เศรษฐาขนทีมแอ่วเหนือ/จ่อลดดีเซล2.50บ.

เศรษฐาขนคณะแอ่วเหนือ ชี้มี 4 ปัญหาต้องเร่งแก้ ทั้ง “การค้าชายแดน-ยาเสพติด-ชาติพันธุ์-ฝุ่น PM 2.5” นายกฯ บอก 2 สัปดาห์ชัดเรื่องที่มาแจกเงินดิจิทัล ลั่นไร้ปัญหาเรื่องจ่ายเงินเดือนข้าราชการ 2 ครั้ง/เดือน พีระพันธุ์ระบุเตรียมลดค่าไฟเหลือไม่เกิน 4 บาท คลังชงลดดีเซล 2.50 บาทต่อลิตร “พิพัฒน์” รับไม่ใช่ปรับค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท

เมื่อวันศุกร์ที่ 15 ก.ย.2566 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมคณะ ออกเดินทางจากท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง กรุงเทพฯ ไปยังท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย เพื่อไปตรวจราชการที่ จ.เชียงรายและเชียงใหม่  ระหว่างวันที่ 15-17 ก.ย.  

โดยเมื่อมาถึงท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯ คนที่ 3 และ สส.เชียงราย มาให้การต้อนรับ และมีกลุ่มเครือข่ายสตรีเทศบาลนครเชียงราย นำพวงมาลัยดอกดาวเรือง ดอกกุหลาบสีแดง สีชมพู มามอบให้นายกฯ พร้อมถือป้ายข้อความ “หมู่เฮาจาวเทศบาลนครเจียงฮาย ขอต้อนฮับ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน ด้วยความยินดียิ่ง ยินดียิ่งแล้ว แขกแก้วมาเยือน”

ขณะที่นายกฯ กล่าวขอบคุณที่มาต้อนรับ จากนั้นนายกฯ เดินทางไปรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารหลู้ลำ เชียงราย

ทั้งนี้ การลงพื้นที่ของนายกฯ ถือเป็นครั้งแรกหลังแถลงนโยบายต่อรัฐสภา  โดยนายเศรษฐาได้สวมเสื้อแจ็กเกตสีน้ำเงิน กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ ซึ่งในการปฏิบัติภารกิจที่ จ.เชียงราย ใช้รถยนต์โตโยต้า อัลพาร์ด สีขาว ทะเบียน กบ 5959 เชียงราย ขณะที่การรักษาความปลอดภัยตลอดการลงพื้นที่ใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 600 นาย รวมถึงประจำจุดถนนร่วมและทางแยกตลอดเส้นทางขบวนรถผ่าน นอกจากนี้ยังมีตำรวจนอกเครื่องแบบคอยดูแลพื้นที่กรณีมีกลุ่มมวลชนทั้งกลุ่มสนับสนุนและต่อต้านด้วย

ต่อมาเวลา 14.40 น. นายเศรษฐาเดินทางถึงด่านพรมแดนแม่สายแห่งที่ 1  ต.แม่สาย อ.แม่สาย เพื่อตรวจเยี่ยมและรับฟังปัญหาในพื้นที่ โดยมีข้าราชการท้องถิ่น ประชาชน เกษตรกรชาวอำเภอแม่สาย กลุ่มครอบครัวเพื่อไทย และกลุ่มคนเสื้อแดง มารอให้การต้อนรับ ทั้งนี้ ทันทีที่เดินทางมาถึง นายกฯ ได้เดินทักทายผู้มารอต้อนรับอย่างเป็นกันเอง พร้อมถ่ายรูปร่วมกับประชาชนและกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งกลุ่มชาติพันธุ์ได้กล่าวว่า นายกฯ เศรษฐาประชาชนเศรษฐี, รักนายกฯ เพื่อไทย เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มคนเสื้อแดงเชียงรายได้นำผ้าขาวม้ามาผูกที่เอวและคล้องคอให้นายกฯด้วย พร้อมกล่าวว่า ยินดีสนับสนุนนายกฯ อย่างเต็มที่ในการทำงานให้กับประเทศชาติบ้านเมืองและประชาชน ซึ่งนายกฯ ได้กล่าวขอบคุณ

ขณะที่นายกฯ ยิ้มแย้มอารมณ์ดี พร้อมโบกมือทักทายพ่อค้าและแม่ค้าที่ขายของอยู่บริเวณด่านพรมแดนแม่สาย พร้อมได้เดินทักทายเจ้าหน้าที่ประจำด่านพรมแดน ระหว่างเดินได้สอบถามว่า “ช่วงนี้งานเยอะหรือไม่” จากนั้น นายกฯ รับฟังสถานการณ์การค้าตามแนวชายแดน และได้เดินไปยังสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาแห่งที่ 1 ซึ่งเป็นสะพานที่จะข้ามแดนไปยังฝั่งจังหวัดท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา โดยนายกฯ กล่าวว่า การค้าชายแดนเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องให้ความสำคัญและดูแลอย่างรอบคอบ จะสนับสนุนเท่าที่ทำได้ตามกรอบกฎหมายที่มีอยู่

จากนั้นนายกฯ และคณะได้พบปะกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น ชาวเขาเผ่าต่างๆ  ได้แก่ เผ่าอาข่า เผ่าลีซอ เผ่าราหู่ เผ่าปกาเกอะญอ และเผ่าลัวะ ฯลฯ พร้อมเยี่ยมชมนิทรรศการผ้าไทยของกลุ่มชาติพันธุ์ และเยี่ยมชมนิทรรศการ โครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่  9 ประยุกต์สู่โคกหนองนาโมเดล ก่อนรับฟังและพูดคุยประเด็นการค้าชายแดน (NEC) และยาเสพติด ทั้งนี้ ระหว่างนายกฯ พบกลุ่มชาติพันธุ์ ทางกลุ่มชาติพันธุ์ได้มอบดาบของชนเผ่าไทลื้อให้  และนายกฯ ได้ส่งมอบคืน

ต่อมานายกฯ ได้ร่วมประชุมเพื่อแก้ปัญหาการค้าชายแดน ยาเสพติด และปัญหากลุ่มชาติพันธุ์ ร่วมกับหน่วยงานราชการ โดยนายกฯ กล่าวตอนหนึ่งว่า ได้รับฟังความคิดเห็นแล้วประเด็นแรกเรื่องการลงทุน ด้านการคมนาคม ต้องเห็นอกเห็นใจภาคเอกชน ขณะที่ภาครัฐบาลเองก็มีภาระทางด้านการลงทุนและงบประมาณเยอะ แต่การเสนอคณะทำงานภาคเอกชนร่วมกับภาครัฐตรงไหนที่สามารถทำได้เร็ว และทำให้การคมนาคมดีขึ้น เพื่อการค้าระหว่างประเทศดีขึ้น และโลจิสติกส์ทั้งหลาย คิดว่าทางภาครัฐและเอกชนก็ต้องตั้งคณะกรรมการร่วมกันขึ้นมา โดยต้องพิจารณา แต่ถ้าขอทุกอย่างคงทำไม่ได้ เพราะเท่าที่ฟังการใช้งบประมาณคงเยอะพอสมควร โดยเฉพาะเรื่องการท่องเที่ยว ตรงนี้สำคัญ ก็ต้องเชื่อมกับปัญหา PM 2.5 ด้วย

ชี้ 4 ปัญหาสำคัญเมืองเหนือ

“รัฐบาลนี้พร้อมผลักดันเศรษฐกิจให้โตอย่างยั่งยืนและถาวรผ่านระบบการค้าระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ฝากด้วยในวันที่ 7-9 ต.ค.นี้ ผมจะเดินทางไปประเทศจีน อยากจะขอให้ผู้มีอำนาจฝ่ายมณฑลที่อยู่ติดกับชายแดน ให้เตรียมความพร้อมในเรื่องของการเจรจาด้วย”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เป็นที่น่าสังเกตว่าระหว่างการลงพื้นที่ของนายกฯ เพื่อพบปะประชาชนและข้าราชการ นายกฯ ได้เดินโค้งไหว้ตลอดช่วงเวลาที่เดินตรวจด่านชายแดน

นายเศรษฐาให้สัมภาษณ์ภายหลังการลงพื้นที่จังหวัดเชียงรายว่า มารับฟังปัญหาหลายๆ ด้าน ซึ่งแบ่งเป็น 1.เรื่องการค้าระหว่างประเทศ ด้านการคมนาคมถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญเหนือสุดในการขนถ่ายสินค้าไปประเทศจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีหลายประเทศรวมอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นลาว เมียนมา ไทยและจีน 2.ถือเป็นเรื่องที่ใหญ่และสำคัญมากในรัฐบาล คือปัญหายาเสพติด ตรงนี้เป็นปัญหาใหญ่ เพราะถือเป็นจุดการค้าระหว่างประเทศ เป็นแหล่งผลิตยาเสพติดหรือสารตั้งต้นถูกลักลอบมาจากประเทศเพื่อนบ้านเมียนมา ตรงนี้เป็นเรื่องใหญ่ ต้องอาศัยการถกกันในหลายภาคส่วน โดยได้สั่งการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ไปแล้ว โดยหลังกลับจาก จ.เชียงรายและเชียงใหม่ ก็จะไปประชุมกันกับทุกภาคส่วน และให้นโยบายว่าต้องลดการใช้ยาเสพติดลงไปอย่างมีนัยสำคัญ

นายกฯ กล่าวอีกว่า 3.ที่ได้คุยกันคือเรื่องของชาติพันธุ์ และเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งมีหลายภาคส่วนได้ประสบปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ซึ่งเกิดที่นี่และถูกส่งกลับไปเมียนมา เพราะไม่ได้รับการศึกษาที่นี่ หรือไม่ได้สิทธิทำกินทั้งที่อยู่กันมานาน ตรงนี้เป็นปัญหาไม่ใช่แค่ชาติพันธุ์อย่างเดียว แต่ก็ยังเป็นปัญหากับคนไทยในหลายครอบครัว ซึ่งได้สั่งการไปแล้วว่าต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกภาคส่วน และ 4.เรื่องปัญหา PM 2.5 ซึ่งถือเป็นปัญหาใหญ่ที่จะต้องจัดการแก้ไข

“วันนี้ในการลงพื้นที่ ทั้งรองนายกฯ  และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องได้ร่วมลงมาด้วย ฉะนั้นความสำคัญของปัญหาที่จังหวัดเชียงรายรัฐบาลให้ความสำคัญ  รวมถึงปัญหายาเสพติดถือเป็นวาระแห่งชาติ และเรื่องของสัญชาติเราจะไปดำเนินการทันที” นายเศรษฐากล่าว

นายเศรษฐายังตอบข้อถามกรณีที่ระบุว่า ภายในสองสัปดาห์จะชัดเจนเรื่องที่มาของงบประมาณในนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาทว่า ใช่ครับ อีก 2 สัปดาห์จะมีความชัดเจน ขอให้ใจเย็นนิดหนึ่ง ส่วนความคืบหน้าประเด็นเงินเดือนของข้าราชการที่จะแบ่งจ่ายออกเป็น 2 งวดนั้น ได้ตอบไปเยอะแล้ว ยืนยันว่าไม่มีปัญหาอะไรเลย ไม่มี นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.การคลังยืนอยู่ตรงนี้ ยืนยันว่าไม่มีปัญหา

ด้านนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน โพสต์เฟซบุ๊กรายงานความคืบหน้าการลดราคาพลังงานและน้ำมันว่า ได้เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) และประชุมหารือกับผู้บริหารกระทรวงร่วมกับคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)เพื่อหาแนวทางดำเนินการเกี่ยวกับการปรับลดค่าไฟฟ้าให้เหลือหน่วยละ 4.10 บาท ตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 13 ก.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งได้มอบแนวทางให้คณะกรรมการ กกพ.พิจารณาหาวิธีการปรับลดค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นไม่ให้เกิน 4 บาท โดยเร็วที่สุด

จ่อลดดีเซล 2.50 บาทต่อลิตร

 “ในส่วนของผู้บริหารกระทรวง ได้มอบแนวทางให้เร่งดำเนินการหาวิธีการปรับลดราคาน้ำมันเบนซิน สำหรับผู้มีรายได้น้อยและผู้ที่จำเป็นต้องพึ่งพาน้ำมันเบนซินในการประกอบอาชีพ เช่น วินมอเตอร์ไซค์โดยด่วน ซึ่งคาดว่าจะได้แนวทางไม่เกินหนึ่งสัปดาห์จากนี้ สำหรับความคืบหน้าจะแจ้งให้ทราบต่อไป”

ขณะที่ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า กรมได้เสนอกระทรวงการคลัง เพื่อเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเฉพาะลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 2.50 บาทต่อลิตร เพื่อช่วยลดค่าครองชีพให้กับประชาชน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 20 ก.ย.-31 ธ.ค.2566 และยังไม่มีการเสนอให้ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซิน ส่วนจะเป็นการลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลที่หน้าสถานีบริการน้ำมันในอัตราเท่าใดนั้น คาดว่ากระทรวงพลังงานจะเป็นผู้พิจารณา เพราะยังมีการดูแลราคาผ่านกลไกของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงด้วย

นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รมช.การคลัง กล่าวว่า การลดภาษีน้ำมันดีเซล จะไม่กระทบต่อการจัดเก็บรายได้รัฐบาลมากนัก โดยในปีงบประมาณ 2566 มีการจัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการแล้ว 1 แสนล้านบาท เนื่องจากได้รายได้พิเศษเพิ่มมาประมาณ 6-7 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ การเก็บภาษีที่เกินเป้า ส่วนหนึ่งยังมาจากเศรษฐกิจในปีนี้ที่ฟื้นตัวเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และการท่องเที่ยวที่กลับมาฟื้นตัว

ส่วนนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวหลังหารือร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ประเด็นด้านแรงงานและการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำว่า จะเร่งหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 3 ฝ่าย ทั้งลูกจ้าง นายจ้าง และภาครัฐ เพื่อหาแนวทางให้ชัดเจนขึ้น และเพื่อให้ทุกฝ่ายต้องยอมรับได้ ทั้งนี้ คาดว่าภายในเดือน พ.ย.2566 จะมีข้อสรุป  โดยหากจะต้องปรับขึ้นต้องติดตามตัวเลขเงินเฟ้อของไทยกับธนาคารเเห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่าขณะนั้นตัวเลขเงินเฟ้อจะอยู่ที่กี่เปอร์เซ็นต์ โดยค่าแรงขั้นต่ำจะต้องปรับขึ้นให้สูงกว่าเงินเฟ้อ เมื่อพิจารณาตามความเหมาะสมเเล้ว จะประกาศเป็นของขวัญปีใหม่ปี 2567 ให้กลุ่มผู้ใช้แรงงานช่วงใกล้สิ้นปีนี้

“นโยบายค่าแรง 400 บาทต่อวัน ยืนยันว่าจะไม่ปรับฐานเป็นค่าแรงขั้นต่ำ  เพราะจะกระทบนายจ้าง และภาค SMEs ลดลง แต่จะพิจารณาตามทักษะความสามารถให้กลุ่มแรงงานที่พัฒนาทักษะสูงด้วย โดยจะหารือ 3 ฝ่ายอีกครั้ง เพื่อลงรายละเอียดว่าจะเป็นแรงงานในภาคส่วนใดอย่างไร” นายพิพัฒน์กล่าว

ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า ขอชื่นชมรัฐบาลที่เมื่อเข้ามาทำงานแล้วมีนโยบายเร่งด่วนช่วยเหลือปากท้องประชาชนได้ทันที ทั้งค่าไฟฟ้าและค่าน้ำมัน ซึ่งค่าแรงขั้นต่ำในปัจจุบันอยู่ที่อัตราเริ่มต้น 328 บาท สูงสุด 354 บาท หากมีการปรับขึ้นค่าแรงเป็น 400 บาท จากฐานต่ำสุด ภาคเอกชนมองว่าจะเป็นการปรับขึ้นค่าแรงสูงถึง 19-20% ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่สูงมาก ทำให้ต้นทุนกลุ่มอุตสาหกรรมแรงงานเข้มข้นถูกกระชากอย่างรุนเรง กระทบธุรกิจ SMEs ให้มีต้นทุนเพิ่มขึ้น และอาจถึงขั้นปิดกิจการได้ จึงไม่ควรปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาท/วัน และยังไม่ใช่ทางแก้ปัญหาที่ถูกต้อง.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง