยคือ เราจะประกาศขายนโยบายพรรคชัดเจนคือ สนับสนุนนายกฯ คนอีสาน เพราะพลเอกประยุทธ์เป็นคนโคราช เป็นคนอีสาน ขายนโยบาย ขายผลงาน และขายตัวบุคคล คือให้คนอีสานสนับสนุนให้มีนายกรัฐมนตรีที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ของคนอีสานคือพลเอกประยุทธ์

ถามถึงว่าจะมี ส.ส., อดีต ส.ส. หรือนักการเมืองระดับบิ๊กเนมมาอยู่กับรวมไทยสร้างชาติหรือไม่หลังจากนี้ เสกสกล แกนนำจัดตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ ออกตัวว่า  ขอให้รอจนถึงวันเปิดตัวพรรครวมไทยสร้างชาติก่อน แต่เอาเป็นว่า ณ ขณะนี้สายไหม้ (สายโทรศัพท์) มีหลายคนที่โทรศัพท์มาหาผมที่ผมยังไม่อยากเปิดเผยชื่อ แต่ขอให้รู้ว่า หลายคนจากหลายสาย ทุกสารทิศจะเข้ามา โดยเฉพาะในภาคอีสานตอนนี้เต็มทุกพื้นที่ ส่งครบหมดทุกเขตในภาคอีสาน รวมถึงภาคอื่นๆ เช่นภาคใต้ และทุกจังหวัด ต่างมีความพร้อมที่จะเข้ามา ดังนั้นหากผมพูดตอนนี้ เขายังไม่ได้ลาออกจากสมาชิกพรรค ยังไม่ได้เคลียร์ตัวเอง หากผมพูดไปตอนนี้ก็จะผิดกฎหมายเลือกตั้ง เอาเป็นว่ามีเพียบแล้วกัน 

ไม่เชื่อบัตรสองใบ-พท.จะแลนด์สไลด์

เมื่อถามถึงเรื่องกติกาบัตรเลือกตั้งสองใบ ดูจะไม่เป็นผลดีต่อพรรคการเมืองตั้งใหม่อย่างพรรครวมไทยสร้างชาติที่เพิ่งเปิดตัวมา คิดว่าจะเสียเปรียบหรือไม่หากลงสนามเลือกตั้ง เสกสกล มองเรื่องนี้ว่า รวมไทยสร้างชาติไม่หนักใจกับกติกาบัตรสองใบ เพราะเรามียุทธศาสตร์ มียุทธวิธี  และมีนโยบายพรรคในการเข้าไปเจาะฐานเสียงแต่ละแห่ง  เรื่องบัตรสองใบจริงๆ แล้วไม่ได้ว่าจะทำให้พรรคเพื่อไทยได้ผลดี เพราะเคยปรากฏมาแล้วที่หลายเขตเลือกตั้ง เวลาเลือกตั้งช่วงใช้บัตรสองใบ จะพบได้เลยว่าประชาชนตอนลงคะแนนเสียง บัตรใบแรกก็เลือก ส.ส.เขตพรรคการเมืองหนึ่ง แต่บัตรปาร์ตี้ลิสต์เขาก็ลงคะแนนให้อีกพรรคการเมืองหนึ่งที่ไม่ใช่พรรคต้นสังกัดของคนที่เขาเลือกในระบบเขต มีลักษณะแบบนี้เยอะ บางเขตเลือกตั้งก็เห็นเลย คะแนน ส.ส.ระบบเขต คนที่ได้มีคะแนนมากกว่าพรรค แต่บางแห่ง คะแนนพรรคก็ได้มากกว่าคนที่พรรคส่ง มันไม่มีหลักอะไรตายตัว มันไม่เหมือนบัตรใบเดียว ที่กาแล้วคือทั้งพรรคทั้งคน แต่สองใบมันเห็นชัดเจน ประชาชนเขาอาจชอบพรรคการเมืองหนึ่งเพราะชอบนโยบายพรรค เขาก็เลือกพรรคนั้น แต่ตอนบัตร ส.ส.เขต เขาไม่ชอบคนที่พรรคนั้นส่ง เขาก็ไปกาเลือกผู้สมัครอีกพรรคการเมืองหนึ่ง

...ดังนั้น ขอให้เรามียุทธวิธี มีแนววิธีในการที่จะสื่อสารให้ประชาชนยอมรับในพรรครวมไทยสร้างชาติ แล้วคะแนนก็จะมาเองทั้งในตัวบุคคลที่พรรคส่งลงระบบเขต และกับคะแนนพรรคในบัตรปาร์ตี้ลิสต์ ผมถึงไม่ได้หนักใจเลยเรื่องบัตรสองใบ

...อย่าไปคิดว่าบัตรสองใบจะเป็นกติกาที่จะไปเข้าทางพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง ไปคิดกันเอาเองทั้งนั้น แต่ผมคิดว่าพรรคเพื่อไทยหรือพรรคการเมืองที่กระดี๊กระด๊าว่าจะได้ใช้บัตรสองใบ สุดท้ายดูแล้วอาจจะตกม้าตายเอาได้ เพราะไปมั่นใจเกินเหตุ เพราะเขาไปเอาการเมืองการเลือกตั้งในอดีตมาเป็นตัวตั้ง แล้วไปคิดแบบในอดีต ซึ่งปัจจุบันมันไม่ใช่แบบเดิมแล้ว      

ปัจจุบันนี้ประชาชนเขาติดตามผลงาน คอยดูพฤติกรรมของผู้นำฝ่ายค้าน พฤติกรรมของพรรคเพื่อไทย  การเล่นการเมืองนอกกติกา การเล่นการเมืองที่จ้องแต่จะทำให้สภาล่ม ประชาชนเขาเห็นหมด โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับที่พลเอกประยุทธ์ทำงานสู้กับโควิดแทบตาย แต่พรรคฝ่ายค้านโดยเฉพาะเพื่อไทย ก็เอาแต่เล่นการเมืองหวังตีกิน  ไม่เคยลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชน เอาแต่เล่นการเมืองด้วยวาทะ บิดเบือนใส่ร้ายป้ายสีรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี  ก่อกวนการเมืองในสภา เอาฝ่ายนิติบัญญัติมาเล่นเกมการเมือง ด้วยการพยายามทำให้สภาล่ม ตัวเองอยู่ในห้องประชุมสภา แต่เวลานับองค์ประชุมกลับไม่ยอมกดบัตรแสดงตน ทั้งที่เสนอนับองค์ประชุมเอง แต่กลับไม่กดบัตร  ทำแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหน

ประชาชนเขาฉลาด เขารู้หมดแล้วพวก ส.ส.เหล่านี้มีพฤติกรรมอย่างไร เขาจึงรู้ว่าเวลาเลือกตั้งจะเลือก ส.ส.เข้าไปทำงานหรือเลือก ส.ส.ไปก่อกวนการทำงาน ถึงวันเลือกตั้งประชาชนเขาจะลงโทษ จะพิพากษาพวก ส.ส.ที่คิดเล่นการเมืองในสภา จ้องแต่จะทำให้สภาล่ม ประชาชนเขาจดชื่อไว้หมดแล้ว

