นีซ คานส์ วังมอนาโค เมืองน้ำหอม  หลุมโรมัน

มอนาโค ในมุมกว้าง

ไปฝรั่งเศส ใครๆ ก็มักนึกถึงปารีส กับหอไอเฟิ่ล  ไม่ค่อยนึกถึงเมืองอื่น ๆแต่ถ้าได้ไปเทศกาลหนังเมืองคานส์แล้ว ก็ต้องหาโอกาสแวะเวียนเยี่ยมชม นีซ หรือมอนาโค ที่อยู่ใกล้กันมากจะได้ไม่เสียเที่ยว

จริงๆแล้ว ถ้าจะไปคานส์ ต้องนั่งเครื่องไปลงสนามบินที่เมืองนีซ (NICE) แล้วนั่งรถมาคานส์ ใช้เวลาประมาณ 40 นาที ก็ถึงแล้ว   นีช เป็นเมืองตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส ชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน อยู่ครึ่งทางระหว่างเมืองคานส์และโมนาโก  ตำแหน่งของเมืองอยู่ในจุดที่เทือกเขาแอลป์และแม่น้ำ Paillon  บรรจบกับทะเล

ในเส้นทางการเดินทาง หมุดหมายของเราอยู่ที่เทศกาลหนังเมืองคานส์ เราจึงไม่ค่อยได้สัมผัสนีซสักเท่าไหร่ แต่เท่าที่รู้คือ นีซ เป็นสวรรค์นักอาบแดด เป็นเมืองมรดกทางสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมที่หลากหลาย   สภาพความเป็นเมืองเก่ามีเสน่ห์ มีสถาปัตยกรรมแบบ บาโรค ไปถึงศิลปะแบบร็อคโก เต็มไปด้วยงานศิลปะอิมเพรนิสม์จนถึงศิลปะยุคใหม่ ส่วนตัวเมืองก็มีลักษณะความเป็นตรอกซอกซอยคดเคี้ยวแคบๆ สลับซับซ้อน มีร้านอาหารแบบดั้งเดิม หรือร้านกาแฟริมทาง เลียบชายหาดริเวียร่า

เมืองคานส์  ในบรรยากาศเทศกาลหนังเองคานส์

จากนีซเพื่อมาคานส์ ฝนตกพรำๆไม่หยุด  พูดถึงคานส์ เป็นเมืองตากอากาศ ได้รับการยอมรัว่าเป็นดินแดนแห่งการพักผ่อน  ในหน้าหนาวอากาศก็ไม่หนาวเหน็บ เหมือนเมืองอื่นๆ ในฝรั่งเศส เพราะอยู่ติดกับทะเล  หาดริเวียราก็โด่งดังระดับโลก  ด้วยสภาพอากาศที่ดีสำหรับคนตะวันตก เพราะไม่หนาวเกินไป ทำให้คานส์ จึงเป็นพื้นที่ ที่มีการจัดกิจกรรมตลอดทั้งปี ส่วนใหญ่แล้วเป็นงานเทศกาลทางวัฒนธรรมระดับโลก  แต่ที่ใหญ่ที่สุดเป็นงานเทศกาลหนังเมืองคานส์ ที่แต่ละมีจะมีผู้เข้าร่วมงานไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นคน  

อาคารที่เป็นตลาดเจรจาธุรกิจซื้อขายหนัง

เมื่อบอกว่าหมุดหมายของเราคือ การร่วมงานเทศกาลหนังเมืองคานส์  จะไม่พูดถึงตัวงานสักเล็กน้อยคงไม่ได้  โดยกระทรวงวัฒนธรรมได้เชิญชวนให้ไปสัมผัสงาน ซึ่งปีนี้ รัฐบาลไทย  3กระทรวง ได้แก่ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวัฒนธรรมและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นโต้โผหลักพาผู้ผลิตไทยในอุตสาหกรรมหนังไทย มาเปิดตลาดตั้งโต๊ะซื้อขายหนัง ส่วนในแง่ของทางการไทย ก็เปิดคูหาที่ต้อนรับนายทุนทำหนังต่างชาติที่สนใจเลือกประเทศไทยเป็นโลเคชั่นถ่ายทำ หรือเลือกทีมงานสตูดิโอบริษัทของคนไทยเป็นโปรดักชั่น หรือเทีมงานเบื้องหลังการผลิต

รั้ว3 ชั้น กั้นพื้นที่พรมแดง  


ปีนี้ มี60 ประเทศที่เปิดคูหา หรือที่เรียกว่า Village International ส่วนตัวอาคารเป็นตลาดการเจรจาทางธุรกิจ ที่แต่ละประเทศจะมีบูธของตัวเอง หรือบางบริษัทผู้ผลิตบางประเทศใจป้ำซื้อพื้นที่เปิดบูธของตัวเอง บูธของไทยนับว่ามีความเด่น ขนาดไม่เล็กเลย แม้จะไม่กว้างเท่าบูธของเกาหลี เจ้าแห่ง Soft Power ในเอเชีย ขณะที่บอลลีวู้ด ก๊มีบูธที่ใหญ่ไม่ใช่เล่น

ถนนรอบพื้นที่จัดงานเนืองแน่นด้วยผู้คน ในเวลาใกล้เดินพรมแดง รถเข้าไมได้ เพราะมีการปิดถนน ตำรวจต้องมาดูแลความเรียบร้อย


การเดินชมบูธในงาน ให้ครบทุกบูธ ต้องยอมรับว่าเล่นเอาเมื่อย  สำหรับ ในคนที่รักหนัง ขอบดูหนังจะตื่นตาตื่นใจกับบรรดาโปสเตอร์หนัง  หรือวี๊ดว๊าย กับหนังที่อยากดู บางเรื่องเป็นภาคต่อ หนังที่เป็นเอฟซีอยู่  การสัมผัสงานเป็นการอัพเดทวงการหนังทั้งโลกที่มารวมกองที่ตลาดแห่งนี้

ต้องบอกว่า ทุกตารางนิ้วของงานเทศกาลหนังคานส์  เป็นเงินเป็นทองทั้งนั้น แน่นอนการเปิดบูธ หรือพาวิเลียน เป็นเงินไม่ใช่น้อย หรือแม้กระทั่ง   โปสเตอร์หนังถ้าอยากปิดนอกพื้นที่บูธที่ตนเองซื้อไว้ ไม่ว่าจะเป็นเสากลางทางเดิน ตามกำแพงต่างๆ หรือตรงจุดบันไดเลื่อน ที่คนจะเห็นง่าย ต้องจ่ายทั้งนั้น  ไม่นับการเข้าดูหนัง หรือการจะถ่ายรูปใกล้ชิดดาราที่มาเดินพรมแดง ซึ่งต้องมีการลงทะเบียนล่วงหน้า ระดับราคาค่าลงทะเบียน  จะแตกต่างกันตามระดับความต้องการว่าอยากเห็นใกล้ๆ หรือไกลๆ

โปสเตอร์หนังติดตรงบันไดเลื่อนใหญ่ขนาดนี้น่าจะหลายตังค์

เรื่องพรมแดงนั้น ที่หลายคนเห็นในข่าวดูยิ่งใหญ่อลังการ แต่จริงๆแล้ว ของจริงไม่ได้กว้างใหญ่มากนัก  คนที่เคยไปงานเทศกาลเมื่อปีก่อน พอไปปีนี้ ได้เห็นจุดที่ช่างภาพจะตั้งกล้อง ถ่ายภาพพรมแดง บอกว่า ทางผู้จัดงานเข้มงวดเคี่ยวมากขึ้น กว่าเดิม ถึงขนาดเอารั้วมากั้นพื้นที่พรมแดงถึง 3ชั้น ฉะนั้น การจะเข้าถึงพรมแดงเพื่อถ่ายภาพ ดาราในดวงใจ จึงไม่ใช่เรื่องง่าย

ทางเดินตรอกแคบๆก่อนไปถึงหน้าลานพระราชวัง

เจอรถแต่งงานตรงทางเดินก่อนไปพระราชวัง น่ารักมาก
พระราชวังมอนาโคจากด้านหน้า
อีกมุม ด้านซ้ายมือพระราชวังมอนาโค
ทหารตรงป้อมยามหน้าพระราชวังมอนาโค ยืนนิ่งยังกับหุ่นหน้าตู้โขว์

เสร็จจากภารกิจเทศกาลหนัง ได้มีโอกาสไปเปิดประสบการณ์ ที่”มอนาโค  ” จุดหมายก็คือ พระราชวังมอนาโค (Prince’s Palace of Monaco)ซึ่งตั้งอยู่บน”Rock of Monaco”   โขดหินขนาดใหญ่ที่ตั้งของเมืองเก่า ใช้เวลาเดินทางจากคานส์ราวชั่วโมงเศษๆ ก็ถึงแล้ว ตลอดทางฝนตกพรำๆ ไม่หยุด   แม้ลงจากรถแล้ว การเดินชมบริเวณโดยรอบๆที่ตั้งพระราชวัง ที่ตั้งบนยอดเขา สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ในมุมกว้าง ของเมืองมอนาโค ที่เป็นประเทศเล็กๆได้อย่างดี

ตัวพระราชวังมองจากด้านในที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม

มาพระราชวังมอนาโคทั้งที ไม่เข้าไปเยี่ยมชมภายในตัวพระราชวัง ก็จะน่าเสียดายมาก ๆ วังแห่งนี้  ไม่ใช่แค่เปิดรับนักท่องเที่ยวให้เยี่ยมชมเท่านั้น แต่ยังเป็นที่ประทับปัจจุบันของเจ้าชาย  เจ้าชายอาลแบร์ที่ 2 เจ้าผู้ครองโมนาโก ราชวงศ์กรีมัลดี และพระประมุขแห่งโมนาโกองค์ปัจจุบัน    ถ้าหากวันใดเจ้าชายประทับในวัง จะมีการชักธงประจำพระองค์ขึ้นเสา วันนั้นก็จะงดไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าชม

พระราชพระบัลลังก็ของกษัตริย์มอนาโค


ค่าเข้าชมพระราชวัง ตกคนละ 10 ยูโร  แถวของคนที่ต้องการเยี่ยมชมยาวเหยียด ทางเจ้าหน้าที่ จะจัดเป็นชุดๆ ให้เข้าชมได้คราวละกี่คน มีการตรวจและสแกนกระเป๋า แต่ละห้องที่เยี่ยมชม ตั้งแต่ห้องทรงงาน ที่มีประวัติศาสตร์ การทำพิธีและเก้าอี้ที่ถือว่าเป็นบัลลังก์การขึ้นครองราชย์ของเจ้าชายอัลแบร์  กษัตริย์องค์ก่อน พิธีเสกสมรสระหว่างเจ้าชายอัลแบร์กับเจ้าหญิงเกรซ อดีตดาราอเมริกันที่สวยมาก ๆ โดยห้องนี้จะมีการฉายภาพเหตุการณ์จริง ประกอบการเยี่ยมชม พร้อมกับ การบรรยายผ่านวิทยุ ที่แจกให้แต่ละคน สามารถเลือกฟังได้เป็นภาษาอังกฤษหรือฝรั่งเศส  ต้องยอมรับว่าพระราชวังไม่ใหญ่นัก ห้องก็จะเหมือนพระราชวังยุโรปอื่นๆ คือห้องห้องบรรทม ห้องอาหาร ห้องพักผ่อน ห้องทรงงานฯ  ใช้เวลาเดินไม่นานก็ครบแล้ว

ห้องพระบรรทม

เหลียวมองนักท่องเที่ยวที่เยี่ยมชมพระราชวังพร้อมๆกับเรา ส่วนใหญ่เป็นฝรั่ง ไม่ค่อยมีเอเชีย พอเยี่ยมชมเสร็จ ออกมา ก็พบกับนักท่องเที่ยวชุดใหมๆ ที่เยอะมากๆ  เป็นฝรั่งทั้งนั้น  เกิดความคิดในใจ ฝรั่งก็คลั่งเจ้าเหมือนกัน ไม่ได้มีแต่คนไทยอย่างเรา ที่อยากรู้อยากเห็นว่าพระราชวังนั้นเป็นเช่นไร

หน้ากากทองคำของกษัตริย์เจ้าชายอาลแบร์ที่ 2
ฝรั่งสนใจภาพถ่ายของพระราชวงศ์
ฝรั่งนั่งพักฟังคำบรรยายจากวิทยุ
ร้านอาหารริมทางเดินไปพระราชวัง ที่สวยมาก

ช่วงบ่าย เรามาที่Musee d’Archeologie de Nice / Cimiez เป็นพิพิธภัณฑ์ สร้างขึ้นบนโบราณสถานเมืองสมัยโรมัน ประวัติความเป็นมาของเมือง สามารถสืบย้อนไปถึงปี 14 สมัย นอกอาคารหลักของพิพิธภัณฑ์ เป็นพื้นที่เปิดโล่ง  มีซากอาคารที่เป็นห้องน้ำสาธารณะสมัยโรมันตั้งอยู่ พร้อมกับโรงละครวงกลม ที่ยังมีสภาพสมบูรณ์   ต้องยอมรับว่าโรงอาบน้ำอาณาจักรโรมันใหญ่โตมาก สะท้อนการให้ความสำคัญ

ซากปรักหักพัง โรงอาบน้ำโรมัน ที่ขุดพบ กินพื้นที่กว้างใหญ่มาก สังเกตุได้ว่ายังมีการล้อมรั้ว เพื่อทำการขุดค้นต่อไป

ตงิดๆในใจ ทำไมโรงอาบน้ำยุคโรมันจึงใหญ่โตกินพื้นที่กว้างมากนัก แสดงว่าคนสมัยนั้นชอบอาบน่ำกันมาก เลยค้นดูพบว่า โรงอาบน้ำโรมันเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมทางศาสนา การอาบน้ำคือชำระล้างร่างกายให้บริสุทธิ์ ก่อนประกอบพิธีกรรม โรงอาบน่้ำยุคโรมันที่ค้นพบในประเทศอื่นๆในแถบยุโรป มีสภาพเหมือนกันคืออยู่ต่ำกว่าพื้นดิน และมีระบบการให้น้ำไหลเข้าที่ถือว่าเป็นวิศวกรรมชั้นยอด คนยุคนี้ยังทึ่ง แต่เมื่อความเชื่อทางศาสนาและพิธีกรรมต่างๆ ของคนยุคหลังเจือจางลง การอาบน่้ำจึงลดความสำคัญลง จึงไม่แปลก ที่เราจะเห็นฝรั่งส่วนใหญ่ไม่ขอบอาบน้ำ เหตุผลหลักๆ เป็นเรื่องอากาศหนาว ยาวนานหลายเดือน แต่พอไม่อาบบ่อยๆ ก็เป็นนิสัย ไม่ว่าหน้าฤดูไหน ก็ไม่ค่อยอยากจะอาบทั้งนั้น

ซากอาคารโรมัน ที่ยังมีสภาพสมบูรณ์ อยู่ในบริเวณเดียวกับ Musee d’Archeologie de Nice

ส่วนตัวพิพิธภัณฑ์ มีการแสดงโบราณวัตถุยุคโรมันที่ขุดค้นพบ ทั้งเสาโรมันที่มีขนาดใหญ่โตมาก คณโฑน้ำทรงสูง ทำจากดินเผา ที่มีขนาดใหญ่ ดูด้วยสายตาเฉพาะคณโฑน่าจะหนักอึ้ง   อุ้มคนเดียวคงไม่ไหว ยิ่งถ้ามีน้ำอยู่ภายในด้วย ก็คงจะหนักมาก ทำให้คิดว่าคนโรมันเนี่ย คงจะตัวใหญ่ไม่เบา เพราะไม่ว่าอะไรๆ ที่ขุดค้นพบ ล้วนแต่ใหญ่โตมากทั้งนั้น

คณโฑใส่น้ำของคนโรมัน ของจริงใหญ่มาก
รูปปั้นยุคโรมันที่ขุดพบ ยังมีสภาพสมบูรณ์ค่อนข้างมาก จัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ โบราณคดีโรมัน เมืองนีซ
จากหน้าผาบริเวณพระราชวัง มองลงไปจะเห็นความงดงามของทะเล

ออกจากพิพิธภัณฑ์สมัย โรมัน เป้าหมายต่อไปของเราคือ เมืองกราซ (Grasse ) ตั้งในโซน ริเวียร่า ได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงแห่งน้ำหอมโลก เราได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมโรงงานผลิตน้ำหอม ยี่ห้อฟราโกนาร์ด (Fergonard)โรงงานแห่งนี้ รับผลิตน้ำหอมแบรนด์ดังทั่วโลก ที่ดังๆ ก็มี Channel 5 และอื่นๆ  ก่อนติดยี่ห้อ ล้วนกลั่นมาจากที่นี่ทั้งนั้น  ตัวโรงงานที่เก่าแก่ อายุร้อยกว่าปี จะมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมทุกวัน ซึ่งจะมีการจัดกรุ๊ปนักท่องเที่ยวเยี่ยมชม เล่าถึงอดีต  กระบวนการผลิต  กว่าจะได้น้ำหอมแต่ละขวด  ที่ต้องใช้ดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมทั่วโลกมากลั่นออกมาเป็นน้ำหอม ซึ่งดอกไม้ของไทย  “ดอกโมก” ก็เคยได้รับเลือกให้มากลั่นเป็นน้ำหอม แต่ปัจจุบันไม่ได้มีการใช้ดอกโมกแล้ว การเยี่ยมชมโรงงาน จบท้ายด้วยการพาไปร้านค้าของโรงงาน ซึ่งราคาน้ำหอมของที่นี่ จะราคาถูกกว่าที่มีแบรนด์ ใครที่ชอบกลิ่นไหน ก็เลือกช้อปได้ตามความชอบ

โรงงานผลิตน้ำหอมเฟอร์โกนาร์ด  เมืองกราซ  ที่ได้ชือว่าเป็นเมืองหลวงน้ำหอมโลก
วัสดุอุปกรณ์บางอย่างยังใช้ถึงปัจจุบัน  

นอกจากน้ำหอมแล้ว ยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น สบู่ พวกผลิตภัณฑ์บำรุงผิว โคโลญ ที่อยู่กลุ่มเดียวกับน้ำหอม  ละลานตาไปหมด ส่วนเรื่องกลิ่นนั้น ก็ตีกันยุ่ง เพราะมีการสาธิตให้ดมน้ำหอมแต่ละกลิ่น ที่ไม่ซ้ำแบบ ใครขอบกลิ่นไหน ก็หมายตาไว้ก่อนจะซื้อ

อุปกรณ์ที่ใช่ร้่อยกว่าปีก่อน
ประวัติยาวนานกว่าร้อยปีของการผลิตน้ำหอม

วันนั้น ก่อนกลับ ตัวเราก็เลยห้อม หอม  เพราะพกกระดาษสาธิตน้ำหอมออกมาด้วย แม้จะไม่ได้ซื้อกับเขาสักขวด เพราะไม่ใช่คนใช้น้ำหอม ซื้อไปก็อาจจะเอาไปวางไว้เฉยๆ อีกทั้งเรื่องราคา ที่บอกว่าถูกกว่าที่เป็นแบรนด์  แต่ถ้าคิดจากยูโรเป็นเงินบาท ก็ไม่ใช่น้อยเลย

ถังกลั่นทองแดงในอดีตนำมาโชว์

อีกเรื่องที่ไม่พูดคงไมได้  นั่นก็คืออาหารการกิน มื้อแรกของวันแรกที่ไปถึง มีโอกาสไปกินพิซซ่า ร้านดังของคานส์ ชื่อร้าน La Pizza Cresci  ร้านตั้งอยู่ริมหาดริมทะเล  กว่าจะได้เข้าไปกินก็ต้องฝ่าฝน ที่ตกต้อนรับตั้งแต่มาถึง  ช่วงค่ำประมาณหนึ่งทุ่ม ยังสว่างราว 4 โมงเย็นบ้านเรา  ร้านคราคร่ำด้วยลูกค้า โต๊ะด้านนอกที่เห็นชายหาดถนัดตาไม่วางเลย  พวกเราถูกต้อนมานั่งด้านในร้าน  แต่อยู่ในจุดที่พอมองเห็นด้านนอกได้

 ร้านแห่งนี้เก่าแก่มาก เปิดมาตั้งแต่ปี 1956  บรรยากาศในร้านก็ดูเก่าๆ ทั้งโต๊ะ เก้าอี้ ดูทึมๆ แผ่นเมนูที่พิมพ์มาแบบมีศิลป์ มีประวัติร้าน พร้อมรูปของคนดังที่มาเป็นลูกค้า แม้แต่เจ้าชายอัลแบร์ กษัตริย์มอนาโคองค์ก่อนและเจ้าหญิงเกรซ แห่งมอนาโค ก็เคยมาเสวยอาหารที่ร้านนี้ นอกจากนี้ ยังมีรูปดาราดังในอดีต ที่เคยมากินอาหารที่นี่  ติดโชว์ไว้ แสดงความเก่าแก่คลาสสิกของร้่าน  โดยบางรูปเป็นภาพขาวดำ

เมนูของร้านสุดคลาสสิก

 เมนูหลักของที่นี่คือพิซซา ที่มีชื่อเสียงโด่งดังเรื่องความอร่อย  สั่งมาจะได้ขนาดครึ่งถาด ไม่ใช่ทั้งถาด ถ้ากินหลายคนต้องสั่งมา2-3จาน   รสชาติสัมผัสได้ว่าแตกต่างจากพิซซาที่เรากินในบ้านเรา เป็นกลิ่นอายของต้นตำรับ มีความบาง กรอบ มันๆด้วยชีส และเค็มเบาๆ นอกจากนี้ ยังมีสลัดผัก ที่โต๊ะพี่ที่เป็นเจ้าภาพเลี้ยง สั่งซีซาร์สลัด  ของทะเลชุปแป้งทอด ซึ่งมีปลาตัวเล็ก ๆ เรียวๆ คล้ายปลารากกล้วยเมืองไทย ปลาหมึก กุ้งสองตัว  ชุบแป้งทอดแต่ของทอดที่นี่ ไม่เน้นความกรอบนอกนุ่มในแบบไทย   แค่ทอดพอให้เหลืองๆ  แต่ทั้งปลา ปลาหมึกและกุ้งล้วนสด  เสียดายที่ชาดแต่น้ำจิ้มซีฟู้ด ไม่อย่างนั้นจะหมดเร็วแน่

มองไปรอบๆร้าน ลูกค้าทุกโต๊ะ ล้วนสั่งพิซซาทั้งนั้น บางคนมาแบบครอบครัว สั่งคนละครึ่งถาด ซึ่งเยอะมาก แต่ก็เห็นกินกันหมด  ฝรั่งโต๊ะข้างๆ น่าจะเป็นพวกแวดวงหนังประเทศใด ประเทศหนึ่ง ก็มาสรวลเสเฮฮา กันที่ร้านนี้ อย่างที่บอกว่าร้านเขาเก่าแก่มาก เป็นที่รู้จักของคนดัง แวดวงดาราทั่วโลก

เสียดายลืมถ่ายภาพอาหารมาให้ดู เพราะแต่ละคนหิวจนตาลาย จากไทยมาก็ได้กินอาหารที่ร้านนี้เป็นมื้อแรก เลยมีแต่บรรยากาศร้านมาฝาก

มุมโต๊ะที่ดีที่สุดแต่เต็มหมดทุกโต๊ะ

ในมื้ออื่นๆ เราพึ่งแมคโดนัลด์ เพราะสะดวก ราคาถูกสุด แต่มีร้านไก่ย่างอยู่ร้านหนึ่งในคานส์  ยอมรับว่ารสชาติดีมาก ตัวละ 16ยูโร สั่งมาครึ่งตัวราคา  9 ยูโร ลบคำปรามาสในใจว่าไก่ เมืองนอกจะต้องจืด ๆ แต่ร้านนี้ทั้งกลิ่นและรสชาติโอเคเลย ส่วนร้านอื่นๆ เดินไปทางไหน ส่วนใหญ่ก็จะเจอแต่ร้านพิซซา หรือเบอร์เกอร์ แต่พิซซาจะเยอะกว่า  คิดในใจว่าฝรั่งนี่กินพิซซาตะพึดตะพือ ไม่เบื่อบ้างหรือไง  คงเหมือนเรากินก๋วยเตี๋ยว ข้าวกระเพรา กินได้ทุกมื้อ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

วธ.เปิดงานป๋าเวณีปี๋ใหม่เมือง ชวนสัมผัสวัฒนธรรมล้านนาฉลองมรดกโลก

15 เม.ย.2567 - สงกรานต์เชียงใหม่คึกคัก กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) ร่วมกับจังหวัดเชียงใหม่ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่

วธ.เปิดสงกรานต์ปีใหม่ไทยวัดสุทัศน์ฯ นทท.คึกคัก ทั่วไทยร่วมสืบสานความงามประเพณี

13 เม.ย.2567 - นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดงานประเพณีสงกรานต์ปีใหม่ไทย (Songkran in Thailand, traditional Thai New Year festival) โดยมี นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม

นิทรรศการประเพณีสงกรานต์ปีใหม่ไทยที่หอศิลป์กรุงเทพฯ จัดใหญ่โชว์ซอฟต์พาวเวอร์ไทย

11 เม.ย.2567 - กระทรวงวัฒนธรรม โดย กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ร่วมกับ กรุงเทพมหานคร จัดงาน “นิทรรศการประเพณีสงกรานต์ปีใหม่ไทย” เนื่องในโอกาสที่ ประเพณี

วธ.จัดใหญ่มหาสงกรานต์ เปิดไฮไลต์ กทม. - 5 จังหวัด ฉลองมรดกโลก

กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) แถลงข่าวการจัดงานประเพณีสงกรานต์ปีใหม่ไทย (Songkran in Thailand, traditional Thai New Year festival)ที่หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธนนมแห่งประเทศไทย เมื่อวานนี้ โดย

ตามรอยสังเวชนียสถาน แดนพุทธภูมิอันศักดิ์สิทธิ์

เดินทางข้ามพรมแดนไปลุมพินี 1 ใน 4 สังเวชนียสถานที่เนปาล   พระภิกษุและผู้แสวงบุญเข้าสักการะภายในวิหารมายาเทวึ สถานที่ประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ  รอยพระบาทแรกของพระพุทธเจ้าประทับ ณ สถานที่แห่งนี้ ต่อมาตรัสรู้เป็นพระศาสดาของศาสนาพุทธ