เด้งผู้การทล. ตร.-คมนาคม ขีดเส้น15วัน

"บิ๊กหิน" สั่งสอบ "ส่วยสติกเกอร์" ลั่นหากพบ ตร.เกี่ยวข้องฟันวินัย-อาญาเด็ดขาด จ่อเรียกวิโรจน์-นายกสมาพันธ์รถบรรทุกและ ตร.ทล.เข้าให้ข้อมูล ขีดเส้นภายใน 15 วัน โวเป็นครั้งแรกที่มี "ก.ร.ตร." ร่วมพิจารณา  “คมนาคม” สั่งตั้ง กก.ตรวจสอบเช่นกัน  ถกนัดแรก 31 พ.ค.นี้ นายกสมาคมขนส่งสินค้าภาคอีสานแฉมีมานานแล้ว ทำเป็นขบวนการใหญ่ แนะต้องแก้ไขทั้งระบบ

เมื่อวันอังคาร หลังจากนายวิโรจน์  ลักขณาอดิศร ว่าที่ ส.ส.พรรคก้าวไกล   ออกมาเปิดเผยกรณีส่วยสติกเกอร์รถบรรทุก ซึ่งได้จัดทำเป็นรูปพระอาทิตย์ยิ้ม, รูปการ์ตูน และมีอีกหลากหลายรูปแบบ โดยอ้างว่าสามารถผ่านได้ทุกด่าน  ไม่ถูกตำรวจทางหลวงจับกุม ไม่ว่าจะบรรทุกน้ำหนักเกินแค่ไหนก็ตาม โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.  ได้สั่งการให้จเรตำรวจตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้อย่างเร่งด่วนนั้น

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ    พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ (จตช.) กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่า พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้จเรตำรวจแห่งชาติตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้โดยเร่งด่วน โดยเน้นย้ำว่าหากพบตำรวจเกี่ยวข้อง ให้ดำเนินการทางวินัย-อาญา อย่างเด็ดขาด การดำเนินการตรวจสอบในครั้งนี้ จะเป็นคดีแรกของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่จะดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง และดำเนินการทางวินัยข้าราชการตำรวจ ตาม พ.ร.บ.ตำรวจฯ ฉบับใหม่ โดยมีคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนข้าราชการตำรวจ (ก.ร.ตร.) เป็นผู้ร่วมพิจารณาและกลั่นกรอง   ซึ่งจะมีความเข้มข้นต่างจากเดิม โดยก่อนหน้านี้จะมีการพิจารณาผลการตรวจสอบเฉพาะคณะกรรมการฯ ที่เป็นตำรวจด้วยกันเท่านั้น ทำให้สังคมอาจเกิดข้อสงสัยและขาดความเชื่อใจ ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ในกระบวนการตรวจสอบของตำรวจ

"จึงขอให้สังคมมั่นใจในการตรวจสอบที่จะสามารถให้ความเป็นธรรมต่อผู้รับการตรวจสอบข้อเท็จจริงในครั้งนี้อย่างตรงไปตรงมา เพราะจะต้องผ่านการพิจารณาผ่านองค์คณะที่ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิจากหลายภาคส่วน สามารถตอบสังคมได้ หากพบพยานหลักฐานที่เชื่อได้ว่ามีข้าราชการตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้อง หรือพัวพันกับเรื่องนี้ตามข้อร้องเรียน จะต้องถูกดำเนินการทั้งอาญาและวินัยอย่างเด็ดขาดต่อไป"

พล.ต.อ.วิสนุเปิดเผยด้วยว่า ได้รับหนังสือสั่งการแต่งตั้งให้ตรวจสอบกรณีสติกเกอร์รถบรรทุกจาก ผบ.ตร.แล้วเมื่อช่วงเช้า โดยได้สั่งการให้จเรตำรวจทั่วประเทศลงพื้นที่เพื่อรวบรวมข้อมูลและพยานหลักฐานต่างๆ อีกทั้งยังจะต้องมีการเชิญนายวิโรจน์ และนายกสมาพันธ์รถบรรทุกแห่งประเทศไทย รวมทั้งตำรวจทางหลวงที่ถูกพาดพิงว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการรับส่วยเข้ามาให้ข้อมูลด้วย

"กระบวนการตรวจสอบครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่จะมีการเชิญคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนเรื่องตำรวจ หรือ ก.ร.ตร. ซึ่งประกอบไปด้วย ผู้ตรวจการแผ่นดิน ผู้พิพากษา อัยการ ทนายความ ตำรวจระดับผู้บัญชาการขึ้นไป ผู้แทนระดับจังหวัดของสภาองค์กรชุมชนตำบล และจเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะกรรมการและเลขานุการ รวมทั้งหมด 10 คน มาร่วมพิจารณาเรื่องร้องเรียนดังกล่าว โดยเชื่อมั่นว่าการตรวจสอบจะมีความเข้มข้น และภายหลังจากคณะกรรมการฯ มีมติแล้ว จะมีบทลงโทษที่ชัดเจน และจะส่งเรื่องไปให้กับผู้บังคับบัญชาต้นสังกัดพิจารณาลงโทษทันที คาดว่าจะทราบผลการตรวจสอบภายใน 15 วัน"

 พล.ต.อ.วิสนุกล่าวว่า ถึงแม้ว่านายวิโรจน์จะไม่เดินทางเข้ามาให้ข้อมูลที่ได้เคยเปิดโปงไว้ ทางตำรวจก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยจะนำพยานหลักฐานต่างๆ ที่จเรตำรวจได้ลงพื้นที่ทั่วประเทศรวบรวมมาให้กับคณะกรรมการฯ พิจารณา หากพบว่ามีมูลความผิด ก็จะดำเนินการอย่างเด็ดขาดกับตำรวจทุกนายที่มีส่วนเกี่ยวข้อง

รายงานข่าวจากกระทรวงคมนาคม แจ้งว่า จากกรณีกระแสข่าวการจ่ายเงินของผู้ประกอบการรถบรรทุกเพื่อซื้อสติกเกอร์ที่มีลักษณะพิเศษจากนายหน้า  สำหรับใช้เป็นสัญลักษณ์แสดงว่ารถบรรทุกที่ติดสติกเกอร์ดังกล่าวมีการจ่ายเงินเพื่อติดสินบนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตลอดเส้นทางของการขนส่งแล้ว ทำให้รถบรรทุกข้างต้นสามารถเดินทางและประกอบกิจการขนส่งของตนโดยไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง นั้น เนื่องจากด่านชั่งน้ำหนักตามเส้นทางต่างๆ อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม อาจส่งผลให้ประชาชนอาจเกิดความสงสัยในความโปร่งใสของการปฏิบัติงานของหน่วยงาน และเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวง จนอาจกระทบถึงภาพลักษณ์โดยรวมได้

ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคมได้สั่งการให้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง และเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นในความโปร่งใสในการดำเนินการของกระทรวงและหน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้องต่อสาธารณชน จึงได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการติดสินบนเจ้าหน้าที่ด้วยการติดสติกเกอร์บนรถบรรทุก โดยมีนายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน รองปลัดกระทรวงคมนาคม หัวหน้ากลุ่มภารกิจการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านทางหลวง เป็นประธาน กรรมการประกอบด้วย ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการขนส่งทางบก ผู้อำนวยการกองกฎหมาย ผู้อำนวยการกองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม และผู้อำนวยการกองตรวจราชการ สำนักงานปลัดกระทรวง เป็นกรรมการและเลขานุการ

สำหรับคณะกรรมการชุดดังกล่าวมีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงว่ากรณีดังกล่าวมีมูลเป็นความจริงหรือไม่ เกี่ยวข้องกับหน่วยงานใด โดยให้รวบรวมข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และรายงานผลการตรวจสอบต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวง ทราบภายใน 15 วัน นับจากวันที่มีคำสั่งแต่งตั้ง ซึ่งจะมีการประชุมครั้งแรกในวันที่ 31 พฤษภาคม 2566 หากรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวพบว่าหน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้อง กระทรวงจะดำเนินการตามระเบียบและกฎหมายโดยไม่มีข้อยกเว้น

นอกจากนี้ ให้คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานตามความจำเป็นและเหมาะสม สามารถเชิญบุคคลหรือผู้แทนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำ รวมถึงเรียกเอกสาร พยานหลักฐานต่างๆ จากบุคคล หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อประกอบการตรวจสอบได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม รวมถึงจัดทำและเผยแพร่สื่อประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางต่างๆ เพื่อสร้างความเข้าใจกับประชาชน ทั้งนี้ กระทรวงยืนยันว่าจะดำเนินการทุกขั้นตอนและตรวจสอบทุกประเด็นด้วยความโปร่งใส เป็นธรรมกับทุกฝ่าย เพื่อให้ประชาชนรับทราบข้อเท็จจริงและเชื่อมั่นในการดำเนินการต่อไป

ด้านนายวิชัย สว่างขจร นายกสมาคมขนส่งสินค้าภาคอีสาน กล่าวว่า  สติกเกอร์ส่วยทางหลวงมีมานานแล้ว เชื่อทำเป็นขบวนการใหญ่ มีผู้เกี่ยวข้องตั้งแต่นักการเมืองระดับชาติ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ จนถึงตำรวจชั้นผู้น้อย ทั้งนี้ ผู้ประกอบอาชีพรถขนส่งสินค้าทุกคนไม่มีใครอยากทำผิดกฎหมาย และไม่มีใครอยากบรรทุกเกินมาตรฐาน เพราะจะทำให้รถเสื่อมโทรมง่าย แต่ค่าขนส่งที่ต่ำ ผู้ประกอบการหลายคนอยู่ไม่ได้ ถ้าจะแก้ปัญหา ก็ต้องแก้ไขทั้งระบบ ซึ่งจะต้องอาศัยอำนาจของรัฐบาลเท่านั้น จึงจะทำได้สำเร็จ เร็วๆ นี้จะรวบรวมข้อมูลทั้งหมดส่งให้ว่าที่รัฐบาลชุดใหม่ช่วยกวาดล้างขบวนการนี้ให้หมดไปจากประเทศ เพื่อไม่ให้มีการทุจริตคอร์รัปชัน.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'พิธา' ขอบคุณกำลังใจคนอีสาน โวลั่นอีก 3 ปีข้างหน้าจะกลับมาในฐานะนายกฯ

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ร่วมทำบุญและรดน้ำดำหัวผู้สูงอายุที่วัดกู่ประภาชัย ต.บัวใหญ่ อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น ซึ่งเป็นภารกิจสุดท้ายก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