เสกสกล-ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ ยังวิเคราะห์การเมืองถึงอายุของรัฐบาลจะอยู่ครบเทอมหรือไม่ว่า สำหรับตนเองแล้วประเมินว่ารัฐบาลอยู่ครบเทอม แต่ก็ประมาทไม่ได้ เอาเป็นว่าก็คงอยู่ให้ยาวที่สุด เพราะมีนาคมนี้ก็จะเข้าสู่ปีที่สี่ของสภาที่เป็นปีสุดท้ายแล้ว ก็อยากให้อยู่ให้ยาวที่สุด จะสามปีกี่เดือนก็ไม่รู้ แต่รู้อย่างเดียวว่าเราตั้งใจอยากให้อยู่ครบสี่ปี ส่วนการอภิปรายไม่ไว้วางใจกลางปีนี้ ทางเราก็มั่นใจว่าจะผ่านไปได้ เพราะอย่างคุณอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ก็ยืนยันว่าอย่างน้อย 240 เสียงตอนโหวตมีแน่นอน เราก็มั่นใจกันว่าจะผ่าน ไม่มีปัญหา  และคิดว่า ส.ส.ส่วนใหญ่ไม่อยากให้มีการยุบสภา ส่วนใหญ่ยังต้องการจะเป็น ส.ส.ให้ครบเทอมสี่ปี คงยังไม่อยากลงสู่สนามเลือกตั้ง และเราก็อยากทำงานต่างๆ เช่นการผลักดันให้รัฐสภาผ่านความเห็นชอบการแก้ไข พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญสองฉบับ, ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณประจำปี  2566 และการเป็นเจ้าภาพจัดประชุมสุดยอดผู้นำเอเปก

สิ่งเหล่านี้ยังมีงานที่ต้องรอรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีได้เดินหน้าทำงานต่อไป ก็ขอเวลาอีกสักระยะ ส่วน ส.ส.ฝ่ายค้านที่บอกอยากให้ยุบสภา ก็อย่าเพิ่งใจร้อน และไม่รู้ว่าเขาอยากให้ยุบสภาจริงหรือไม่ เพราะอาจเป็นแค่ละครฉากหนึ่ง

-อยู่ในวงการการเมืองมานาน เคยทำงานกับอดีตนายกฯ อย่างน้อยๆ ก็สองคน แต่ตอนนี้ทำงานกับพลเอกประยุทธ์ เห็นข้อแตกต่างอะไรหรือไม่?

ผมพูดตรงๆ เลย นายกฯ ในอดีตเอาแต่เรื่องของครอบครัว เอาแต่เรื่องผลประโยชน์ส่วนตน ไม่คิดถึงเรื่องผลประโยชน์ประชาชน ไม่เหมือนพลเอกประยุทธ์ที่ไม่มีเรื่องของผลประโยชน์แอบแฝง ไม่มีผลประโยชน์ส่วนตน  ไม่มีบริษัทห้างร้าน ไม่มีธุรกิจและไม่คิดเรื่องการแสวงหาผลประโยชน์เข้ากระเป๋าเข้าพกเข้าห่อ เป็นคนโปร่งใส แต่ในอดีตเราก็รู้อยู่แล้วมีแต่เรื่องผลประโยชน์ โครงการอภิมหาโปรเจกต์ มีแต่เรื่องเงินทอน หาเงินเข้าครอบครัว มีแต่เรื่องน้องสาว คนในครอบครัวที่เข้ามาบริหารจัดการ มีเจ๊  ด.ต่างๆ เข้ามาจัดการเรื่องต่างๆ การแต่งตั้งคนเข้าไปดำรงตำแหน่งต่างๆ ก็เอาแต่คนในตระกูล ตั้งแต่ระดับ ผบ.ทบ.-ผบ.ตร. และตำแหน่งต่างๆ การตั้ง ครม.ก็เอาแต่เครือข่ายบริวารตัวเอง

สิ่งต่างๆ เหล่านี้เราเห็นเรารู้เราอยู่ในเหตุการณ์มาเอง  เราเห็นเรารู้แต่พูดไม่ได้ เพราะก็เหมือนเราเป็นพนักงานบริษัท พูดไปก็โดนลงโทษ ถูกไล่ออกก็ได้ อย่างตอนจะออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม คัดค้านบอกว่าไม่ควรออก พูดไปก็โดนด่า เอามติพรรคเพื่อไทยมาเป็นตัวกำหนด กลายเป็นเผด็จการรัฐสภา ต้องปฏิบัติตามมติพรรคทั้งที่ไม่เห็นด้วย ไม่ชอบแต่ก็ต้องฝืนเพราะถูกสั่งโดยมติพรรค เพราะถูกเจ้าของบริษัทเข้ามาสั่ง สิ่งต่างๆ เหล่านี้มันเห็นชัดเจน

