'สมศ.' ขับเคลื่อนปฎิรูปการศึกษา ดันประเมินผลแล้วต้องใช้จริง

นับจากปี 2542 จนถึงวันนี้ อาจกล่าวได้ว่า ประเทศไทยยังไม่ถึงฝั่งฝันของการปฎิรูปการศึกษา แม้จะมีความพยายามผลักดันหลายรูปแบบ โดยการขับเคลื่อนที่สำคัญก็คือ มีการตั้งคณะกรรมการศึกษาการปฎิรูปการศึกษา แต่เอาเข้าจริง  แม้จะผ่านไปหลายปี  แต่ก็ยังไม่ได้มีการดำเนินการตามผลการศึกษาแต่อย่างใด ขณะที่ โครงสร้างเดิมของการปฎิรูปการศึกษาเมื่อ 20ปีก่อน มีการสร้างหน่วยงาน เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาของประเทศ ที่เห็นได้ก็คือ สำนักงานทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) และสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.)

โดยสทศ.พุ่งเป้าไปที่การประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการศีกษาของนักเรียน ที่ประเมินผ่านการจัดสอบโอเน็ต ตามช่วงชั้น ส่วนสมศ.ทำหน้าที่ประเมินคุณภาพตัวสถาบันการศึกษา ที่ส่วนใหญ่เป็นโรงเรียน  เนื่องจากในความไม่เท่ากันในคุณภาพของตัวเด็กนักเรียน  ปัจจัยหลักๆมาจากบทบาทการหล่อหลอมของสถานศึกษา หรือโรงเรียนทั้งหลาย  ขณะที่ ประเทศไทยมีโรงเรียนร่วม 6หมื่นโรง  แน่นอนว่าโรงเรียนเหล่านี้ มีคุณภาพไม่เท่ากัน  ปัญหาคือทำอย่างไร ถึงจะทำให้คุณภาพของโรงเรียนเหล่านี้ ไม่แตกต่างกันแบบสุดขั้ว หรือทำให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกันมากที่สุด  ซึ่งการประเมินสถานศึกษาจะเป็นกระจกสะท้อน นำไปสู่การปรับปรุงและพัฒนาสถานศึกษา ให้มีคุณภาพดีขึ้น  แต่ในความเป็นจริง ยังมีสถานศึกษาอีกจำนวนมาก ที่ไม่ได้นำผลการประเมิน พร้อมข้อชี้แนะ ไปพัฒนาสถานศึกษาของตนเอง

 ทำให้หลังจากประเมินคุณภาพสถาบันการศึกษารอบล่าสุด ที่เป็นการประเมินภายนอก  สมศ. ผนึกกำลังกับภาคีเครือข่ายสถาบันอุดมศึกษา 27 แห่ง ในนาม “ศูนย์ประสานงาน สมศ.”ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญ และหน่วยงานต้นสังกัดของสถานศึกษา ร่วมขับเคลื่อนโครงการส่งเสริมการนำผลการประเมินคุณภาพภายนอกไปใช้พัฒนาคุณภาพสถานศึกษา ให้กับสถานศึกษาจำนวน 133 แห่ง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 – 2566 โดยการนำประเด็นข้อเสนอแนะที่ได้จากรายงานการประเมินคุณภาพภายนอกของสถานศึกษามาวิเคราะห์ พร้อมจัดทำเป็นแผนพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในระยะสั้นและระยะยาว   พร้อมเปิดรับสมัครสถานศึกษาจำนวน 150 แห่งที่สนใจเข้าร่วม “โครงการส่งเสริมการนำผลประเมินไปใช้เพื่อพัฒนาคุณภาพสถานศึกษา” ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 – 2568

ดร. นันทา หงวนตัด รักษาการผู้อำนวยการ สมศ. กล่าวว่า  สมศ. ทำหน้าที่ประเมินคุณภาพสถานศึกษาทุกแห่งทั่วประเทศอย่างน้อย 1 ครั้งในทุก 5 ปี และรายงานผลการประเมินคุณภาพการศึกษาแก่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจในการกำหนดนโยบายทางการศึกษาของประเทศ ซึ่งจากการประเมินคุณภาพภายนอกที่ผ่านมา พบว่าภายหลังจากที่สถานศึกษาได้รับการประเมินคุณภาพภายนอกจาก สมศ.  สถานศึกษาบางส่วนยังไม่ได้ดำเนินการพัฒนาปรับปรุงคุณภาพการศึกษาของตนเองแบบทันทีทันใดและต่อเนื่อง ทำเป็นช่วงๆเท่านั้น เมื่อไหร่ที่สมศ.จะประเมิน ก็จะพัฒนาเมื่อนั้น ทำให้มองว่า ยังมองไม่เห็นการพัฒนาที่ชัดเจนของสถานศึกษา  ซึ่งจริงๆแล้วอำนาจหน้าที่นำผลประเมินไปใช้ ไม่ใช่ของสมศ.โดยตรง แต่เป็นหน้าที่ของทางต้นสังกัดของทางสถานศึกษานั้นๆ เพราะหลังจาก สมศ.ประเมินแล้ว จะนำส่งรายงานผล และข้อเสนอแนะให้สถานศึกษา และต้นสังกัด

ด้วยสถานการณ์ดังกล่าว ทำให้สมศ.ได้หารือกับทุกต้นสังกัดสถานศึกษา  เพื่อหาทางให้สถานศึกษานำผลประเมินไปใช้ปรับปรุงพัฒนา ซึ่งจากจุดนี้ เป็นที่มาของการรวมตัวกันเป็นเครือข่าย   โครงการส่งเสริมการนำผลประเมินไปใช้พัฒนาคุณภาพสถานศึกษา โดยสมศ.ได้ร่วมมือกับต้นสังกัดทุกฝ่าย เริ่มดำเนินโครงการตั้งแต่ปี 2564 เฟสแรกประชุมร่วมกันเพื่อดีไซน์ วิธีการพัฒนา และทดลองใช้กับสถานศึกษา 12แห่ง  หลังจากนั้นได้มองหาจุดอ่อน ก่อนปรับปรุงแก้ไข วิธีการก่อนมากลายมาเป็นเฟสสอง ทดลองใช้กับสถานศึกษา 2 แห่ง  และขยายโครงการมาเป็นเฟส 3 โดยนำสถานศึกษาที่มีผลการประเมินต่ำกว่าระดับดี 119 แห่ง มาพัฒนา ปัจจุบัน อยู่ในเฟสที่สี่ เปิดรับสถานศึกษา 150 แห่ง เข้าร่วมโครงการ โดยเป็นสถานศึกษา2 รูปแบบ ส่วนหนึ่งเป็นกลุ่มที่มีผลการประเมินต่ำกว่าระดับดี  และอีกส่วนเป็นสถานศึกษาที่มีผลการประเมินระดับดีขึ้นไป แต่มีความต้องการที่จะพัฒนาให้โดดเด่นดียิ่งๆขึ้นไปอีก ให้มาเข้าโครงการ

ดร.นันทา กล่าวว่า ในเฟสที่สี่นี้  อยู่ภายใต้แนวคิด “ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมพัฒนา” ระหว่าง สมศ. ภาคีเครือข่ายสถาบันอุดมศึกษา 27 แห่ง ในนาม “ศูนย์ประสานงาน สมศ.”ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญ และหน่วยงานต้นสังกัดของสถานศึกษา ร่วมกันขับเคลื่อน “โครงการส่งเสริมการนำผลประเมินคุณภาพภายนอกไปใช้พัฒนาคุณภาพสถานศึกษา โดยสถาบันอุดมศึกษาจะทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยง  และเรายังมีอีกทีมผู้เชี่ยวชาญแต่ละภาคส่วนกระจายตามจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศกว่า  700 ท่าน โรงเรียนหรือสถานศึกษาต่างๆถ้าสนใจผู้เชี่ยวชาญด้านใด ท่านก็สามารถไปช้อปปิ้งเลือกได้ตามใจชอบ ตรงตามบริบทของท่าน พอเลือกแล้ว ทั้ง 2ทีมคือจากมหาวิทยาลัย และผู้เชี่ยวชาญก็จะไปทำงานร่วมกัน ช่วยกันวิเคราะห์ และนำไปสู่การทำแผนพัฒนากับสถานศึกษานั้นๆ  
รักษาการ ผอ.สมศ.กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ สมศ.ยังได้ปรับปรุงการประเมิน โดยมีตัวบ่งชี้ใหม่ ๆโดยเกณฑ์ใหม่นี้จะนำมาใช้ในการประเมินปี 2567 สถานศึกษาที่เข้าร่วม โครงการพัฒนา จะได้ประโยชน์ในแง่ที่ ทั้งทีมมหาวิทยาลัย และที่ปรึกษาจะต้องเหลือบมองเกณฑ์ประเมินใหม่ ทำให้การปรับปรุงพัฒนาที่จะดำเนินการ จะอิงกับหลักการประเมินใหม่ไปในตัว

“ผลการเข้าร่วมโครงการ  ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 – 2566 มีสถานศึกษาการศึกษาปฐมวัย (ศูนย์พัฒนาเด็ก) ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน การอาชีวศึกษา และศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอ เข้าร่วมโครงการดังกล่าวเป็นจำนวนรวม 133 แห่ง โดยพบว่าสถานศึกษาส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมโครงการฯ มีความพึงพอใจที่มีผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันอุดมศึกษาที่มีความรู้และมีความเชี่ยวชาญ เข้ามาให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด พร้อมกับวิเคราะห์หาจุดเด่นที่ควรได้รับการส่งเสริมให้ดียิ่งขึ้นและจุดที่ควรพัฒนาเพื่อวางแผนการยกระดับคุณภาพให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับบริบทของสถานศึกษาในแต่ละแห่ง”ดร.นันทากล่าว

สถานศึกษาที่สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการส่งเสริมการนำผลประเมินไปใช้เพื่อพัฒนาคุณภาพสถานศึกษา เพื่อดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 – 2568 ได้ตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม – 30 กันยายน 2566 สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 02-216-3955 ต่อ 152  

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

“สมศ.” เปิดผลความสำเร็จ “โครงการติดตามผลการปฏิบัติงานของผู้ประเมินภายนอก”

สมศ. เปิดผลความสำเร็จการขับเคลื่อน “โครงการติดตามผลการปฏิบัติงานของผู้ประเมินภายนอก” พบสถานศึกษาพึงพอใจการทำงานของผู้ประเมินภายนอกกว่าร้อยละ 95

“สมศ.” ประชุมเตรียมความพร้อมสถานศึกษา 42 แห่ง สร้างความเข้าใจสถานศึกษาที่เข้าร่วมโครงการทดลองประเมินนำร่อง ตามกรอบแนวทางการประกันคุณภาพภายนอกสถานศึกษา

สมศ. ประชุมเตรียมความพร้อมให้กับสถานศึกษาจำนวน 42 แห่ง ที่เข้าร่วมโครงการทดลองประเมินนำร่องตามกรอบแนวทางการประกันคุณภาพภายนอกสถานศึกษา