ลั่น! ไม่ทำประชามติ ร่างกฎหมายกาสิโน

จะเปิดบ่อนให้ได้! ประธานวิปรัฐบาลย้ำร่าง กม.กาสิโนไม่ต้องทำประชามติ อ้าง  สส.เปรียบเป็นตัวแทนแล้ว ถามกลับหากใครเสนอทำทุกกฎหมาย เสียเงินครั้งละ 3 พันล้านไหวไหม   “พีระพันธุ์” ประกาศปี 2568 ปีแห่งการลดค่าไฟ  เดินหน้าโครงสร้างพลังงานใหม่ ช่วยประชาชนจ่ายน้อยลง ใช้พลังงานในราคาเป็นธรรม

เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2568 นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ให้สัมภาษณ์กรณี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ให้ สส.ลงพื้นที่ทำความเข้าใจกับประชาชนช่วงปิดสมัยประชุมสภา เกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร (เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์)  และวันที่ 13 พ.ค. ประชุม สส.พรรคเพื่อไทย จะนำเรื่องดังกล่าวขึ้นมาพูดคุยหรือไม่ ว่าคงไม่ได้คุยกัน  เพราะเรื่องเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์เป็นเรื่องหลัง มีเวลาอีก 2 เดือน เป็นหน้าที่รัฐบาลชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชน ตอนนี้เห็นรัฐมนตรีหลายคนได้ชี้แจงไปแล้ว เชื่อมั่นว่ามีเวลาให้ศึกษาได้ทำความเข้าใจกันก่อน คงไม่ได้มีการพูดกันในช่วงนี้  ช่วงนี้เน้นเรื่องงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญ

ผู้สื่อข่าวถามว่า ทางออกของความขัดแย้งควรจะมีการทำประชามติหรือไม่ นายวิสุทธิ์กล่าวว่า วันนี้พูดถึงการทำประชามติก็ยังไม่เคยเห็นรัฐมนตรีท่านไหนพูดเรื่องประชามติ เวลากฎหมายประชามติเข้าไปก็อยู่อีกหลายเดือน กฎหมายประชามติยังไม่ผ่าน เพราะฉะนั้นหากออกกฎหมายฉบับนี้ต่อไป ถ้ามีคนเรียกร้องว่าต้องทำประชามติทุกครั้ง แล้วเราจะออกกฎหมายได้หรือไม่ ตัว สส.คือตัวแทนประชามติแล้ว เพราะมาจากประชาชน

“ฉะนั้น ต่อไปหากใครเสนอกฎหมายอะไรแล้วมีการเรียกร้องให้ทำประชามติ รอบละ 3,000 ล้านบาท ไหวหรือไม่ เดือนนึงถ้าออกกฎหมาย 3 ฉบับ  และทำประชามติทั้ง 3 ฉบับ มันก็ไปไกลแล้ว  เพราะฉะนั้น สส.คือตัวแทน ถ้ารัฐธรรมนูญทำประชามติอันนั้นเห็นด้วย แต่เรื่องอื่นให้อธิบายความกันก่อน เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ชี้แจงกับประชาชนให้เข้าใจเรื่องเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ และเมื่อเข้าใจแล้วเราค่อยมาว่ากัน ซึ่งมีเวลาอีกตั้ง 60 วัน ก็ไม่เร่งด่วนอะไร เป็นหน้าที่รัฐบาลต้องทำไป แต่วันนี้ สส.พรรคเพื่อไทยลงพื้นที่ ก็ไปทำความเข้าใจกับประชาชน ทุกคนก็ต้องช่วยกันทำความเข้าใจว่าสิ่งที่ถูกต้องคืออะไร ไม่ใช่วิ่งไปตามกระแสอย่างเดียว ต้องพูดในข้อเท็จจริงก่อน ถึงเวลานั้นจะเป็นอย่างไรค่อยมาว่ากันอีกที  วันนี้ต้องเอางบประมาณให้ผ่านก่อน เรื่องใหญ่"  นายวิสุทธิ์กล่าว

ด้านนายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลงานเด่นในรอบ 6 เดือนของกระทรวงมหาดไทย ภายใต้รัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้ขับเคลื่อนตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งมีเป้าหมายสำคัญในการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข พร้อมพัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน ใน 5 ด้านสำคัญ เกิดผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรม ดังนี้

ปราบปรามผู้มีอิทธิพล

1.การจัดระเบียบสังคม ปราบปรามผู้มีอิทธิพล โดยฝ่ายปกครองใน 76 จังหวัดได้ดำเนินมาตรการจัดระเบียบสังคมอย่างเข้มงวด มีการตั้งจุดตรวจ/จุดสกัด ตรวจสถานที่ และหาข่าวรวมกว่า 747,505 ครั้ง นำไปสู่การจับกุมในคดียาเสพติด ค้ามนุษย์ อาวุธปืน การพนัน สถานบริการ และผู้มีอิทธิพล รวมกว่า 7,520 ครั้ง พร้อมทั้งดำเนินการตรวจสอบและขึ้นทะเบียนบุคคลต้องสงสัยว่ามีพฤติการณ์เป็นผู้มีอิทธิพล และบุคคลที่ต้องเฝ้าระวัง เพื่อดำเนินการเร่งรัดติดตามดำเนินคดีตามกฎหมาย และเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

2.การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด มีการจับกุมผู้ค้ายาเสพติดแล้ว 5,107 คน และนำผู้เสพเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษา รวม 28,980 คน  มีของกลางเป็นยาบ้ากว่า 53 ล้านเม็ด พร้อมทั้งดำเนินมาตรการป้องกัน และประชาสัมพันธ์สร้างการมีส่วนร่วม ตรวจตราพื้นที่เสี่ยง 14,898 จุด กว่า 47,682 ครั้ง และมาตรการฟื้นฟูสภาพทางสังคม ให้ความช่วยเหลือผู้ผ่านการบำบัดแล้ว 7,599 คน นอกจากนี้ ยังมีการเสริมสร้างความเข้มแข็งชุมชนผ่านกองทุนแม่ของแผ่นดินใน 1,078 หมู่บ้าน อบรมเพิ่มความรู้แก่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นกว่า 1,022 คน และขับเคลื่อนนโยบายผ่านเครือข่าย “ยุวสิงห์มหาดไทย” มุ่งเน้นการป้องกัน ป้องปราม ปราบปราม และบำบัดฟื้นฟู

               3.การสร้างอาชีพ เพิ่มรายได้ให้ประชาชน ผ่านโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชน สนับสนุนผู้ประกอบการ OTOP เข้าร่วมกิจกรรมจัดแสดงและจำหน่ายสินค้า อาทิ งาน OTOP To The World, OTOP City 2024 Happy Market,  OTOP ภูมิภาค, OTOP To The Town และโครงการตลาดอะเมซิ่ง ของกินของใช้ บนแพลตฟอร์มออนไลน์ พร้อมทั้งส่งเสริม สนับสนุนการสวมใส่ผ้าไทย และโครงการผ้าไทยใส่ให้สนุก ผ่านการขับเคลื่อนโครงการสำคัญ อาทิ โครงการ Silk Festival 2024 สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน โครงการสร้างการรับรู้ภูมิปัญญาผ้าไทยและงานหัตถกรรมชุมชน ปี 2568 และการจัดนิทรรศการผ้าไทยครั้งยิ่งใหญ่แห่งปี “Colors of Buriram”

4.การส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน สร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก นำอัตลักษณ์ท้องถิ่น (Soft Power) มาเป็นกลไกสร้างรายได้ โดยมี 71 จังหวัด 677 อำเภอ รายงานผลการคัดเลือกอัตลักษณ์ท้องถิ่นแล้ว และมีการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ผ่านสื่อออนไลน์ ตลอดจนมีการขับเคลื่อนโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ สร้างความรู้ความเข้าใจแก่ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี พร้อมค้นหาผู้จัดโปรแกรมท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ผลิตภัณฑ์เด่น จัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ที่นักท่องเที่ยวลงมือปฏิบัติ และกิจกรรมพัฒนายกระดับผลิตภัณฑ์ของที่ระลึกในชุมชน และการพัฒนาศักยภาพผู้นำชุมชนท่องเที่ยว

ปีแห่งการลดค่าไฟฟ้า

5.น้ำดื่มสะอาดบริการประชาชน โดยมีเป้าหมายการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพระบบประปาท้องถิ่นใน 878 แห่งทั่วประเทศ และติดตั้งตู้น้ำดื่มสะอาด ในปีงบประมาณ 2568 จำนวน 20,000 จุด พร้อมทั้งดำเนินโครงการน้ำดื่มสะอาดฟรี ลดค่าใช้จ่ายให้ประชาชน ประชาสัมพันธ์แท่นน้ำประปาดื่มได้จำนวน 113 แห่ง และดำเนินโครงการน้ำดื่มสะอาด Mini Station ณ สถานีผลิตและจ่ายน้ำของการประปาส่วนภูมิภาค รวมถึงแผนติดตั้งตู้กดน้ำดื่มสะอาดในสำนักงานการประปาฯ ทั้ง 234 สาขา และหน่วยงานราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทย เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงน้ำสะอาด ลดค่าใช้จ่ายในการครองชีพ

“รัฐบาล โดยกระทรวงมหาดไทย มุ่งขับเคลื่อนการทำงานทั้งด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน การสร้างงาน เพิ่มรายได้ และลดภาระค่าใช้จ่ายครัวเรือน รวมไปถึงการสร้างโอกาสและส่งเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทย เพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนทุกระดับให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น” นายคารมกล่าว

ขณะที่ น.ส.ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์​ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผ่านรายการ  “เสียงจากใจ ไทยคู่ฟ้า” ว่า รัฐบาลขอขอบคุณพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ที่ส่งเสียงสะท้อนในเชิงบวกต่อการดำเนินนโยบายด้านพลังงาน โดยเฉพาะมาตรการลดค่าไฟฟ้าอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้  ภายใต้การนำของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ซึ่งได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี  น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ให้เร่งรัดการดำเนินนโยบายดังกล่าว โดยได้ประกาศให้ปี 2568 เป็น “ปีแห่งการลดค่าไฟฟ้า” โดยมีการปรับลดราคาค่าไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง

ลดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน

โดยเมื่อปี 2566 ค่าไฟเฉลี่ยอยู่ที่ 4.77 บาทต่อหน่วย, ปี 2567 ทั้งปี ค่าไฟอยู่ที่ 4.17 บาทต่อหน่วย, ต้นปี 2568 ลดลงเหลือ 4.15 บาทต่อหน่วย ล่าสุด ระหว่างเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2568 อยู่ที่ 3.98 บาทต่อหน่วย

นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ได้มีมติให้ค่าไฟฟ้าในช่วงปลายปี 2568  ไม่เกิน 3.99 บาทต่อหน่วย ถือเป็นการยืนยันว่าอัตราค่าไฟฟ้าจะยังคงอยู่ในระดับต่ำตลอดทั้งปี

รองโฆษกฯ ย้ำว่า มาตรการลดค่าไฟฟ้าครั้งนี้ไม่ใช่การใช้เงินงบประมาณแผ่นดิน แต่เป็นการบริหารจัดการเชิงโครงสร้าง อาทิ การปรับลดค่า Ft  และการเจรจาลดอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนกับภาคเอกชน โดยอาศัยต้นทุนด้านเทคโนโลยีที่ลดลง ในส่วนของราคาน้ำมัน รัฐบาลขอยืนยันว่า การปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันจะไม่กระทบต่อราคาขายปลีกหน้าสถานีบริการแต่อย่างใด เนื่องจากกระทรวงพลังงานได้มอบหมายให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงปรับลดอัตราเก็บเงินเข้ากองทุนลงในระดับที่เหมาะสม เพื่อชดเชยภาระภาษีดังกล่าว ที่ผ่านมา คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ได้มีมติปรับลดราคาน้ำมันลง 1 บาทต่อลิตร ก่อนเทศกาลสงกรานต์ เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชน

“รัฐบาลยืนยันเจตนารมณ์ในการเดินหน้าปรับโครงสร้างราคาพลังงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเป็นธรรมในการเข้าถึงพลังงาน ลดภาระค่าครองชีพ และวางรากฐานความมั่นคงด้านพลังงานอย่างยั่งยืนให้กับประชาชนไทยทุกคน” น.ส.ศศิกานต์ระบุ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

แม้วช็อกเล่ห์ฮุนเซน ตั้งใจอัดคลิปลูกบริสุทธิ์ อิ๊งค์-อนุทินซัดกันเดือด

"นายกฯ อิ๊งค์" สวน "อนุทิน" ใส่สีตีไข่ ปมหา "สี จิ้นผิง" เตือนรัฐบาลดัน กม.กาสิโน กระทบนักท่องเที่ยวจีนไม่มาไทย

เช็กเสียงรัฐบาลปริ่มน้ำ พึ่งมือ 3 สส.ภูมิใจไทย โหวตหนุนถอนร่างกม.กาสิโน

สำหรับผลการลงมติให้ถอนร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอ็นเตอร์เทนเมนคอมเพล็กซ์ ด้วยคะแนน 253 ต่อ 66 เสียงนั้น พบว่า ในส่วนของคะแนนเห็นชอบให้ถอนร่าง

ภท. ขออย่าด่วนสรุปเรียกงูเห่า '3 สส.' โหวตสวนพรรค หนุนเพื่อไทยถอนกม.กาสิโน

นายไชยชนก ชิดชอบ สส.บุรีรัมย์ และเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มี สส.ของพรรค 3 คน ประกอบด้วย นายชูกัน กุลวงษา สส.นครพนม น.ส.ประภา เฮงไพบูลย์ สส.กาฬสินธุ์ และนางอรอุมา บุญศิริ สส.บึงกาฬ