“บางคนมาบอกว่าผมเนรคุณ ซึ่งจะมาใช้คำว่าเนรคุณกับผมไม่ได้ เพราะหากจะให้ผมเป็นสมุนโจร  เป็นลูกน้องโจร หากหัวหน้าผมเป็นคนขี้โกง จะให้ผมเดินตามใช่ไหม จะให้ผมไปยุให้หัวหน้าไปโกงบ้านโกงเมือง ผมทำแบบนั้นไม่ได้

หากผมเห็นหัวหน้าผมเป็นโจร หัวหน้าโกง ผมก็ต้องถอยออกมา พอถอยออกมา ผมก็อยากได้หัวหน้าที่เป็นคนดีไม่ใช่โจร ไม่ใช่คนโกง เป็นคนตั้งใจทำงาน ไม่แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน หัวหน้าผมเป็นคนดี ผมก็อยากอยู่กับคนดี ผมก็อยากกลับเนื้อกลับใจ ไม่อยากเป็นขี้ข้า ไม่อยากเป็นสมุนของโจร ก็มาทำงานกับคนดี คนทำงานเพื่อบ้านเพื่อเมือง คนมือสะอาด ถามว่าแล้วผมทำผิดตรงไหน ผมทรยศตรงไหน ผมทรยศโจร แต่ผมไม่ทรยศประชาชน ผมทรยศคนขี้โกง แต่ผมไม่ทรยศคนดี".

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เดินหน้าแจกดิจิทัลวอลเล็ต หลังเพิ่มทางเลือกแหล่งเงิน

หลังเมื่อวันจันทร์ที่ 25 มี.ค.ที่ผ่านมา “จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.การคลัง” เปิดแถลงข่าวไทม์ไลน์นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต โดยยืนยันว่ารัฐบาลจะเดินหน้านโยบายดังกล่าวต่อไป และจะสามารถแจกเงินให้ประชาชน 10,000 บาท ได้ภายในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ คือประมาณ ตุลาคม-ธันวาคม 2567

กางไทม์ไลน์‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ รัฐบาลได้‘ไฟเขียว’แจกเงิน?

โครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท นโยบาย เรือธง ของพรรคเพื่อไทย โยกเยก ไร้ความชัดเจนตั้งแต่เข้ามาเป็นรัฐบาลบริหารประเทศ

ทักษิณรุกคอนโทรล พท. ยิ่งขยับ ยิ่งเข้าทาง ก้าวไกล

การเดินทางเข้าพรรคเพื่อไทยของ ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะ เจ้าของพรรค-หัวหน้าพรรคเพื่อไทยตัวจริง วันอังคารที่ 26 มี.ค.นี้ ถ้าไม่มีการยกเลิกเสียก่อน แต่ก็พบว่า กระแสข่าวดังกล่าวค่อนข้างคอนเฟิร์มว่าทักษิณไปแน่

สภาสูงVSเศรษฐา เปิดแผนสว.จัดทัพถล่ม

ระเบิดศึกการเมือง “สมาชิกวุฒิสภาVSรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน” กันในวันจันทร์ที่ 25 มีนาคมนี้แล้ว เพราะจะเป็นการประชุมวุฒิสภาเพื่อพิจารณาญัตติให้คณะรัฐมนตรีแถลงข้อเท็จจริงหรือชี้แจงปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินโดยไม่มีการลงมติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 153

ลายแทงอำนาจหลังศึก'สีกากี' ชิงจัดทัพเก้าอี้ตำรวจ-ทหาร

หลังจากนายกรัฐมนตรีมีคำสั่งเด้ง บิ๊กต่อ-พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ บิ๊กโจ๊ก-พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล