รอดคุก!สุเทพดีใจพ้นทุกข์

“กำนันเทือก” เฮ ศาลฎีกายกฟ้องจำเลยทั้ง 6 คดีก่อสร้างโรงพักทดแทน ชี้เป็นการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ และสายบังคับบัญชา “สุเทพ” โวสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง กระบวนการยุติธรรมยังเป็นที่พึ่งได้เสมอ อโหสิให้ทุกคนที่โจมตีทุจริตมาตลอด 8-9 ปี “ป.ป.ช.” รอคำพิพากษาฉบับเต็มก่อนส่งเข้าที่ประชุมชุดใหญ่เคาะอุทธรณ์หรือไม่ “ขุนค้อน-อุดมเดช” โล่งศาลยกฟ้องคดีสับเปลี่ยนรัฐธรรมนูญ

เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2565 ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (อม.) ศาลนัดอ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำ อม.22/2565 ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี, พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ อดีตรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.ต.สัจจะ คชหิรัญ, พ.ต.ท.สุริยา แจ้งสุวรรณ์, บริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด และนายวิศณุ วิเศษสิงห์ เป็นจำเลยที่ 1-6 กรณีร่วมฮั้วประมูลโครงการสร้างโรงพักทดเเทนโครงการก่อสร้างอาคารที่พัก (แฟลตตำรวจ)

คดีนี้ ป.ป.ช.ยื่นฟ้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า ระหว่างวันที่ 9 มิ.ย.2552-18 เม.ย.2556 จำเลยที่ 1 เเละที่ 2 เปลี่ยนแปลงแนวทางจัดซื้อจัดจ้างโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน 396 หลัง จากราคาภาคแยกสัญญามาเป็นการรวมจัดจ้างก่อสร้างไว้ที่ส่วนกลางสัญญาเดียว จำเลยที่ 5 เป็นผู้ชนะการประกวดราคา โดยจำเลยที่ 6 ยื่นเอกสารบัญชีแสดงปริมาณวัสดุและราคาได้เสนอ ราคาต่ำอย่างผิดปกติ จำเลยที่ 3-4 ในฐานะคณะกรรมการประกวดราคาไม่ตรวจสอบราคาที่ผิดปกติ ดังกล่าว และได้นำเอกสารบัญชีแสดงปริมาณวัสดุและราคานั้นไปใช้ในการขออนุมัติจ้างและใช้ประกอบ เป็นเอกสารแนบท้ายสัญญา ต่อมาจำเลยที่ 5 ก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามสัญญา เป็นเหตุให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสียหาย ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1, 2 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ลงโทษจำเลยที่ 3, 4 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151, 157 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคา ต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 10, 12 กับลงโทษจำเลยที่ 5, 6 ในฐานะผู้สนับสนุนการกระทำผิด

โดยวันนี้นายสุเทพเดินทางมาศาลพร้อมทนายความ มีแกนนำคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) มาร่วมให้กำลังใจ

ศาลฎีกาพิจารณาแล้วว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 มีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลโดยทั่วไป ซึ่งการบริหารราชการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงไม่เป็นการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบบราชการ และระบบการจัดซื้อจัดจ้าง ภาครัฐ จําเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดตามฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 2 ในฐานะหัวหน้าส่วนราชการใช้ดุลพินิจให้ความเห็นชอบการจัดจ้างตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 ข้อ 8 ข้อ 27 และข้อ 29 แล้ว กระทำของจำเลยที่ 2 จึงไม่ใช่การกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย อันถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบบราชการและระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ จำเลยที่ 2 จึงไม่มีความผิดตามฟ้อง

ส่วนจำเลยที่ 3-6 นั้น ทางไต่สวนไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 3-4 รู้หรือควรรู้ว่าการเสนอราคาครั้งนี้มีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 หรือกระทำโดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างไม่เป็นธรรม เพื่อเอื้ออำนวยแก่จำเลยที่ 5 เข้าทำการเสนอราคา จำเลยที่ 3-4 จึงไม่มีความผิดตาม พ.ร.บ.ความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 10 และมาตรา 12 ด้วย จำเลยที่ 3-4 จึงไม่มีความผิดตามฟ้อง และเมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3-4 กระทำความผิด จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 5-6 เป็นผู้สนับสนุน การกระทำความผิดจำเลยที่ 3-4 จำเลยที่ 5 และที่ 6 จึงไม่มีความผิดตามฟ้อง พิพากษายกฟ้อง

นายสุเทพกล่าวภายหลังว่า ฝากถึงพี่น้องประชาชนคนที่รักชาติ รักแผ่นดิน  นักการเมือง ข้าราชการ  ที่มีเจตนาดีต่อบ้านเมืองทั้งหลาย ขอให้ได้ดูกรณีที่เกิดขึ้นกับตนเอง ต้องตกอยู่ภายใต้กระแสการโจมตีว่าเป็นคนเลวคนทุจริตตั้ง 8-9 ปี   แต่ก็อดทนอดกลั้น แล้วอาศัยความจริง  อาศัยสัจจะเข้ามาต่อสู้ วันนี้สำหรับคนที่เป็นคนดีทั้งหลายสมควรมีกำลังใจ  ประเทศไทยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเราทำความดีให้กับชาติบ้านเมืองและประชาชน  สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็คุ้มครองเรา และก็ถือโอกาสนี้กราบเรียนว่า ในระบอบประชาธิปไตยที่แบ่งอำนาจออกเป็น 3 ฝ่ายนั้น อำนาจตุลาการ ซึ่งศาลเป็นผู้ใช้อำนาจยังเป็นที่พึ่งที่หวัง เป็นหลักของบ้านเมืองได้อยู่เสมอ เพราะฉะนั้นคนที่ยึดมั่นในหลักการ คนที่ยึดมั่นในระบบ ก็ขอให้มีกำลังใจ   สำหรับตนเองที่ทุกข์ทรมานใจมา 8-9 ปี วันนี้ก็ถือว่าพ้นทุกข์ พ้นโศก พ้นเคราะห์เสียที ก็จะเดินหน้าทำงานให้กับประเทศชาติและประชาชนตามอุดมการณ์ต่อไป

 “ในชีวิตของผมได้ทุ่มเททำงานให้กับบ้านเมือง ให้กับประชาชนด้วยความสุจริต ผมไม่ได้มีใจคิดคดทรยศต่อแผ่นดิน ต่อบ้านเมือง ต่อประชาชน ไม่ใช่คนทุจริตคอร์รัปชัน เพราะฉะนั้นวันนี้ทุกอย่างได้พิสูจน์แล้ว ใครที่เคยกล่าวหาโจมตีผมก็อโหสิให้” นายสุเทพกล่าว และว่า หลังจากนี้จะไปสักการะศาลหลักเมือง  และพระแก้วมรกต เพราะเวลาเราต่อสู้คดีทุกวันเราได้ตั้งสัตย์อธิษฐาน ว่าเราใช้ความจริงในการต่อสู้ ไม่ได้คิดจะไปตอบโต้ใคร 

นายสุเทพยังกล่าวถึงเส้นทางการเมือง ว่าต้องการสนับสนุนพรรคการเมืองของประชาชน ที่ได้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลัง  ซึ่งในช่วงแรกของการเข้าไปร่วมตั้งพรรคยังถูกโจมตีในเรื่องคดี วันนี้พอพ้นคดี ก็คิดว่าประชาชนที่มีความคิดเดียวกันจะมีกำลังใจมากขึ้น และจะช่วยกันทำงานเพื่อบ้านเมืองต่อไป แต่จะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง แต่จะช่วยคนดีๆ มาเป็นนักการเมือง เพื่อชาติเพื่อประชาชน ช่วยพรรค แต่ว่าตนจะไม่กลับไปเป็นนักการเมืองเองแล้ว  เพราะว่าลั่นสัจจะวาจาไว้แล้วตอนเดินขบวน

เมื่อถามว่า พรรครวมพลังควรสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องไปถามสมาชิกพรรค   ดูสถานการณ์ก่อน ลุงตู่จะอยู่รอดวันที่ 30 กันยายนนี้หรือไม่ ยังไม่รู้ ในเรื่องการเมือง  ไม่ได้มีเพาเวอร์อะไร แต่ทำด้วยหัวใจ หัวใจที่รักชาติ รักแผ่นดิน รักประชาชน ไม่มีเพาเวอร์อื่น

ด้านนายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวในเรื่องนี้ว่า เบื้องต้นสำนักคดี สำนักงาน ป.ป.ช. ต้องขอคัดสำเนาคำพิพากษาฉบับเต็มมาพิจารณาและวิเคราะห์ก่อน หลังจากนั้นจึงส่งไปยังที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป แต่ตามกฎหมายศาลฎีกาฉบับใหม่ เปิดช่องให้โจทก์และจำเลยยื่นอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาพิจารณาอีกครั้งได้ เรื่องนี้คงต้องรอดูว่าที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.จะอุทธรณ์เรื่องนี้หรือไม่

เมื่อถามว่า กรณีนี้ ป.ป.ช.ไม่ได้ฟ้องในประเด็นเรียกรับสินบนทำให้พยานหลักฐานอ่อนลงหรือไม่ นายนิวัติไชยกล่าวว่า เชื่อว่าสำนวนตอนฟ้องทำสมบูรณ์และต่อสู้คดีอย่างเต็มที่แล้ว ส่วนการวิพากษ์วิจารณ์สามารถทำได้ หรือหากใครมีเบาะแส ข้อเท็จจริงใหม่ สามารถส่งให้ ป.ป.ช.พิจารณาเพิ่มเติมได้เช่นกัน ส่วนกรณีเรียกรับสินบน ยอมรับว่าพยานหลักฐานไปไม่ถึง เนื่องจากข้อมูลที่ได้รับมาเป็นข้อมูลเชิงลึก ไม่มีหลักฐานเป็นเส้นทางการเงิน จึงฟ้องเท่าที่มีพยานหลักฐานครบถ้วนเท่านั้น

มีรายงานอีกว่า เมื่อวันจันทร์ที่ 19 ก.ย. ศาลฎีกาได้อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อม.1/2563 คดีหมายเลขแดงที่ อม.20/2565 ระหว่าง ป.ป.ช.เป็นโจทก์ฟ้องนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา จำเลยที่ 1 และนายอุดมเดช รัตนเสถียร จําเลยที่ 2 ใช้อำนาจหน้าที่กระทำการที่มิชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย โดยสับเปลี่ยนร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับที่มาของสมาชิกวุฒิสภาที่เสนอต่อประธานรัฐสภา โดยไม่มีสมาชิกรัฐสภาลงชื่อรับรอง โดยขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172 และมาตรา 198 จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าการจะเป็นความอาญาตามฟ้องต้องมีข้อเท็จจริงให้รับฟังด้วยว่า จำเลยที่ 1 มีเจตนาปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ และมีเจตนาพิเศษเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือมิฉะนั้นก็มีเจตนาปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต แต่ปรากฏว่าสมาชิกรัฐสภายื่นหรือเสนอคำแปรญัตติทันภายในกำหนด 202 คน คงมีเพียงคนที่ยื่นคำแปรญัตติไม่ทัน แม้อาจได้รับความเสียหายอยู่บ้าง แต่จำเลยที่ 1 ก็ให้โอกาสได้อภิปรายในวาระที่สอง ความเสียหายที่หากมีก็ไม่มากนัก พยานหลักฐานที่ได้จากการไต่สวนของศาลฎีกาไม่เพียงพอให้รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาและเจตนาพิเศษดังกล่าว จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทําความผิด พิพากษายกฟ้อง.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง