ศรีสุวรรณหมดท่า! เจอข้อหารีดไถแลกหยุดร้อง/พีระพันธุ์รีบปัดปม‘เจ๋ง’เอี่ยว

เอวัง! ศรีสุวรรณถูกย้อนศรเรียกเงินแลกหยุดร้องเรียน “อธิบดีกรมการข้าว” 3 ล้านบาท “ณัฏฐกิตติ์” มั่นใจพฤติกรรมบันทึกคลิปก่อนประสานงาน  จนท.ส่งมอบเงินงวด 5 แสนบาท ก่อนซ้อนแผนเข้าตะครุบ “ทิดศรี” บอกถูกกลั่นแกล้ง นครบาล-สน.ดุสิตรวบ “เจ๋ง ดอกจิก” คาทำเนียบฯ พร้อมทั้งจับกุม “พิมณัฏฐา” อดีตผู้สมัคร สส.รทสช.ที่ร่วมแก๊ง เจ้าตัวมั่นใจบริสุทธิ์ “พีระพันธุ์” รีบปัดเรื่องส่วนตัว ขึงขังหากทำจริงไม่เอาไว้

เมื่อเวลา 15.00 น. วันศุกร์ที่ 26  ม.ค.2567 พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว  รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง  พร้อมด้วย พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผู้บังคับการกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ผบก.ปปป.) และ พ.ต.ท.สิริพงษ์ ศรีตุลา ผอ.ปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ 2  สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.)   และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สนธิกำลังนำหมายค้นเข้าตรวจสอบพื้นที่เป้าหมายจำนวน 3 จุด ในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี เพื่อจับกุมตัวขบวนการนักเคลื่อนไหวหรือนักร้องเรียนข่มขู่เรียกเงินเจ้าหน้าที่รัฐ แลกกับการไม่ร้องเรียนหรือกลั่นแกล้งให้ถูกตรวจสอบ

ปฏิบัติการครั้งนี้ เนื่องจากได้รับเรื่องร้องเรียนจากนายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์  อธิบดีกรมการข้าว ว่าได้ถูกนายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน พร้อมด้วยนายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก ประธานกลุ่มรวมใจรักชาติ  สมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.)  และเป็นหนึ่งในคณะทำงานเขตราชการที่ 11 ที่ได้รับการแต่งตั้งจากนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อม น.ส.พิมณัฏฐา จิระพุทธิภาคย์ หรือตูน เลขาฯ นายยศวริศ อดีตผู้สมัคร สส.พรรค รทสช. ร่วมกันข่มขู่เรียกเงินจำนวน 3 ล้านบาท ก่อนเจรจาต่อรองเหลือเพียง 1.5 ล้านบาท เพื่อแลกกับการยุติเรื่องร้องเรียนโครงการสนับสนุนลดต้นทุนการผลิตด้านการปลูกข้าว และโครงการปรับปรุงการผลิตสำหรับผู้ปลูกข้าว โดยอ้างว่าพบข้อพิรุธที่ส่อไปในทางทุจริต

ทั้งนี้ นายณัฏฐกิตติ์มั่นใจว่าที่ผ่านมาบริหารงานหรือปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริต ไม่ได้เป็นไปอย่างที่ถูกผู้ต้องหาทั้ง 3 รายกล่าวอ้าง การถูกกระทำเช่นนี้ไม่เป็นธรรมแก่ตนเอง แต่ด้วยความเกรงว่าหากถูกร้องเรียนโจมตีบ่อยครั้งเข้าจะทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง จึงยอมจ่ายเงินครั้งแรกก่อนเป็นจำนวน 1.4 แสนบาท ก่อนแอบถ่ายคลิปวิดีโอตอนส่งมอบเงินเก็บไว้เป็นหลักฐาน จากนั้นจึงนำมามอบให้กับพนักงานสอบสวน บก.ปปป. ก่อนตรวจสอบข้อเท็จจริงจนเชื่อว่าผู้ต้องหาทั้ง 3 รายมีพฤติกรรมดังกล่าวจริง จึงรวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลางออกหมายจับนายศรีสุวรรณ และ น.ส.พิมณัฏฐาในข้อความผิดฐานสนับสนุนเจ้าหน้าที่รัฐกระทำความผิด พร้อมออกหมายจับนายยศวริศในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ก่อนวางแผนให้ผู้เสียหายทำการนัดหมายส่งมอบเงินงวดต่อมาอีก 5 แสนบาทไปส่งมอบให้ จึงซ้อนแผนเข้าจับกุม

โดยเป้าหมายสำคัญจุดแรกเป็นบ้านเลขที่ 51/119-121 ม.9 ตั้งอยู่ภายในหมู่บ้านพฤกษา 17 ต.ลาดสวาย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ซึ่งเป็นบ้านพักของนายศรีสุวรรณ หลังจากผู้เสียหายส่งคนนำเงิน 5 แสนบาท ไปส่งมอบให้ภรรยานายศรีสุวรรณ กระทั่งเมื่อเห็นว่ามีการหยิบซองเงินเข้าไปภายในบ้านจริง จึงแสดงตัวเข้าตรวจค้นจับกุม ระหว่างนั้นนายศรีสุวรรณเกิดไหวตัวพยายามวิ่งนำซองเงินไปโยนทิ้งบริเวณข้างบ้าน เจ้าหน้าที่จึงวิ่งไล่ติดตามไปตรวจยึดกลับคืนมาได้ ก่อนแสดงหมายจับให้เจ้าตัวรับทราบ จากนั้นจึงทำการควบคุมตัวพร้อมพาตรวจค้นภายในบ้านพักเพื่อค้นหาพยานหลักฐานต่างๆ เพิ่มเติม นอกจากนี้ยังได้เตรียมเชิญตัวภรรยานายศรีสุวรรณไปทำการสอบปากคำเพื่อตรวจสอบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดด้วยหรือไม่

รวบ 'เจ๋ง' คาทำเนียบรัฐบาล

ภายหลังการจับกุมตัวนายศรีสุวรรณไม่นาน มีกระแสว่านายพีระพันธุ์ได้โทรศัพท์มายัง พล.ต.ต.จรูญเกียรติเพื่อประสานติดต่อจะพานายยศวริศและ น.ส.พิมณัฏฐา ผู้ต้องหาอีก 2 ราย เข้ามอบตัว

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาลและ สน.ดุสิตนอกเครื่องแบบได้เข้ามายังทำเนียบรัฐบาล เพื่อมาพูดคุยและเชิญนายยศวริศขึ้นรถเพื่อไปที่ สน.ดุสิต ทำการสอบสวนตามขั้นตอนและกระบวนการต่อไป ขณะที่นายยศวริศระบุว่ายังไม่ทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่รู้เรื่องอะไร เพิ่งรู้เรื่องจากตำรวจ เพราะมีหน้าที่ประสานให้นายศรีสุวรรณเฉยๆ ซึ่งเรื่องนี้ต้องคุยกัน ไม่เป็นไร ยืนยันว่าชี้แจงได้ ขอย้ำว่าชี้แจงได้ไม่มีปัญหา

บรรยากาศที่ทำเนียบฯ เจ้าหน้าที่สอบสวนกลางได้มาเตรียมพร้อมบริเวณห้องปฏิบัติการสื่อมวลชน 1 และด้านหน้าตึกบัญชาการ 1 ตั้งแต่ช่วงเที่ยง ซึ่งมีรายงานว่านายยศวริศได้เดินทางเข้ามาที่ตึกบัญชาการ 1 ตั้งแต่สายๆ เพื่อพบกับนายพีระพันธุ์

ขณะที่เวลา 15.15 น. น.ส.พิมณัฏฐาได้โพสต์ภาพคำสั่งนายพีระพันธุ์ ที่มีคำสั่งแต่งตั้ง น.ส.พิมณัฏฐาเป็นคณะทำงานเขตตรวจราชการที่ 11 เพิ่มเติม พร้อมข้อความระบุว่า ขอขอบพระคุณท่านรองนายกรัฐมนตรี ท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ให้โอกาส จะทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด สู้ให้ทุกปัญหาพึ่งพาได้ทุกเรื่อง ซึ่งต่อมาได้มีผู้เข้าไปคอมเมนต์สอบถามเกี่ยวข่าวดังกล่าวมีที่มายังไง น.ส.พิมณัฏฐาตอบกลับว่า “กำลังสู้คดีกันค่ะ”

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 25 ม.ค. นายศรีสุวรรณได้โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า ในวันศุกร์ที่ 26 ม.ค.นี้ เวลา 10.00 น. จะเดินทางไปยื่นคำร้องให้ รมว.เกษตรฯ เพื่อขอให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบผู้บริหารกรมการข้าว เนื่องจากพบข้อพิรุธในการใช้จ่ายงบประมาณรัฐในการดำเนินโครงการหลายโครงการในช่วงรัฐบาลก่อนหน้านี้ มูลค่ากว่า 19,334 ล้านบาท ที่อาจส่อไปในทางทุจริตหรือไม่ ทั้งนี้ เมื่อเข้าไปตรวจสอบกลับไม่พบการโพสต์เรื่องดังกล่าว และในเวลา 10.00 น. นายศรีสุวรรณก็ไม่ได้เดินทางไปยื่นคำร้องด้วย

ต่อมาในเวลา 17.30 น. ภายหลังตำรวจสอบสวนกลางและ สน.ดุสิตนำตัวนายยศวริศ พร้อมด้วย น.ส.พิมณัฏฐามาที่ สน.ดุสิต เพื่อทำบันทึกการจับกุมตามขั้นตอน โดยนายยศวริศมีสีหน้าปกติ แต่มีทนายความประกบอยู่ด้วยตลอด

ระหว่างนั้นนายยศวริศได้ออกมาเข้าห้องน้ำ ผู้สื่อข่าวจึงพยายามสอบถามว่าเครียดหรือไม่ นายยศวริศยิ้มและโบกมือปฏิเสธ และได้ถามต่อว่ามั่นใจหรือไม่ว่าไม่ได้ทำผิด นายยศวริศยิ้มและพยักหน้า ก่อนจะเดินเข้าห้องไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากทำบันทึกจับกุมเสร็จสิ้น จะนำตัวไปส่งดำเนินคดีที่กองบังคับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปป.) ต่อไป และในส่วนการสอบคำให้การ จะส่งให้พนักงานสอบสวน ปปป.สอบปากคำอีกครั้ง

ในเวลา 18.00 น. ที่ บช.ก. เจ้าหน้าที่นำตัวนายศรีสุวรรณเข้ามาสอบสวน ซึ่งระหว่างที่นายศรีสุวรรณเดินทางเข้ามาถึง ผู้สื่อข่าวได้รุมเข้าไปสอบถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น โดยนายศรีสุวรรณได้ตอบสั้นๆ ว่า “ถูกกลั่นแกล้งครับ” เมื่อย้ำถามว่ามีหลักฐานอะไรยืนยันว่าตัวเองถูกกลั่นแกล้ง นายศรีสุวรรณปฏิเสธไม่ตอบ และเมื่อถามถึงเรื่องเงิน 1 ล้านนั้นเรียกรับจริงหรือไม่ หรือที่ผ่านมาเคยเรียกรับเงินหรือไม่ นายศรีสุวรรณเงียบและไม่ตอบคำถามดังกล่าว ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะนำตัวนายศรีสุวรรณขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นบนของอาคารทันที

ทั้งนี้ ตำรวจยังได้ยึดของกลางจากบ้านพักของนายศรีสุวรรณ เป็นซีพียูคอมพิวเตอร์ 3 เครื่อง และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์กับกล่องบรรจุเอกสารอีกจำนวนหนึ่ง

ต่อมา นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการ ป.ป.ช. ได้เดินทางมาถึงที่ บช.ก. โดยระบุสั้นๆ ว่าคดีนี้ต้องว่ากันไปตามพยานหลักฐาน แต่สำหรับเจ้าหน้าที่ทั้ง 4 หน่วยงาน มั่นใจในพยานหลักฐานที่มีอยู่ในมือว่าจะสามารถดำเนินการเอาผิดกับผู้ต้องหาทั้ง 3 คนได้ ส่วนรายละเอียดต่างๆ นั้น รอสอบปากคำก่อนแล้วจะมาแถลงข่าวให้ทราบอีกครั้งแล้ว

ในเวลาประมาณ 18.45 น. นายยศวริศให้สัมภาษณ์อีกครั้งว่า พอทราบเรื่องแล้วก็รีบมามอบตัวทันทีเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ส่วนที่เขากล่าวหาว่าเป็นเจ้าหน้าที่ไปปฏิบัติ ประพฤติมิชอบ ไปกระทำการผิดกฎหมาย ในความจริงแล้วไม่ได้มีตำแหน่งทางการเมืองตั้งนานแล้ว ลาออกตำแหน่งที่ปรึกษากรรมาธิการตั้งนานแล้ว ทุกตำแหน่งที่มีลาออกไปตั้งนานแล้ว เพราะต้องไปทำงานของตนเองต่างหาก

“เพื่อความบริสุทธิ์ใจ และไม่ให้ทางพรรคมีปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายพีระพันธุ์ที่เป็นหัวหน้าพรรค ท่านมีความเมตตากับผมมาก ผมก็ป้องกันไม่ให้ท่านเกิดความเสียหาย ที่มาวันนี้ไปพบปะเพื่อนฝูงที่ทำเนียบฯ มาวางแผนที่จะไปทำงานกันต่อเพื่อประโยชน์ของประชาชน” นายยศวริศกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีความเกี่ยวข้องกับนายศรีสุวรรณได้อย่างไร นายยศวริศกล่าวว่า ไปร้องเรียนคู่กับนายศรีสุวรรณบ่อยๆ ในเรื่องของการทุจริตองค์กร กระทรวงต่างๆ ซึ่งไม่รู้เข้าไปเกี่ยวพันอย่างไร ซึ่งในเรื่องคดีให้ทนายความจัดการ

ผู้สื่อข่าวถามว่า คิดว่าเป็นการกลั่นแกล้งหรือไม่ นายยศวริศกล่าวว่า ไม่ใช่ครับ คิดว่าบริสุทธิ์ใจ ไม่รู้เรื่องด้วย และไม่มีความกังวลอะไร ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับการมอบเงินใดๆ

มีรายงานว่า สำหรับพฤติกรรมแก๊งร้องเรียนรีดเงินของนายศรีสุวรรณนั้น เริ่มจากการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนในลักษณะเตรียมเปิดโปงตรวจสอบการทุจริตเงินงบประมาณต่างๆ ภายในกรมการข้าว ที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของนายณัฏฐกิตติ์ จากนั้นก็จะนัดหมายเจรจาพูดคุยกับนายณัฏฐกิตติ์ ก่อนยื่นข้อเสนอเรียกเงินเพื่อแลกกับการยุติการร้องเรียน โดยมีนายยศวริศคอยเป็นคนเจรจากดดันผู้เสียหาย

'พีระพันธุ์' รีบปัดสวะ

ด้านนายพีระพันธุ์ ให้สัมภาษณ์ในช่วงเย็นถึงเรื่องนี้ว่า นายยศวริศเป็นสมาชิกพรรค รทสช. ต้องไปดูก่อน หากเขามีความผิดต้องให้เขาออก เราไม่เอาอยู่แล้วถ้ามีพฤติการณ์ลักษณะที่ทำให้เสื่อมเสีย เรามีสิทธิ์ให้เขาออก หรือเขาอาจจะมาลาออกก็ได้ เป็นสิทธิ์ของเขา และต้องดูผลการตรวจสอบของตำรวจเป็นอย่างไร ถ้าดูแล้วไม่เหมาะสมก็คงต้องให้ออก แต่อะไรก็แล้วแต่ ไม่เกี่ยวกับตนเอง ไม่เกี่ยวกับพรรค และเขาไม่ได้เป็นคณะทำงานเขตตรวจราชการที่ 11 แล้วปรับเปลี่ยนไปตั้งแต่เดือน ธ.ค.2566 แล้ว แต่วันเดียวกันนี้มีการประชุมมอบนโยบายเขตตรวจราชการที่ 4, 9 และ 11 ที่ทำเนียบฯ เขารู้ก็แวะเวียนมา

นายพีระพันธุ์กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา เขาไปทำอะไร และทำจริงแค่ไหนเราไม่ทราบ เขาไปเกี่ยวกับนายศรีสุวรรณไม่รู้เลย ก็ต้องให้เขาไปว่ากันเอง แต่ตนเองไม่รู้เรื่อง ไปลงข่าวว่าประสานตำรวจเข้ามาจับกุมนายยศวริศที่ทำเนียบฯ ไม่รู้เรื่อง เอาข่าวที่ไหนมา ไม่รู้จักตำรวจ ให้ไปถามตำรวจว่าใครติดต่อมา

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) จะมีการพูดคุยกันเรื่องนี้หรือไม่ นายพีระพันธุ์กล่าวว่า ถ้ามีคนเสนอเรื่องในที่ประชุม กก.บห. และข้อมูลข้อเท็จจริงเข้าลักษณะที่เป็นไปตามข้อบังคับพรรคก็คงต้องให้ออก ก็อาจต้องให้เขามาชี้แจงในที่ประชุม ทั้งนี้ เราให้ความเป็นธรรมกับทุกคน เรายังไม่รู้ข้อเท็จจริงเลยว่าเป็นอย่างไร

เมื่อถามว่า ส่วนตัวได้คุยกับนายยศวริศหรือไม่ นายพีระพันธุ์กล่าวว่า ไม่ได้คุย เขามาหรือใครมาก็มีห้องให้นั่งต่างหาก ก็เพิ่งรู้เรื่องดังกล่าว

วันเดียวกัน ที่กระทรวงมหาดไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เป็นประธานในพิธีบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ภาคีเครือข่ายการป้องกัน ต่อต้าน และปราบปรามการทุจริตการสอบแข่งขันท้องถิ่นเพื่อบรรจุบุคคลเป็นข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่น ประจำปี 2567 ระหว่าง 5 หน่วยงาน ประกอบด้วย กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.), ป.ป.ช., ป.ป.ท., บก.ปปป. และคณะกรรมการกลางการสอบแข่งขันพนักงานส่วนท้องถิ่น (กสถ.)

​“ตลอดการทำงาน 4 เดือนที่ผ่านมาไม่มีการทุจริต ไม่มีทางที่จะคิดเรียกรับเงินตามข่าวที่ออกมาหัวละ 600,000 บาท และคนที่จะเข้ามาสอบมีกว่า 6,000 คน ถ้าคิดเป็นเงินก็ 36,000 ล้านบาท ซึ่งมีพูดไปถึงว่ามีการจ่ายเงินก่อนทุกคน แล้วถ้าไม่ได้ก็จะให้เงินคืน อยากขอความกรุณาให้ความเป็นธรรมของข้าราชการกระทรวงมหาดไทยที่เกี่ยวข้อง ว่าจะเป็นไปได้หรือ หากรับเงินจากผู้สอบรายละ 600,000 บาท จะเอาเงินไปเก็บที่ไหน และจะไม่มีใครโวยวายโดยจะไม่มีใครล่อซื้อ ซึ่งเป็นไปไม่ได้” นายอนุทินกล่าว

นายอาสพลธ์ สรรณ์ไตรภพ สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ปีนี้ที่มีตำแหน่งว่าง 6,238 อัตรา โดยคาดว่าจะมีผู้สมัครสอบมากกว่า 500,000 คน โดยได้รับข้อเรียกเรียนจากประชาชนในพื้นที่ศรีสะเกษว่ามีขบวนการแอบอ้างรับผลประโยชน์ จำนวนเงินประมาณ 6-7 แสนบาท จึงนำมาร้องเรียนต่อกระทรวงมหาดไทยเมื่อวันที่ 5 ม.ค. กระทั่งเกิดการลงนามดังกล่าวขึ้นมา และเสนอให้การสอบพนักงานและข้าราชการส่วนท้องถิ่นในปี 2568 หรือปีต่อๆ ไปขอให้ยึดกระบวนการสอบของข้าราชการพลเรือนสามัญ ที่ให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เป็นผู้ดำเนินการสอบภาค ก. แทน.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง