เฮ! กันทั้งประเทศ รัฐบาลไฟเขียวดิจิทัลวอลเล็ตกลุ่ม 16-20 ปี หัวละหมื่น 2.7 ล้านคน เริ่มปลายไตรมาส 2 ตัด Negative List ออกเอาใจวัยรุ่นซื้อเหล้า-บุหรี่-กัญชา-โทรศัพท์ยันหวยได้ นายกฯ อิ๊งค์นั่งหัวโต๊ะถก คกก.กระตุ้นเศรษฐกิจ เชื่อปี 68 ศก.โตมากกว่า 3% พร้อมเปิดลงทะเบียน “กลุ่มไม่มีสมาร์ทโฟน”
เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2568 ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1/2568 โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม นายอนุทินชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี น.ส.จิราพร สินธุไพร รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.การคลัง นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.การคลัง นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทยเข้าร่วมประชุม
โดยนายกฯ กล่าวช่วงต้นการประชุมว่า ในระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมาเราเห็นการเติบโตของเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มดีขึ้น และนโยบายการกระตุ้นต่างๆ ก็มาจากการส่งออกและการท่องเที่ยวที่เป็นเครื่องมือสำคัญ โดยกระทรวงการคลังได้ประมาณการว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 น่าจะเติบโต 3 เปอร์เซ็นต์ แต่รัฐบาลเชื่อว่าด้วยศักยภาพของเศรษฐกิจไทย และความตั้งใจทำงานของทุกกระทรวงร่วมกับเอกชน จะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตมากกว่า 3 เปอร์เซ็นต์ได้
นายกฯ กล่าวว่า ดังนั้นเพื่อให้เกิดความฟื้นฟูอย่างต่อเนื่องและแข็งแรงมากยิ่งขึ้น จึงเป็นที่มาของการประชุมในวันนี้ เพื่อที่จะร่วมกันคิดหาทางและโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานต่างๆ และต้องปฏิบัติภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ขยายตัวมากกว่า 3 เปอร์เซ็นต์ เพื่อวางรากฐานในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างระยะยาว ขอให้ทุกคนร่วมกันทำงานอย่างใกล้ชิดเพื่อขับเคลื่อนโครงการต่างๆ
ต่อมานายพิชัยเปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมเห็นชอบโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เฟส 3 ผ่านการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท สำหรับบุคคลที่มีอายุตั้งแต่ 16-20 ปี รวมทั้งหมด 2.7 ล้านคน คาดว่าจะจ่ายเงินลงไปถึงมือได้ภายในปลายไตรมาส 2 ปีนี้ หรือต้นไตรมาสที่ 3 ปีนี้ รัฐบาลเห็นว่าคนกลุ่มนี้มีความเหมาะสม เพราะเป็นกลุ่มที่อยู่ในวัยเรียน สามารถนำไปใช้จ่ายในสิ่งของที่จำเป็นต่อการเรียน หรือช่วยเหลือพ่อแม่ได้ ส่วนกลุ่มที่อายุเกิน 20-60 ปี รัฐบาลจะดูความเหมาะสมของช่วงเวลาอีกครั้งเพราะมีความแตกต่างกัน โดยจะใช้ระบบของดิจิทัลวอลเล็ตไปดำเนินการ
เมื่อถามถึงความคุ้มค่าทางด้านเศรษฐกิจต่อการดำเนินโครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟส 3 นั้น นายพิชัยกล่าวว่า ที่ผ่านมาอาจมีความเห็นที่ไม่เหมือนกันว่ามีความคุ้มค่ามากแค่ไหน จะกระตุ้น GDP ขึ้นมาอย่างไร แต่เชื่อว่าจะช่วยกระจายเงินลงไปในพื้นที่ได้ และช่วยบรรเทาภาวะหนี้ครัวเรือนได้ด้วย ซึ่งสองเรื่องนี้จะมีประโยชน์ในเชิงคุ้มค่ามากกว่า อย่างไรก็ตามนายกฯ ยังมอบหมายให้ติดตามโครงการอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการป้องกันความผิดพลาดของโครงการ โดยนำความผิดพลาดจากการดำเนินการในเฟสที่ผ่านมาเป็นตัวอย่าง ซึ่งกระทรวงการคลังจะตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมากำกับดูแลต่อไป
นายพิชัยกล่าวว่า ขณะที่ไทม์ไลน์ของโครงการนั้น ขั้นตอนต่อจากนี้จะเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เร็วๆ นี้ ก่อนจะเริ่มต้นโครงการเร็วที่สุด คือไตรมาสที่ 2 หรือต้นไตรมาสที่ 3 ปี 2568 โดยดูความเหมาะสมของเงินงบประมาณที่มีอยู่เป็นหลัก
ขณะที่นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.การคลัง กล่าวว่า กลุ่มนี้รัฐบาลได้ตัดเงื่อนไขเดิมออก 2 ส่วน คือ 1.ตัดรายการสินค้าต้องห้าม หรือ Negative List ออกทั้งหมด เพราะได้ตรวจสอบร้านค้าที่ขึ้นทะเบียนแล้ว เพื่อให้คนกลุ่มนี้สามารถใช้จ่ายได้สะดวกขึ้น เช่น ซื้อสินค้าร้านโชห่วย หรือร้านที่มีสินค้าหลายประเภท หรือใช้จ่ายค่าเทอมได้ 2.เปิดให้ร้านค้าทุกประเภทสามารถถอนเงินสดออกมาได้อีกด้วย เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ร้านค้า
ด้านนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.การคลัง กล่าวว่า ในการใช้เงินงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท เฟส 3 ครั้งนี้ รัฐบาลจะพิจารณาให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ โดยกันเงินกระตุ้นเศรษฐกิจเอาไว้ 1.5 แสนล้านบาทในปี 2568 ซึ่งเชื่อว่าจะมีกระสุนเพียงพอต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการที่จ่ายเงินให้กลุ่มนี้ก่อนนั้น ถือว่าเป็นกลุ่มที่มีความสามารถในการใช้จ่ายในช่วงเวลานี้ ส่วนกลุ่มอื่นจะดูตามความเหมาะสมต่อไป
สำหรับประชาชนกลุ่มอายุตั้งแต่ 20-59 ปีนั้นยังอยู่ในกระบวนการพิจารณา แต่ยืนยันว่ารัฐบาลได้มีการตั้งงบประมาณสำหรับใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงโครงการดิจิทัลวอลเล็ตไว้เรียบร้อยแล้ว โดยปัจจุบันยังเหลือเม็ดเงินอีกราว 1.5 แสนล้านบาท ซึ่งจะมีการใช้จ่ายในกลุ่มอายุ 16-20 ปี ราว 2.7 หมื่นล้านบาท ดังนั้นยังมีเม็ดเงินเหลืออีกประมาณกว่า 1.2 แสนล้านบาท ที่จะใช้ดำเนินการได้ โดยคาดว่าการดำเนินการในเฟสต่อไปจะทันภายในปีงบประมาณ 2568 แน่นอน ซึ่งตามกระบวนการจะต้องชงเรื่องให้แล้วเสร็จก่อนเดือน ก.ย.นี้
ทั้งนี้ ในส่วนของสินค้าที่สามารถใช้จ่ายได้ในโครงการครั้งนี้นั้น รัฐบาลไม่ได้กำหนดสินค้าที่ไม่เข้าร่วมโครงการ (Negative List) แต่มีการกำหนดร้านค้าที่เป็น Negative List เช่น ร้านขายเหล้า ร้านขายบุหรี่ ร้านขายทอง ปั๊มน้ำมัน รวมถึงมีการกำหนดขนาดร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการชัดเจน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ประเภทสินค้า Negative List ประกอบด้วย สลากกินแบ่งรัฐบาล, เครื่องดื่มแอลกอฮอล์, ผลิตภัณฑ์ยาสูบ, กัญชา, กระท่อม, พืชกระท่อม, ผลิตภัณฑ์กัญชาและกระท่อม, บัตรกำนัล, บัตรเงินสด, ทองคำ, เพชร, พลอย, อัญมณี, น้ำมันเชื้อเพลิง, ก๊าซธรรมชาติ, เครื่องใช้ไฟฟ้า, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, เครื่องมือสื่อสาร เป็นต้น
จากนั้นนายพิชัยแถลงเสริมว่า ที่ประชุมเห็นชอบแนวทางการลงทะเบียนเพื่อสำรวจประชาชนที่ไม่มีสมาร์ทโฟน โดยมอบหมายให้กระทรวงการคลังไปพิจารณาระยะเวลาที่เหมาะสมอีกครั้ง ซึ่งรัฐบาลต้องการเห็นประชาชนเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดของรัฐ โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟน โดยจัดกลุ่มนี้เป็นอีกกลุ่มที่ควรให้ความช่วยเหลือ โดยจะให้เข้ามาลงทะเบียนเพื่อทำเป็นฐานข้อมูลว่า คนกลุ่มนี้ไม่มีสมาร์ทโฟนจริง จะทำอย่างไรให้เขาสามารถใช้ได้ในอนาคต และเชื่อมโยงกับการเข้าถึงการช่วยเหลือจากรัฐบาล
ด้านนายจุลพันธ์กล่าวว่า รัฐบาลจะเปิดให้ประชาชนที่ไม่มีสมาร์ทโฟนเข้ามาลงทะเบียนทั้งหมด ไม่ใช่เฉพาะร่วมโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท แต่เพื่อให้ได้ฐานข้อมูลที่จะใช้ในการช่วยเหลือประชาชนกลุ่มต่างๆ ภายใต้นโยบายของรัฐบาลในอนาคตอย่างตรงเป้าหมาย ทั้งนี้ในกระบวนการเปิดลงทะเบียนนั้นจะใช้กลไกของธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ ทั้งธนาคารออมสิน, ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร, ธนาคารอาคารสงเคราะห์, ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย และไปรษณีย์ไทย รวมไปถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่างๆ โดยประชาชนสามารถเข้าไปติดต่อลงทะเบียนได้ ส่วนกรอบเวลาขอให้รอความชัดเจนอีกครั้ง
นายเผ่าภูมิกล่าวว่า ประชาชนสามารถเข้าไปลงทะเบียนผ่านช่องทางต่างๆ ของรัฐได้ทันทีหลังจากกำหนดวันที่ชัดเจนแล้ว โดยการลงทะเบียนครั้งนี้จะมีการตรวจสอบความถูกต้องว่า ผู้ที่มาลงทะเบียนเป็นผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟนจริง เพราะเจ้าหน้าที่จะมีการตรวจสอบข้อมูลย้อนหลัง โดยประสานกับผู้ให้บริการระบบมือถือทุกเจ้าด้วย สำหรับเกณฑ์การตรวจสอบว่าเป็นผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟนจริงหรือไม่นั้น จะตรวจสอบการใช้ข้อมูลโทรศัพท์มือถือย้อนหลัง 3 เดือน ว่ามีการใช้ข้อมูลเกิน 500 เมกะไบต์หรือไม่ หากใช้ไม่เกินจะถือว่าเข้าเงื่อนไขเป็นผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟนจริง.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
23-24เม.ย.อิ๊งค์ไปเขมร คปท.จี้ปมวาระซ่อนเร้น
“แพทองธาร” เตรียมเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการ 23-24 เม.ย.นี้
เมืองคอนระอุ! ชินวรณ์สุดทน แฉ‘ซื้อเสียง’ดุ
ชิงเก้าอี้ สส.เมืองคอนระอุ “ชินวรณ์” ปูด 2 พรรคซื้อเสียงแล้ว หัวคะแนนใหญ่ได้ 3 หมื่นบาท
ไหมแนะรบ.ทบทวนงบปี2569
“รทสช.” มาแต่ไก่โห่หนุนงบปี 69 เชื่อไร้ปัญหาไม่มีสะดุด “เจ๊ไหม” แนะรัฐบาลนำร่างไปทบทวน
บี้‘นายกฯ’แจงตึกถล่ม อุตฯตรวจเหล็กเส้นซํ้า
"องค์กรต้านโกง" ขีดเส้น 28 เม.ย. บี้ "นายกฯ อิ๊งค์" เคลียร์ปมตึกถล่มให้ชัด 5 ประเด็น
ปรับรมต. เศรษฐกิจ โพลหนุนขยับ‘พณ.-กษ.’/วิสุทธิ์ปัดแลกเก้าอี้‘ภท.’
แกนนำ พท.ยันไร้สัญญาณปรับ ครม. ไม่รู้มีดีลแลกเก้าอี้ รมต. "พท.-ภท." ย้ำเป็นอำนาจตัดสินใจของ "นายกฯ" แต่ยอมรับ สส.พท.อยากให้ปรับกระทรวง ศก. แก้ปัญหาการค้าขาย
‘ดร.ณัฏฐ์’ วิเคราะห์เกมปรับ ครม. แพทองธารใช้สูตร ‘ดองเค็ม’ สั่งสอนภูมิใจไทย
นักกฎหมายมหาชนชี้ เกมการเมืองหลังสงกรานต์ร้อนแรง รัฐบาลแพทองธารอาจไม่ยุบสภาแต่เลือก ‘ปรับ ครม.’ แบบลดบทบาทภูมิใจไทย ดองเค็มไม่ให้กล้าต่อกรกลางสภา ย้ำ กระทรวงมหาดไทย คือเป้าหมายหลักในยุทธศาสตร์คืนอำนาจ ก่อนศึกเลือกตั้ง 2570