ประณามบึ้มอิสราเอล ‘เศรษฐา’เทกแอ็กชันทันควัน!ภูมิธรรมปูดคนไทยส่อดับ12

“เนทันยาฮู”   ประกาศสงคราม หลังเจอปฏิบัติการพายุอัลอักซอของกลุ่มฮามาส คาดมีผู้เสียชีวิตกว่าพันราย และบาดเจ็บมากกว่า 4 พันคน “สหรัฐ-อียู” หนุนอิสราเอลเต็มสูบ  ส่วนอิหร่านดันก้นฮามาส “เศรษฐา” ออกตัวแรงประณามกลุ่มการโจมตีทันควัน ชี้คนไทยเสียชีวิตล่าสุด 2 ราย แต่ภูมิธรรมปูดตัวเลขอาจขยับเป็น 12 ราย ลั่น ทอ.เตรียมเครื่องบินไว้ 6 ลำพร้อมออกปฏิบัติการทันที “บิ๊กโจ๊ก” สั่งคุ้มครองเข้มสถานทูตอิสราเอล

ปฏิบัติการพายุอัลอักซอของกองกำลังกลุ่มฮามาสของปาเลสไตน์โจมตีอิสราเอลโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ซึ่งมีทั้งการยิงจรวดหลายพันลูก และการส่งกองกำลังไม่ทราบจำนวนแทรกซึมเข้ามาก่อเหตุในพื้นที่ทางใต้และพื้นที่อื่นๆ ทั้งทางภาคพื้น อากาศและทะเล ตั้งแต่เวลา 06.00 น. วันเสาร์ตามเวลาท้องถิ่น หรือตรงกับเวลา 10.30 น. วันเสาร์ตามเวลาในไทย ได้สร้างผลกระทบที่รุนแรงมากขึ้น เมื่อกองทัพอิสราเอลได้เริ่มตอบโต้เอาคืน ด้วยการโจมตีทางอากาศอย่างเข้มข้นในเขตฉนวนกาซา รวมทั้งการยิงจรวดถล่มอาคารสูง 2 แห่ง ที่อิสราเอลอ้างว่าเป็นฐานปฏิบัติการของกลุ่มฮามาส รวมถึงประกาศว่าประเทศเข้าสู่สงครามเต็มรูปแบบ

เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล แถลงผ่านโทรทัศน์แห่งชาติว่า  อิสราเอลกำลังทำสงคราม เราต้องล้างแค้น โดยจะโจมตีทุกแห่งหนที่กลุ่มฮามาสใช้เป็นที่หลบซ่อน หรือใช้เป็นฐานปฏิบัติการให้เหลือแต่ซาก

ทั้งนี้ กลุ่มฮามาสเริ่มปฏิบัติการพายุอัลอักซอด้วยการยิงจรวดโจมตีอิสราเอลกว่า 3,000 ลูก พร้อมส่งนักรบฮามาสไม่ทราบจำนวนแทรกซึมข้ามพรมแดนทางตอนใต้ของอิสราเอล ไปไล่สังหารผู้คนในหลายชุมชน รวมถึงจับตัวประกัน ซึ่งมีทั้งทหารและพลเรือนจำนวนมากกลับเข้าไปยังฉนวนกาซา ซึ่งเป็นการแทรกซึมครั้งใหญ่เข้าไปยังอิสราเอลชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนับตั้งแต่สงครามอาหรับกับอิสราเอลเมื่อปี พ.ศ.2491

สำหรับสถานการณ์ล่าสุด มีรายงานว่ากองทัพอิสราเอลยังคงมีการสู้รบอยู่ใน 8 จุด ภายในดินแดนอิสราเอลตอนใต้  ส่วนผู้เสียชีวิตจากทุกส่วนรวมแล้วมากกว่า 1,000 ราย โดยสถานทูตอิสราเอลในตุรกีได้รายงานตัวเลขโดยอ้างข้อมูลจากกระทรวงสาธารสุขอิสราเอลว่ามีชาวอิสราเอลถูกสังหารอย่างน้อย 300 ราย และถูกลักพาตัวไปหลายสิบคน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บเกือบ 2,000 คน ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขปาเลสไตน์รายงานว่า มีชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตแล้ว 313 ราย และรับบาดเจ็บเกือบ 2,000 คนในฉนวนกาซา

ขณะที่นานาชาติก็แสดงความคิดเห็นที่แตกต่างกันออกไป โดยโจ ไบเดน  ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้แถลงที่ทำเนียบขาว สนับสนุนอิสราเอลอย่างแข็งขันและแน่วแน่ ขณะที่เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวเผยว่า รัฐบาลกำลังหารือกับอิสราเอลเรื่องส่งความช่วยเหลือทางทหาร

ริชี ซูแน็ก นายกรัฐมนตรีของสหราชอาณาจักร กล่าวว่า รู้สึกตกใจกับเหตุโจมตีที่เกิดขึ้น ซึ่งอิสราเอลมีสิทธิอย่างเด็ดขาดในการป้องกันตนเอง

 “ประณามการโจมตีอิสราเอล ฝรั่งเศสขอแสดงความเป็นหนึ่งเดียวกับอิสราเอลและผู้ตกเป็นเหยื่อเหตุความรุนแรงครั้งนี้”เอมมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศสระบุ

นางอันนาเลนา แบร์บ็อก รัฐมนตรีต่างประเทศของเยอรมนี กล่าวว่า เยอรมนีขอประณามการโจมตีอิสราเอลของผู้ก่อการร้ายจากกาซาและกลุ่มติดอาวุธฮามาสในปาเลสไตน์ มีส่วนทำให้ความรุนแรงทวีความรุนแรงขึ้น โดยอิสราเอลมีสิทธิที่จะได้รับการรับรองโดยกฎหมายระหว่างประเทศในการป้องกันตนเองจากการก่อการร้าย

จีนแนะทุกฝ่ายใจเย็นๆ

ส่วนที่ปรึกษาของอยาตอลลาห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดอิหร่าน กล่าวว่า อิหร่านสนับสนุนปฏิบัติการที่น่าภาคภูมิใจครั้งนี้ และสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ จนกว่าจะปลดปล่อยปาเลสไตน์และเยรูซาเล็ม

ด้านซาอุดีอาระเบียเรียกร้องให้ทั้ง 2 ฝ่ายยุติการทำให้สถานการณ์ทวีความรุนแรงโดยทันที และปกป้องพลเรือน โดยย้ำว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลจากการยึดครองและพรากสิทธิอันชอบธรรมของประชาชนชาวปาเลสไตน์

“จีนรู้สึกเป็นกังวลอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ความรุนแรงที่ทวีความตึงเครียดขึ้นระหว่างปาเลสไตน์และอิสราเอล ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องใจเย็น และใช้ความอดทนอดกลั้น ให้มีการหยุดยิงระหว่างกันทันที ปกป้องพลเรือน และป้องกันไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายลง” แถลงการณ์กระทรวงการต่างประเทศจีนระบุ 

ส่วนความเคลื่อนไหวในไทยนั้น นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ผ่านแอปพลิเคชัน X ในช่วงค่ำวันที่ 7 ต.ค.ว่า ขอประณามการโจมตีอิสราเอล การโจมตีที่ไร้มนุษยธรรมที่ทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องสูญเสียชีวิตและบาดเจ็บ และขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อรัฐบาลและประชาชนอิสราเอล เหตุการณ์นี้ไม่สมควรเกิดขึ้น และขอร่วมกับประชาคมโลกประณามการกระทำดังกล่าว

“ผมได้สั่งการให้กองทัพอากาศเตรียมพร้อมเครื่อง Airbus A340 และ C-130 อพยพคนไทยออกจากอิสราเอลทันที ทาง พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) รับทราบและพร้อมปฏิบัติการ ผมติดตามสถานการณ์ร่วมกับกระทรวงต่างประเทศอย่างใกล้ชิด และมีความกังวลใจที่เห็นรายงานเข้ามาว่ามีแรงงานไทยถูกจับไป 2 คน หรือมากกว่า ตอนนี้กำลังยืนยันข้อมูลจากทางการอิสราเอลอยู่ ทางกองทัพและหน่วยแพทย์ฉุกเฉินเตรียมความพร้อม ผมต้องการให้คนไทยทุกคนได้กลับบ้านอย่างปลอดภัย” นายเศรษฐาโพสต์

ต่อมาเวลา 08.35 น. วันที่ 8 ต.ค. นายเศรษฐาให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางไปปฏิบัติภารกิจในต่างประเทศ ถึงการช่วยเหลือดูแลคนไทยในอิสราเอลว่า ได้พูดคุยกับเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย ได้ให้กำลังใจ และได้ฝากดูแลคนไทยที่อยู่ในอิสราเอล รวมถึงได้พูดคุยกับเอกอัครราชทูตไทยประจำอิสราเอลด้วย ซึ่งมีรายงานแบบไม่ยืนยันว่ามีคนไทยเสียชีวิต 1 คน และมีแรงงานไทยที่เข้าใจว่าถูกจับตัวกักขังไว้ 11 คน ซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้รับการยืนยันว่าอยู่ที่ไหนและอยู่ส่วนไหนบ้าง และปัจจุบันมีการล็อกดาวน์เกิดขึ้น ห้ามออกจากบ้าน ทั้งนี้ได้พูดคุยกับ ผบ.ทอ.ว่าเครื่องบินของกองทัพอากาศได้เตรียมพร้อม แต่น่านฟ้าของอิสราเอลปิด แต่เราไม่ได้นิ่งนอนใจ มีการสแตนด์บาย 24 ชั่วโมง

เมื่อถามว่า เที่ยวบินหนึ่งสามารถนำคนกลับมาได้จำนวนเท่าไหร่ นายกฯ กล่าวว่า 423 คน ทั้งนี้แรงงานไทยที่อยู่ในอิสราเอลมี 25,000 คน โดยมีประมาณ 5,000 คนที่อยู่ในเขตที่ปิด และตอนนี้เท่าที่ทราบมี 11 คน ที่ยังไม่มีการยืนยันเป็นทางการว่าถูกจับกุม รวมถึงผู้เสียชีวิต 1 คน ส่วนผู้บาดเจ็บยังไม่ทราบว่ามีจำนวนเท่าไหร่ และแน่นอนระหว่างที่ตนปฏิบัติภารกิจอยู่ต่างประเทศจะติดตามสถานการณ์อยู่ตลอด กับเอกอัครราชทูตไทยในอิสราเอล เราก็มีเบอร์โทรศัพท์กัน  เขาก็มีเบอร์โทรศัพท์ตนแล้วสามารถติดต่อได้ตลอด รวมถึงให้มีการรายงานประจำวัน ซึ่งไม่ต้องห่วง เพราะเป็นเรื่องที่ให้ความสำคัญสูงสุด

ล่าสุดเสียชีวิต 2 ราย

และเมื่อถึงฮ่องกง นายเศรษฐาโพสต์เฟซบุ๊กว่า ได้รับรายงานเพิ่มเติมจาก น.ส.พรรณภา จันทรารมย์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ว่า มีคนไทยเสียชีวิต 2 คน จากเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในขณะนี้ โดยได้กำกับชัดเจนให้รายงานตลอด 24 ชั่วโมงทางเบอร์ส่วนตัวของผมโดยตรง ตอนนี้รอแค่ให้สถานการณ์อำนวยให้สามารถบินได้ ทางกระทรวงการต่างประเทศและกองทัพอากาศทำงานประสานกันอยู่ หากสามารถอพยพคนไทยได้เมื่อใดเราพร้อมทันที 1 เที่ยวบินกลับได้ 423 คน ซึ่งให้ความสำคัญมากกับคนไทยที่พำนักอยู่ที่ต่างประเทศ โดย รมช.กต.ได้ยกเลิกภารกิจอื่นๆ เพื่อดูแลประสานงานในเรื่องนี้ทั้งหมดแล้ว

ขณะที่นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกฯ และ รมว.กต. แถลงว่า รัฐบาลและ กต.ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยนายกฯ ให้ความสำคัญ และได้สั่งการให้เอกอัครราชทูตกรุงเทลอาวีฟรายงานสถานการณ์มาอย่างต่อเนื่อง ได้ติดต่อประสานงานกับทางการของอิสราเอล และพี่น้องแรงงานไทย ในชั้นนี้มีแรงงานไทยที่ได้รับผลกระทบมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 8 คน รอการช่วยเหลือจากกองทัพ 3 คน และเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลโซโลกาแล้ว 5 คน เสียชีวิต 1 คน ถูกจับไปเป็นตัวประกัน 11 คน ซึ่งสถานทูตพยายามติดต่อกับทางการอิสราเอลเพื่อประสานข้อมูล แต่ฝ่ายอิสราเอลยังเข้าพื้นที่ไม่ได้ จึงยังไม่สามารถยืนยันตัวเลขอย่างเป็นทางการได้

“รัฐบาลไทยไม่เห็นด้วย และขอประณามการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ โดยกระทรวงการต่างประเทศ นายกรัฐมนตรี และผม ได้แสดงท่าทีในเรื่องนี้ไปแล้ว ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องยุติความรุนแรงและปล่อยตัวพลเรือนผู้บริสุทธิ์ในทันที แต่ขณะนี้ยังไม่ทราบข้อเท็จจริงว่าทางการเมืองระหว่างประเทศเกิดอะไรขึ้น จึงขอประณาม เรื่องการใช้ความรุนแรงและสิ่งที่เกิดขึ้นกับชาวไทยผู้บริสุทธิ์นั้นเราไม่สามารถรับได้” นายปานปรีย์กล่าว และย้ำว่า สิ่งที่รัฐบาลไทยเป็นห่วงคือความปลอดภัยของพี่น้องชาวไทย และต้องดูแลไม่ว่าจะเป็นผู้เสียชีวิตไปแล้ว ในเรื่องการเยียวยาและผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงผู้ที่ถูกจับตัวไป ก็จะหาช่องทางอย่างเต็มที่ในการให้ปล่อยตัวพี่น้องชาวไทยออกมาให้ได้

ส่วนคนที่ได้รับบาดเจ็บ ทางสถานทูตได้เข้าไปดูแลอยู่ ดังนั้นขณะนี้ในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศค่อนข้างจะมีความพร้อม และทางกองทัพอากาศก็ได้ประสานกันตั้งแต่เริ่มเหตุการณ์ ทางกองทัพอากาศให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ขณะนี้รอคำสั่งว่ามีความพร้อมเมื่อไหร่ ที่จะต้องมีไปรับคนไทยกลับมา แต่ขณะนี้น่านฟ้าก็ยังปิดอยู่

ด้านนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ  และ รมว.พาณิชย์ ในฐานะรักษาการนายกฯ แถลงหลังเป็นประธานประชุมศูนย์ประสานงานสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ  ว่า ได้ติดตามสถานการณ์ที่อิสราเอลด้วยความห่วงใยในชีวิตและทรัพย์สินของคนไทยในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งขณะนี้สถานทูตไทยในอิสราเอลเป็นศูนย์กลางในการประสานงานดูแลคนไทย วันนี้ยังออกไปไหนไม่ได้ เพราะรัฐบาลอิสราเอลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินไม่ให้เคลื่อนย้าย แต่เราได้เตรียมความพร้อมต่างๆ  และประสานกับจุดต่างๆ ล่วงหน้าในการซ้อมแผนต่างๆ เพราะเราเชื่อว่าเหตุการณ์ฉุกเฉินจะเกิดขึ้นได้ในทุกขั้นตอนและทุกเวลา เมื่อสักครู่เอกอัครราชทูตไทยในกรุงเทลอาวีฟได้รายงานสถานการณ์ให้ได้รับทราบ ซึ่งศูนย์ประสานงานสถานการณ์ฉุกเฉินมีทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการเตรียมการที่จะแก้ไขปัญหานี้อย่างเร่งด่วน สิ่งที่สำคัญที่สุดของเราคือชีวิตและความปลอดภัยของคนไทยที่อยู่ที่นั่น

สหายอ้วนปูดอาจสูญเสีย 12 ราย

“ขณะนี้เราทราบว่าได้มีการยืนยันผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการ 2 ท่าน แต่มีกระแสข่าวที่มาว่าอาจมีมากถึง 12 ท่าน แต่อันนี้ยังไม่มีความชัดเจน ต้องรอการยืนยันจากทางการอิสราเอลอีกครั้งหนึ่ง ส่วนคนบาดเจ็บในเบื้องต้นคือ 8 ท่าน ซึ่งในจำนวนนี้ 2 ท่านอาการสาหัส อีก 6 ท่านบาดเจ็บเล็กน้อย” นายภูมิธรรมกล่าวและว่า ขณะนี้เราได้เตรียมการในการดูแลคนไทยที่อิสราเอลทั้งหมด โดยกองทัพอากาศได้เตรียมเครื่องบินไว้ 6 ลำ เป็น A340 1 ลำ และ C130 5 ลำ ทั้งหมดพร้อมจะเดินทางได้เลย ขณะที่รอให้มีความชัดเจน แต่ยังไม่รู้ว่ารายละเอียดต่างๆ จะได้เมื่อใด แต่กระทรวงการต่างประเทศได้มอบให้สถานเอกอัครราชทูตรวบรวมรายชื่อคนไทยเพื่อติดต่อประสานงานตามจุดต่างๆ ทั่วอิสราเอล และพร้อมที่จะดำเนินการทันทีที่เกิดเหตุการณ์

นายภูมิธรรมกล่าวอีกว่า งประเทศง่าาะบาดเจ็บจำนวนมากแล้ว  สิ่งที่สำคัญขั้นต้นคือจะอพยพแรงงานที่อยู่ในเขตที่ไม่ปลอดภัยมาอยู่ในเขตที่ปลอดภัยก่อน และกำลังแสวงหามิตรประเทศรอบข้าง ในชั้นต้น เนื่องจากคนไทยมีอยู่เกือบ 30,000 คน เราจะจัดคนไทยที่อยู่ในจุดที่น่าห่วงใย หรืออยู่ในจุดที่ไม่ปลอดภัยมากที่สุดออกมาจากสถานที่นั้นภายในประเทศหรือไปประเทศข้างเคียง ก่อนที่จะอพยพออกมาอย่างเป็นทางการ ซึ่งต้องคำนึงถึงแรงงานต่างๆ ด้วยว่าสมัครใจหรือไม่สมัครใจ แต่เราก็ต้องพยายามโน้มน้าวชักจูงให้ออกมาจากจุดที่ไม่ปลอดภัยก่อน

ส่วน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) รับผิดชอบงานด้านความมั่นคงและกิจการพิเศษ กล่าวถึงมาตรการดูแลรักษาความปลอดภัยสถานเอกอัครราชทูตอิสราเอลว่า ได้สั่งการไปหมดแล้ว ซึ่งได้สั่งการให้จัดรถสายตรวจดูแลความปลอดภัยร่วมกับตำรวจสันติบาล ตำรวจนครบาล โดยให้เพิ่มความถี่การตรวจตราให้มากขึ้น ให้จัดกำลังดูแลประจำจุดสถานที่พำนัก, สถานเอกอัครราชทูต และสถานที่ต่างๆ ที่มีความเกี่ยวข้อง เช่น โบสถ์ ฯลฯ รวมถึงประสานงานในมิติต่างๆ โดยทำคู่ขนานกันไป นอกจากนี้ได้สั่งการให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) เพิ่มความเข้มในการตรวจตราคนเข้าประเทศ และเฝ้าระวังชาวต่างชาติที่จะเดินทางมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง

ด้านครอบครัวของแรงงานไทยนั้น ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่บ้านหนองแสง หมู่ 5 ต.นามะเขือ อ.ปลาปาก จ.นครพนม โดยได้รับคำยืนยันจากนายธวัชชัย อ่อนแก้ว อายุ 47 ปี พร้อมภรรยาคือนางทองคูณ อ่อนแก้ว อายุ 47 ปี ซึ่งเป็นพ่อแม่ของแรงงานไทยที่ถูกจับเป็นตัวประกัน ว่าบุตรชาย นายณัฐพร อ่อนแก้ว หรือตั้ม อายุ 26 ปี เป็นแรงงานไทยไปทำงานเกษตรในเขตฉนวนกาซา ประเทศอิสราเอล ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 ซึ่งหลังเกิดเหตุก็ไม่สามารถติดต่อได้ จึงเชื่อว่าลูกถูกจับตัวไป จึงได้แต่รอความหวังจากรัฐบาลให้ประสานการช่วยเหลือ เพราะห่วงความปลอดภัยของลูกมาก

ส่วนที่บ้านเลขที่ 54 บ้านอำปึล หมู่ที่ 3  ตำบลโชกเหนือ อำเภอลำดวน จ.สุรินทร์ เป็นบ้านของนายคมกริช  ชมบัว หรือนนท์อายุ 29 ปี ที่ไปทำงานในอิสราเอลและถูกกลุ่มหัวรุนแรงจับเป็นตัวประกัน ตอนนี้ทางบ้านยังคงติดต่อนนท์ไม่ได้ ชาวบ้านและญาติพี่น้อง รวมถึงนายอำเภอและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต่างเดินทางมาให้กำลังใจคุณพ่อและคุณแม่ของนายคมกริช เพราะตอนนี้สภาพจิตใจย่ำแย่ กินไม่ได้นอนไม่หลับตั้งแต่ที่ทราบข่าวว่าลูกชายโดนจับเป็นตัวประกัน

นางพรทิพย์ ชมบัว คุณแม่ของนนท์เล่าว่า ห่วงลูกชายมาก เพราะลูกชายคือเสาหลักของบ้าน ไปทำงานส่งเงินมาให้พ่อกับแม่ใช้ตลอด

ส่วนที่ จ.ขอนแก่น นางอรวรรณ หินตะ  แรงงานจังหวัดขอนแก่น พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่พบนางบุญญาริน ศรีจันทร์  อยู่บ้านเลขที่ 159 ม.14 ต.โคกสำราญ อ.บ้านแฮด จ.ขอนแก่น แม่ของนางณัฐฐาวรีแรงงานไทยในอิสราเอลที่ได้รับการยืนยันชัดเจนว่าถูกจับตัวไป โดยนางบุญญารินกล่าวว่า ลูกสาวไปทำงานบรรจุมันเทศญี่ปุ่นที่อิสราเอลนานกว่า 5 ปีแล้ว และพบกับกับหนุ่มไทยที่ไปทำงานด้วยกันคือนายบุญถม พันธ์ฆ้อง ซึ่งที่บ้านของ น.ส.ณัฐฐาวรีที่ขอนแก่น ตนจะอยู่กับหลานสาววัย 8 ขวบ 2 คน ซึ่งตามปกติลูกสาวจะโทรศัพท์มาพูดคุยด้วยทุกวัน จนกระทั่งเมื่อวานที่ผ่านมารู้ข่าวว่าลูกถูกควบคุมตัวจากเพื่อนของลูกสาวที่ไปทำงานด้วยกัน จึงพยายามติดต่อไปหาลูกหลายครั้ง แต่ยังติดต่อไม่ได้ 

“ตอนนี้ห่วงลูกสาวมาก ก่อนหน้านี้เคยบอกให้ลูกกลับมาอยู่บ้าน แต่น้องโยบอกว่าขอทำงานต่ออีก 2 ปี ให้ครบกำหนดสัญญา จึงจะเดินทางกลับไทย  ตอนนี้ขออย่างเดียวคือให้รัฐบาลพาลูกสาวและคนไทยทั้งหมดกลับบ้านอย่างปลอดภัย”.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง