มติแพทยสภา ที่ลงโทษแพทย์ 3 ราย 2 จากโรงพยาบาลตำรวจ และ 1 จากโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ไม่ได้สะเทือนแค่ เกียรติของวิชาชีพเวชกรรม เท่านั้นครับ แต่มันกระเทือนลึกถึง ความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม ว่ายังพอมีหลงเหลืออยู่ในประเทศนี้หรือไม่
ในห้วงเวลาที่สังคมยังค้างคาใจกับคำถามเก่า “ชั้น 14 คือเรือนจำหรือโรงแรม” คำวินิจฉัยของแพทยสภาก็ปรากฏขึ้นเหมือนค้อนปอนด์ ที่ฟาดลงกลางโต๊ะอำนาจโดยไม่ไว้หน้าใคร
โดยเฉพาะเมื่อระบุชัดว่า “ให้ข้อมูลและเอกสารทางการแพทย์อันไม่ตรงกับความเป็นจริง” ซึ่งตีความตรงไปตรงมาว่า ไม่มีหลักฐานข้อเท็จจริง ใดแสดงว่าทักษิณ ชินวัตร มีอาการวิกฤติถึงขั้นต้องนอนโรงพยาบาลถึง 189 วัน
นั่นหมายความว่า ตลอดครึ่งปีที่คนทั้งประเทศเฝ้ามองว่าทักษิณกำลัง “รับโทษ” แท้จริงแล้ว อาจ ไม่มีการรับโทษใดเกิดขึ้นเลย
ความวิปริตนี้ ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของ “คนไข้พิเศษ” คนหนึ่งที่นอนอยู่บนเตียงพิเศษในโรงพยาบาลตำรวจ แต่มันเปิดโปงว่า ทั้งระบบเรือนจำและสาธารณสุข อาจกลายเป็น กลไกเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อผู้มีอำนาจ
เมื่อความจริงปรากฏ คำถามจึงไม่ใช่แค่เรื่องจริยธรรมของแพทย์ แต่คือเส้นแบ่งของความยุติธรรม ที่แหลกสลายไปพร้อมระบบบังคับใช้กฎหมาย
มติดังกล่าวถูกส่งถึง สมศักดิ์ เทพสุทิน ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ “สภานายกพิเศษ” ของแพทยสภา ซึ่งมีอำนาจตามกฎหมายในการ เห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ กับผลวินิจฉัย
และนั่นทำให้สมศักดิ์กลายเป็น คนถือเผือกร้อน ที่ไม่มีทางเลือกใดจะไม่เจ็บตัว
หาก “ไม่เห็นชอบ” ก็ต้องหาเหตุผลแย้งข้อเท็จจริงที่ผ่านกระบวนการไต่สวนโดยผู้ทรงคุณวุฒิทางการแพทย์ ซึ่งจะนำไปสู่ แรงกดดันหนักหน่วงจากสังคม
แต่ถ้าเลือก “เห็นชอบ” เต็มมือ ก็เสี่ยงกระแทกถึงผู้มีอำนาจเบื้องหลัง โดยเฉพาะนายใหญ่ และอาจทำลายสมดุลภายในพรรคและรัฐบาล
สมศักดิ์จึงเลือกตั้ง “คณะกรรมการเสนอความเห็น” 10 คน โดยมี ชัยนันท์ งามขจรกุลกิจ เป็นประธาน และ ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ คนใกล้ชิดของสมศักดิ์เป็นเลขานุการ
แม้กระบวนการจะเป็นไปตามกฎหมาย แต่หลายฝ่ายก็มองว่า เป็นการใช้กลไกทางเทคนิคเพื่อถ่วงเวลา
บางคนเห็นว่าคณะกรรมการนี้เป็น กันชนทางการเมือง เพื่อเลี่ยงการตัดสินใจเด็ดขาด ซึ่งจะกระทบทั้งภาพลักษณ์รัฐบาลและความสัมพันธ์กับทักษิณ
อีกด้านก็มองว่า สมศักดิ์อาจกำลัง ปูทางให้การเห็นชอบเกิดขึ้นโดยมีฐานความชอบธรรม และลดเสียงวิจารณ์ที่จะตามมา
ไม่ว่าเจตนาจะเป็นแบบใด แต่ก็ต้องยอมรับว่า กระบวนการนี้ยัง ไม่สามารถคลี่คลายความคลางแคลงใจของสังคม ต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องพิเศษโรงพยาบาลตำรวจ
ที่สำคัญคือ เรื่องทั้งหมดนี้ ไม่เกี่ยวข้องโดยตรง กับการไต่สวนของ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในวันที่ 13 มิถุนายน
เพราะการไต่สวนเป็นอำนาจของศาลตามกฎหมาย ซึ่ง ไม่จำเป็นต้องยึดตามความเห็นของแพทยสภา หรือคำวินิจฉัยของสมศักดิ์แต่อย่างใด
แต่เพราะเนื้อหาของ มติแพทยสภา เกี่ยวข้องกับคำถามที่ศาลต้องพิจารณาเช่นกัน “มีการบังคับโทษเกิดขึ้นจริงหรือไม่” มติดังกล่าวจึงอาจกลายเป็น ปัจจัยแวดล้อม ที่ศาลนำมาประกอบการวินิจฉัย
หากศาลเห็นว่า 189 วันในโรงพยาบาลตำรวจ ไม่ใช่การรับโทษตามคำพิพากษา ก็มีแนวโน้มสูงที่ทักษิณจะต้อง กลับไปเริ่มต้นรับโทษใหม่อีกครั้ง
และนั่นคือสิ่งที่เรียกกันว่า “คืนคุก” ซึ่งไม่ได้หมายถึงแค่ผลทางกฎหมายเท่านั้น แต่มันคือ แรงกระแทกทางการเมือง ที่อาจสั่นคลอนฐานอำนาจรัฐบาลในทันที
เพราะรัฐบาลชุดนี้มีชื่อของ ทักษิณเป็นเจ้าของเงา และภาพเขาถูกนำตัวกลับเข้าเรือนจำอีกครั้ง ย่อมไม่อาจทำให้ เสถียรภาพของรัฐบาลยังมั่นคงเหมือนเดิม
ไม่ใช่แค่ศาลหรือสมศักดิ์ที่ต้องชั่งน้ำหนัก แม้แต่พรรคร่วมรัฐบาลเองก็อาจเริ่มตั้งคำถามว่า จะยัง ยึดมั่นกับพันธะทางการเมืองนี้ ต่อไปหรือไม่ หากมันนำไปสู่ วิกฤตศรัทธาในสายตาสาธารณชน
ในห้วงเวลาที่โพลเริ่มเหือดหาย ความนิยมถดถอย และฝ่ายค้านเริ่มรุกหนัก การต้องเผชิญคำถามว่า “ทักษิณเคยติดคุกจริงหรือไม่” ยิ่งทำให้ พรรคเพื่อไทยเองก็ลำบากใจที่จะรับหน้าแทน
และเมื่อ แพทองธาร ชินวัตร ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ ความเชื่อมโยงระหว่าง “พ่อที่ยังไม่ติดคุก” กับ “ลูกที่กุมอำนาจรัฐ” ก็กลายเป็น ภาระทางการเมือง ที่ผลักไม่พ้นภาพจำของสังคม
เพราะถ้าจะอ้างความชอบธรรมในการบริหารประเทศ ต้องเริ่มจากการทำให้ประชาชนเชื่อว่า กระบวนการยุติธรรมไม่ใช่ข้อยกเว้นของเครือญาติ
คำวินิจฉัยของสมศักดิ์ ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า จึงไม่ใช่แค่ “เห็นชอบ” หรือ “ไม่เห็นชอบ” กับมติแพทยสภา แต่คือการตัดสินใจที่อาจ กำหนดจุดจบของรัฐบาล
แม้อาจยังไม่ถึงขั้น “เปลี่ยนขั้ว” ในทันที แต่หากแรงกดดันจากสังคมมากพอ และความไม่ชอบธรรมแปรเป็น แรงกระเพื่อมในสภา การยุบสภาก็ไม่ใช่เรื่องไกลเกินฝัน
และนั่นทำให้ความเคลื่อนไหวของสมศักดิ์ ถูกจับตามองในฐานะ “บันไดขั้นสุดท้ายของทักษิณ” ว่าจะได้กลับเข้าคุกหรือไม่ และจะลากรัฐบาลไปด้วยหรือเปล่า
ไม่ว่าบันไดนั้นจะเป็น บันไดที่ถ่วงเวลา หรือเป็น บันไดที่ปูทางกลับเรือนจำ มันก็กำลังไต่ขึ้นสู่จุดที่ทั้งประเทศกำลังเฝ้ามอง
และนั่นเองที่ทำให้ไม่อาจมองข้ามคำถามสำคัญที่สุดของการเมืองไทยปีนี้ คนอย่างทักษิณ จะรับโทษเท่ากับคนธรรมดาได้หรือไม่?
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สส.อีสาน เสนอเพื่อไทยทวงคืนมหาดไทย อ้างต้องสางปัญหายาเสพติด
ประชุม สส.เพื่อไทยคึกคัก “แพทองธาร” เข้าร่วมครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์ กลุ่มอีสานสะท้อนปัญหายาเสพติดระบาดหนัก เร่ง
'ทวี' ลั่นความจริงมีหนึ่งเดียว ไม่กังวลศาลฎีกาฯ เรียกไต่สวนจนท.ราชทัณฑ์ คดีชั้น 14
พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม เปิดเผยความคืบหน้ากรณีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งการเมือง นัดไต่สวนกรณีความปรากฏการบังคับโทษจำคุก นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ส่งพักรักษาตัวนอกเรือนจำ
ไร้เงาเสี่ยหนูยืนประกบ! 'อิ๊งค์' บอกเงื่อนไขตั้งรัฐบาลคุยแค่ตำแหน่ง แต่ไม่การันตีอยู่ยาว
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงการพูดคุยกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้มีการพูดคุยเรื่องปรับ ครม.กันหรือไม่ว่า ไม่ได้คุย คุ
🛑LIVE หนูไม่ยอม!! | ห้องข่าวไทยโพสต์
ห้องข่าวไทยโพสต์ : วันอังคารที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2568
'อนุทิน' ขอนายกฯช่วยคุ้มครอง โอดทำไมเล่นกันแรงขนาดนี้ โดนหมายเรียกคดีฮั้วสว.
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึง กรณีการได้รับหมายเรียกจากกกต.คดีฮั้วเลือกสว. จะไปชี้แจงวันใดนั้นว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องกฎหมาย เพราะฉะนั้นใครถูกกล่าวหา หรือชี้อะไรมา โดยเฉพาะการชี้ที่เป็นข้อกล่าวหา ต้องให้ทนายความ
ดร.ณัฏฐ์ ให้ความเห็นคดีฮั้ว สว. ล็อต 7 ชี้หากมีมูลอาจกระทบถึงยุบภูมิใจไทย!
“ดร.ณัฏฐ์” ชี้ ปมฮั้ว สว.สีน้ำเงิน ล็อต 7 โยง “เนวิน-อนุทิน-กก.บห.พรรคภูมิใจไทย”หากฟังได้ว่า ร่วมกันกระทำความผิด ถูกดำเนินคดีอาญา ยึดทรัพย์และยุบพรรคภูมิใจไทย