19 ก.ย. 2565 – อาทิตย์ที่แล้ว ผมได้ไปกล่าวปาฐกถาพิเศษเปิดงานสัมมนาวิชาการ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรื่อง “ความท้าทายของการยกระดับ S curve ในยุค Next Normal” วันนี้จึงอยากแชร์ความเห็นของผมให้แฟนคอลัมน์ “เขียนให้คิด” ทราบ
หากย้อนหลังกลับไป 30 ปีที่แล้ว ประเทศไทยเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จมากในการพัฒนาเศรษฐกิจ เศรษฐกิจมีการพัฒนาและเติบโตต่อเนื่อง ขับเคลื่อนโดยพลวัตของภาคเอกชน และการลงทุนของภาครัฐ ภายใต้โมเดลการเติบโตที่นําโดยการส่งออกและการลงทุน เป็นโมเดลการพัฒนาเศรษฐกิจที่สร้าง S curve ตัวเเรกให้กับประเทศคือ อุตสาหกรรมส่งออก ที่ประสพความสำเร็จ ความเป็นอยู่ของคนในประเทศดีขึ้น อัตราความยากจนลดลง
แต่ภายใต้ความเข็มแข็งนี้ ความอ่อนแอก็มีซ่อนอยู่มาก จากระดับการออมของประเทศที่ต่ำเทียบกับอัตราการเติบโต ทําให้เศรษฐกิจต้องพึ่งการใช้เงินกู้จากต่างประเทศมาขับเคลื่อนการขยายตัว เราไม่มีความยืดหยุ่นของกรอบนโยบายเศรษฐกิจมหภาคขณะนั้นเทียบกับความเป็นเสรีของระบบการเงินโลกที่ได้เปลี่ยนไปโดยเฉพาะเงินทุนเคลื่อนย้าย มีประเด็นความสามารถของภาคธุรกิจที่จะใช้ประโยชน์เงินที่กู้มาอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งส่วนหนึ่งโยงกับปัญหาธรรมาภิบาล นำไปสู่การกู้ยืมและการใช้จ่ายที่เกินตัว ทั้งหมดทําให้การขยายตัวของเศรษฐกิจสะดุดเมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 แต่ก็ฟื้นตัวได้เร็ว เศรษฐกิจกลับมาขยายตัวตั้งแต่ปี 2542 เป็นต้นมา
ผลจากวิกฤติปี 2540 นำไปสู่การปฏิรูปใหญ่ทําให้กรอบนโยบายเศรษฐกิจมหภาคมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ปรับระบบอัตราแลกเปลี่ยนเป็นแบบลอยตัวและเปลี่ยนกรอบการดำเนินนโยบายการเงินให้มีอัตราเงินเฟ้อเป็นเป้าหมาย การกํากับและตรวจสอบสถาบันการเงินก็มีการปฏิรูป มีการพัฒนาตลาดการเงิน เช่นตลาดพันธบัตร สิ่งเหล่านี้ทําให้เศรษฐกิจไทยเข็มแข้งขึ้นหลังวิกฤตปี 40 และจุดทดสอบสําคัญก็คือวิกฤติเศรษฐกิจการเงินโลกปี 2551 ที่เศรษฐกิจไทยสามารถประคองตัวจากผลกระทบที่เกิดขึ้นและสอบผ่านวิกฤติเศรษฐกิจโลกได้อย่างปลอดภัย
แต่ที่น่าเสียดายคือสิ่งที่เราไม่ได้ทำหลังปี 2540 คือ ไม่ได้ปฏิรูปภาคเศรษฐกิจจริงคือ real sector และไม่ได้ปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจด้านอุปทานที่จะเพิ่มความสามารถในการผลิตให้กับประเทศ ไม่มีการปฏิรูปตลาดแรงงาน ระบบการศึกษา การทํางานของกลไกตลาด ไม่มีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่จะสนับสนุนภาคเอกชนแบบมองไปข้างหน้า ไม่มีการปฏิรูปการทํางานของระบบราชการและธรรมาภิบาลภาครัฐ สิ่งเหล่านี้คือกลไกที่จะสนับสนุนเศรษฐกิจให้เติบโตได้ต่อเนื่องในระยะยาว เป็นการปฏิรูปที่ควรทํา แต่ไม่ได้ทํา
ผลคือเศรษฐกิจไม่มี sector ใหม่หรือสินค้าใหม่ที่จะหารายได้และแข่งขันกับต่างประเทศ เราขาดแคลนทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพที่มีทักษะแรงงานสูง ภาคธุรกิจลงทุนน้อยเพราะความไม่พร้อมของโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัยที่จะสนับสนุนการลงทุนใหม่ของภาคเอกชน ที่สําคัญ คือความอ่อนแอเรื่องธรรมาภิบาลโดยเฉพาะในภาครัฐมีมากขึ้น สะท้อนได้จากปัญหาคอร์รัปชั่นที่เพิ่มขึ้นตลอดช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา ทําให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่มีต้นทุนสูงในการทำธุรกิจ
สิ่งที่ตามมาคือเศรษฐกิจไทยยังคงอยู่ใน S Curveตัวเดิม ไม่สามารถยกระดับไปสู่เศรษฐกิจที่มีความสามารถในการผลิตในระดับที่สูงขึ้น กลายเป็นเศรษฐกิจที่ขยายตัวตํ่าและบางปีตํ่าสุดในภูมิภาค ประเทศมีความเหลื่อมลํ้าสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ขณะที่การทํางานของภาครัฐไม่สามารถสนับสนุนให้เศรษฐกิจของประเทศปรับตัวเพื่อให้สามารถแข่งขันได้มากขึ้นโดยเฉพาะในเศรษฐกิจโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอนมาก ประเทศไทยติดอยู่ในกับดักประเทศรายได้ปานกลางและไม่สามารถเติบโตเป็นประเทศที่มีการพัฒนาในระดับที่สูงแม้ศักยภาพของประเทศจะมีมาก ซึ่งน่าเสียดายมาก
เหตุการณ์ในอดีตตอกยํ้าความจําเป็นของการยกระดับความสามารถในการผลิตของประเทศ ผ่านการสร้าง S curve ตัวใหม่ที่จะทําให้ประเทศแข่งขันได้ และตอบคําถามว่า ประเทศไทยจะอยู่อย่างไงในอนาคต เราจะผลิตอะไรเพื่อหารายได้ และสิ่งที่ประเทศผลิตจะนําไปสู่ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคนในประเทศอย่างทั่วถึงหรือไม่ เป็นคําถามที่ต้องการคําตอบ เพราะในทางเศรษฐศาสตร์ การเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาวจะมาจากความสามารถในการผลิตของประเทศเป็นสำคัญ ไม่มีอย่างอื่น
บ้านเราที่ผ่านมาได้ศึกษาเรื่อง S Curve พอสมควร เริ่มด้วยเเนวคิดที่เน้นการupgrade อุตสาหกรรมการผลิตที่มีอยู่เดิมโดยการไต่บันไดเทคโนโลยี ไปสู่การใช้เทคโนโลยีในระดับที่สูงขึ้นเพื่อสร้างมูลค่าเพื่มมากขึ้นให้กับประเทศ เป็นการต่อยอดหรือยืด S curve ตัวเดิมให้สามารถยืนระยะได้นานขึ้นและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับประเทศได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจโลกได้เปลี่ยนไปมาก ขับเคลื่อนโดยแนวโน้มสำคัญสี่เรื่องที่มีผลให้แนวคิดเรื่องการสร้างความสามารถในการผลิตให้กับประเทศเปลี่ยนไปเช่นกัน คือ เปลี่ยนจากการต่อยอด S curveเดิม ไปสู่การสร้าง S curve ใหม่ที่จะเป็นฐานรายได้ใหม่ให้กับประเทศ ที่fit กับบริบทการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจสามารถหาประโยชน์ได้
แนวโน้ม 4 เรื่อง คือ 1.การเติบโตของจีนและประเทศตลาดเกิดใหม่ที่นำไปสู่การขยายตัวของกําลังซื้อและการบริโภคในเศรษฐกิจโลกแบบก้าวกระโดด 2.ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่นํามาสู่การลดต้นทุนในการผลิต และเปลี่ยนความเป็นอยู่และพฤติกรรมผู้บริโภคทั่วโลก 3. การเปลี่ยนของโครงสร้างประชากร ที่โลกเข้าสู่สังคมสูงวัยและคนอายุยืนขึ้น สร้างความต้องการใหม่ๆทั้งในเรื่องสินค้าและบริการ และ 4. ความเข็มข้นของกระแสโลกาภิวัตน์ที่ทำให้การเชื่อมต่อของคนในโลกหรือ connectedness ทําได้มากขึ้นในทุกมิติ ในเรื่องการติดต่อ ข้อมูลข่าวสาร การเดินทาง การศึกษา การลงทุน การซื้อสินค้าบริการ และการเคลื่อนย้ายสินค้า
