สว.สำรองยื่นกมธ.ปปช. สอบ‘กกต.’ละเว้นฮั้วสว.

"ภูมิธรรม" ไม่หวั่นหลังศาล รธน.รับวินิจฉัยคำร้องแทรกแซงการทำงาน กกต.ปมฮั้วเลือก สว. บอกรอคำวินิจฉัย ยันบริสุทธิ์ใจทำตามหน้าที่ไม่วิตกกังวล "สว.สำรอง" ร้องต่อเนื่อง เข้ายื่นหนังสือถึง กมธ.ป.ป.ช. สอบการทำหน้าที่ "กกต.-แสวง" เหตุมีท่าทีอิดออดไม่พยายามทำตาม  กม. ด้าน ปธ.กมธ.รับลูก จ่อส่งข้อมูลให้คณะอนุฯ 2 เม.ย.นี้ ก่อนทำรายงานหาข้อเท็จจริงต่อไป

ที่ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 27 มีนาคม นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ให้สัมภาษณ์หลังศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องกรณีประธานวุฒิสภา และคณะสมาชิกวุฒิสภา (สว.) จำนวน 92 คน ยื่นให้วินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของนายภูมิธรรม และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ในฐานะรองประธาน กคพ. สิ้นสุดลงเฉพาะตัวหรือไม่ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4) (5) จากกรณีตรวจสอบกระบวนการรับฮั้ว สว.เป็นคดีพิเศษ เข้าข่ายครอบงำการทำหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)  หรือไม่ ว่าตนยังไม่ได้ตั้งทีมกฎหมายมา เพราะรู้สึกว่ายังไม่ได้มีปัญหาอะไร เป็นเรื่องที่ต่างคนต่างทำหน้าที่ เป็นเรื่องที่ปฏิบัติตามปกติ ตนก็ทำหน้าที่ทุกอย่าง และเป็นเรื่องของกฎหมาย รอให้ศาลวินิจฉัย

"ผมไม่วิตกกังวลใดๆ ก็อยู่ดุลยพินิจของศาล  และที่ผมไม่วิตกกังวล เพราะรู้ว่าเราทำอะไร เราตามหน้าที่ที่ควรจะทำ ผมเชื่อว่าประชาชนทั้งประเทศก็รู้ว่าผมทำอะไร"

เมื่อถามว่า มองว่าเรื่องนี้มีเกมการเมืองอะไรหรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า รอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ทั้งหมดเป็นเรื่องที่อยู่ในสายตาประชาชนมาโดยตลอด ประชาชนรับรู้เรื่องราวต่างๆ อาจจะรับรู้มากกว่าตนอีก

ถามว่า มีการวิเคราะห์ฉากทัศน์ต่อไปหรือไม่  หากผลออกมาบวกหรือลบ เรื่องนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป และถ้าผลออกมาเป็นลบ รัฐบาลจะเดินต่อไปได้ หรือจะต้องยุบสภาหรือไม่ เนื่องจากนายภูมิธรรมเป็นผู้จัดการรัฐบาล นายภูมิธรรมกล่าวว่า จริงๆ แล้วไม่ได้คิดอะไรเลย มาด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส เพราะเราถือว่าเราบริสุทธิ์ใจในการทำหน้าที่ของเรา ไม่มีอะไรที่กังวล เรื่องนี้เก็บไว้เลย ไปรอผลการพิจารณา ซึ่งอยู่ในดุลยพินิจของศาล

เมื่อถามว่า หลักฐานที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กำลังพิจารณากรณีเรื่อง สว. จะต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาด้วยหรือไม่  นายภูมิธรรมส่ายศีรษะก่อนจะกล่าวว่า เราดูตามข้อกล่าวหา ส่วนกระบวนการพิจารณาของดีเอสไอ ก็เป็นไปตามกระบวนการของดีเอสไอ ซึ่งไม่ได้หยุด คนละเรื่องกัน

ที่รัฐสภา กลุ่ม สว.สำรอง นำโดย พล.ต.ท.คำรบ ปัญญาแก้ว เข้ายื่นตรวจสอบ กกต. และนายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. ต่อนายฉลาด ขามช่วง ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร เพื่อร้องขอให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ไม่ให้เป็นไปตามกฎหมาย ส่งผลให้การเลือก สว.เป็นไปโดยไม่สุจริตและเที่ยงธรรม

โดยนายฉลาดกล่าวว่า ขั้นตอนหลังจากนี้ จะมีการมอบหมายให้คณะอนุกรรมาธิการกลั่นกรองภายในวันที่ 2 เม.ย.นี้ ว่าเกี่ยวเนื่องกับอำนาจของ กมธ.ป.ป.ช.หรือไม่ หากเกี่ยวเนื่องก็จะมีการตั้งคณะทำงาน เพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงให้เกิดความกระจ่างต่อทุกคน ว่าเป็นไปตามความคาดหวังหรือไม่ ทั้งนี้ กมธ.ป.ป.ช.ถือว่าเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วน และจะทำให้ทันตามกำหนดเวลาที่มีอยู่ เชื่อว่าคงใช้เวลาไม่นาน เนื่องจากมีการรวบรวมพยานหลักฐานในเบื้องต้นอยู่แล้ว หากยังขาดตกบกพร่องในส่วนไหน ก็จะขอเพิ่ม  เพื่อให้ทุกคนมั่นใจว่ากระบวนการของประเทศไทยยังอยู่ภายใต้กฎหมาย และอาจจะใช้เวลาในช่วงการปิดสมัยประชุมสภา เพื่อดำเนินการตามมติ

ด้าน พล.ต.ท.คำรบกล่าวยืนยันว่า   เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กกต.และนายแสวงได้รับแจ้งว่าจะมีการนำโพยที่ส่อทุจริตเข้าไป แต่ก็ไม่ได้ทำการแก้ไข พวกเราก็ได้ใช้สิทธิ์ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา มาตรา 61 ในการร้องเรียนและคัดค้าน บอกตั้งแต่ช่วงแรก และมีการนำพยานหลักฐานเอกสารรวมถึงพยานบุคคลไปให้ กกต.อย่างต่อเนื่อง แต่ปรากฏว่า 8 เดือนที่ผ่านมา การดำเนินการของ กกต.ไม่มีความคืบหน้าใดๆ  ที่เกี่ยวข้องกับการฮั้วเลย มีเพียงเรื่องเล็กๆ   น้อยๆ ที่ได้อ้างว่ามีการฟ้องและเพิกถอน ในเรื่องที่ยังค้างคาอยู่ เราก็ได้พยายามติดตามอย่างต่อเนื่อง และยังไม่ได้รับคำตอบใดๆ นอกจากคำว่า อยู่ระหว่างการดำเนินการ จนกระทั่งเราได้ไปร้องต่อดีเอสไอ จนรับสำนวนคดีนี้เป็นคดีพิเศษ โดยใช้เรื่องการฟอกเงินเป็นคดีพื้นฐาน ขณะนี้ทราบว่า กกต.ได้ตั้งคณะทำงานร่วมกับดีเอสไอเพื่อสอบสวนในเรื่องส่วนที่เป็นความผิดของการเลือกตั้ง

"แต่เหตุที่ผมจำเป็นต้องมาในวันนี้ คือแม้ กกต.จะมีการดำเนินการในภายหลังแล้ว ก็ยังมีทีท่าอิดออด ไม่พยายามดำเนินการตามกฎหมายที่มี เมื่อเราพยายามทวงถาม และแนะนำกระบวนการทำงาน กลับไม่ได้รับการสื่อสารสองทางแต่อย่างใดเลย จึงใช้ช่องทางนี้หาความจริงให้ปรากฏอีกส่วนหนึ่ง ว่า กกต.ทั้งองค์กรไม่แข็งขันเท่าที่ควร ไม่ดำเนินการตามกรอบอำนาจหน้าที่ เพราะฉะนั้นเวลาที่เหลืออยู่อีกแค่ 3 เดือนนี้ ซึ่งยังเหลือเรื่องใหญ่ๆ อีกมาก กกต.ก็ยังไม่มีแนวทางที่ชัดเจนพอ เราจึงหวั่นเกรงว่าจะทำให้เกิดความเสียหายในภาพรวม จึงหวังว่า กมธ.ป.ป.ช.จะเป็นที่พึ่ง และกระตุ้นให้ กกต.กลับมาทำหน้าที่ของตัวเองอย่างแท้จริง" พล.ต.ท.คำรบระบุ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

กรมทรัพย์สินฯเปิดตลาด ขายลิ้นจี่นครพนมทั่วไทย

กรมทรัพย์สินทางปัญญา นำทีมลงพื้นที่แหล่งผลิตลิ้นจี่นครพนม สินค้า GI ของดีเมืองพระธาตุพนม เดินหน้าจับมือกลุ่มพันธมิตรเครือข่ายห้างสรรพสินค้าชั้นนำ