สิ่งเหล่านี้ได้เปลี่ยนพฤติกรรมและการใช้ทรัพยากรในเศรษฐกิจโลกอย่างสิ้นเชิงทั้งในด้านอุปสงค์และอุปทาน นำไปสู่ความต้องการสินค้าและบริการที่หลากหลาย ที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น เกิดอุตสาหกรรมใหม่ๆขึ้นมาตอบสนองความต้องการเหล่านี้ สร้างโอกาสใหม่ทางธุรกิจและสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับประเทศที่จะ diversify หรือขยับขยายฐานการผลิตไปสู่อุตสาหกรรมใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการเหล่านี้และเป็นฐานรายได้ใหม่ให้กับประเทศถ้าสามารถพัฒนาความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบหรือ comparative advantage ในการผลิตสินค้าเหล่านี้ เป็นการก้าวกระโดดหรือ jump start ระบบเศรษฐกิจโดย S Curve ตัวใหม่
สำหรับประเทศไทยล่าสุดสภาพัฒน์ฯในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่13 ก็ได้วางเป้าไว้ที่หกสาขาเศรษฐกิจที่จะเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายหรือ S curve ตัวใหม่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ได้แก่ เกษตรและเกษตรแปรรูปมูลค่าสูง การท่องเที่ยวที่ยั่งยืน ยานยนต์ไฟฟ้า การแพทย์และสุขภาพ โลจิสติก และอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ บทความที่จะนำเสนอในการสัมมนาพูดถึงห้าอุตสาหกรรมที่คล้ายกัน คือเกษตร อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องไฟฟ้า ส่งออกอาหาร เครื่องมือแพทย์ และอุตสาหกรรมยา ซึ่งน่าสนใจมาก
ผมเองไม่มีความรู้พอที่จะบอกว่าอุตสาหกรรมเหล่านี้จะเป็นตัวเลือกที่ดีมากน้อยแค่ไหน แต่อยากตั้งข้อสังเกตว่า อุตสาหกรรมที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจควรต้องเป็นอุตสาหกรรมที่ประเทศไทยทําได้ดีกว่าประเทศอื่นๆในโลก ไม่มีใครแข่งได้ และเข้ากับกับบริบททรัพยากรเศรษฐกิจและทักษะเด่นที่ประเทศและคนไทยมี รวมถึงมี backward linkage หรือการเชื่อมต่อสูงกับส่วนอื่นๆของเศรษฐกิจ เพื่อให้คนส่วนใหญ่ของประเทศสามารถมีส่วนร่วมในกระบวนการผลิตและได้ประโยชน์ คือ กระบวนการเติบโตของเศรษฐกิจใน S curve ตัวใหม่จะต้องเปิดกว้าง คือ inclusive ให้ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมและได้ประโยชน์ เพื่อนำไปสู่การเติบโตที่ทั่วถึงและยั่งยืน
แต่ที่ต้องตระหนักและเป็นประเด็นสําคัญที่ผมจะฝากไว้วันนี้คือ แม้ประเทศไทยจะเลือกอุตสาหกรรมใหม่ได้ดี แต่การทำให้ S curve ตัวใหม่เกิดขึ้นจริงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะหมายถึงความพร้อมที่จะปฏิรูปด้าน Supply side หรือด้านอุปทานของประเทศเพื่อให้อุตสาหกรรมใหม่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นความท้าทายด้านนโยบายที่เรามีมาตลอดและไม่ได้ทำ แต่จําเป็นต้องทําเพื่อให้ S Curve ตัวใหม่เกิดขึ้น โดยเฉพาะในสองเรื่องที่การปฏิรูปต้องเกิดขึ้นและต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ
เรื่องเเรกคือเรื่องคนที่ต้องพร้อมด้านทรัพยากรบุคคลที่จะรองรับและสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น ทั้งในเรื่องจำนวน ความรู้ และทักษะแรงงานที่ควรมี อย่างที่ทราบโลกเศรษฐกิจสมัยนี้แพ้ชนะกันด้วย talent ของประชากร หรือความสามารถของบุคลากรในกําลังแรงงาน ทั้งในระดับบริษัทและระดับประเทศ แต่เรื่องนี้ประเทศไทยมีข้อจำกัดมากคือขาดแคลนทักษะแรงงานและ talent ของบุคลากรแรงงานที่ควรมีที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ปัญหานี้ยิ่งน่าห่วงมองไปข้างหน้าจากที่สังคมไทยจะเข้าสังคมสูงวัยเต็มรูปแบบทําให้กําลังแรงงานของประเทศจะลดลงมาก จากประมาณ 38 ล้านคนในปัจจุบันเหลือประมาณ 24 ล้านคนในสามสิบกว่าปีข้างหน้า เป็นตัวเลขที่ประเมินโดยธนาคารโลก คน 24 ล้านคนนี้มีภาระที่ต้องดูแลการเติบโตของเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของคนทั้งประเทศ โดยเฉพาะผู้สูงวัยจํานวนมากที่ไม่มีรายได้ เป็นภาระของคนรุ่นใหม่ที่หนักมากและพวกเขาจะทำได้ก็ต่อเมื่อพวกเขามีความรู้ ความสามารถ มีทักษะ และมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและการกำหนดนโยบายของประเทศ ชัดเจนว่า โจทย์ใหญ่ของเราคือการสร้างความรู้ ความสามารถและทักษะให้กับคนในประเทศ ผ่านการปฏิรูปการศึกษา ยกระดับทักษะของกําลังแรงงาน และพัฒนา talentระดับสูงด้วยการลงทุนด้านวิจัยและนวัตกรรมของภาคเอกชน ทั้งหมดนี้ต้องเกิดขึ้น
เรื่องที่สองคือการสร้าง enabling environment หรือภาวะแวดล้อมด้านเศรษฐกิจและการบริหารจัดการภาครัฐที่จะสนับสนุนและสร้างแรงจูงใจที่ถูกต้องให้การเปลี่ยนแปลงที่อยากเห็นเกิดขึ้น ประเด็นคือการปฏิรูปด้านอุปทานเป็นการเปลี่ยนแปลงใหญ่ และการเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีความร่วมมือ แรงสนับสนุน และการมีส่วนร่วมของภาคธุรกิจและประชาชน ในระบบทุนนิยม การมีส่วนร่วมจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อประชาชนมองว่าส่วนรวมจะได้ประโยชน์จากโอกาสทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้น เป็นโอกาสที่เปิดกว้างและเป็นธรรม ซึ่งมาจากระบบเศรษฐกิจที่มีการแข่งขัน เคารพกติกา มีการบังคับใช้กฎหมายที่เข็มแข็งตรงไปตรงมา สนับสนุนโดยการทําหน้าที่ของภาครัฐอย่างมืออาชีพและมีธรรมาภิบาล นําไปสู่การให้บริการประชาชนที่มีประสิทธิภาพ และการตัดสินใจที่ดีในการทำนโยบายสาธารณะที่เศรษฐกิจและส่วนรวมได้ประโยชน์
สิ่งเหล่านี้ คือ enabling environment ที่จะขับเคลื่อนให้ S curve ตัวใหม่เกิดขึ้น เป็นenabling environment ที่คนในประเทศต้องการเพื่อปลดปล่อยพลังทางเศรษฐกิจที่ประเทศมี ให้นำไปสู่การเติบโตและการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นของประเทศ ตรงกันข้ามถ้าไม่มี enabling environment การสร้าง S Curve ตัวใหม่ก็จะเกิดยากและประเทศไทยก็จะต้องอยู่กับ S Curve ตัวเดิมต่อไป ไม่ไปไหน เหมือนช่วง 20 ปีที่ผ่านมา การสร้าง enabling environment หรือภาวะแวดล้อมสนับสนุน จึงเป็นสิ่งที่เราต้องทำให้เกิดขึ้นและเป็นสิ่งที่เราทำได้
เขียนให้คิด
ดร. บัณฑิต นิจถาวร
ประธานมูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ปลัดกระทรวงอุตฯ แจงกมธ.อุตสาหกรรม ปมกากแคดเมียม
ที่รัฐสภา ในการประชุมคณะกรรมาธิการ(กมธ.)อุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทย
ผงะ! กากแคดเมียมโผล่สมุทรสาครอีกกว่า 1,000 ตัน เจ้าของคนจีนอ้างไม่รู้สารพิษ
ลามไปสมุทรสาครพบกากแคดเมียมอีก 1,000 ตัน เจ้าของชาวจีนดอดไปลงประจำวันกลางดึก ไม่ ทราบว่าเป็นสารพิษ
เริ่มขุดแล้ว! เจอแร่ลิเทียมในสวนปาล์ม อ.ตะกั่วทุ่ง คนแห่ติดต่อขอซื้อ-เช่าที่ดิน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากมีการนำเสนอข่าวเรื่องการพบแหล่งแร่ลิเทียม ในพื้นที่อำเภอตะกั่วทุ่ง จ.พังงา และมีบางสื่อได้นำเนอว่ามีปริมาณของแร่ลิเทียมมากเป็นอันดับที่ 3 ของโลก ทำให้กลายเป็นเรื่องทอล์ก ออฟ เดอะทาวน์ ของชาวจังหวัดพังงาและประชาชนทั้งประเทศ ซึ่งล่าสุดทางกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.)