อ่านยาวๆ 'ปิยบุตร' ค้านศาลฎีกาลงโทษประหารชีวิตทางการเมือง 'ปารีณา' ลั่นต้องหยุด 'นิติสงคราม'

'ปิยบุตร'ย้ำไม่เห็นด้วยศาลฎีกาลงโทษประหารชีวิตทางการเมือง'ปารีณา' ยันมาตรฐานทางจริยธรรมไม่ใช่เรื่องชี้ขาดทางกฎหมาย ทุกฝ่ายไม่ควรไชโยโห่ร้อง ลั่นหยุด 'นิติสงคราม' หยุด 'การยื่นดาบ' ให้ตุลาการ ปลุกรณรงค์แก้ไขรธน.60

8 เม.ย.2565 - ภายหลังศาลฎีกา พิพากษา น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายเเรง จากคดี รุกป่าราชบุรี โดยให้พ้นตำเเหน่ง ส.ส.ตั้งเเต่วันที่ 25 มี.ค.64 เพิกถอนสิทธิการเลือกตั้ง 10 ปี เเละไม่มีสิทธิรับสมัครเลือกตั้ง เเละดำรงตำเเหน่งทางการเมืองตลอดชีวิตนั้น

นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ได้แสดงความคิดเห็นต่อเรื่องดังกล่าวในทวิตเตอร์ว่า รัฐธรรมนูญ 2560 กำหนดให้กรณีนักการเมืองละเมิดจริยธรรมอย่างร้ายแรงไปให้ศาลฎีกาตัดสินและมีโทษประหารชีวิตทางการเมือง เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง

ต่อมานายปิยบุตร โพสต์ลงเฟซบุ๊กแฟนเพจ Piyabutr Saengkanokkul - ปิยบุตร แสงกนกกุล อย่างละเอียดอีกครั้ง มีเนื้อหาดังนี้

จากกรณี 'ปารีณา' วันนี้ ผมอยากชวนทุกท่านกลับไปฟังการอภิปรายของผมเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2562 ในญัตติพิจารณาร่างข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและกรรมาธิการ พ.ศ. …. ที่ชี้ให้เห็นถึงความลักลั่นของกลไกตรวจสอบจริยธรรมนักการเมืองที่ถูกใส่ไว้ในรัฐธรรมนูญ 2560 และขอนำข้อเขียนที่เผยแพร่เมื่อวันนี้มาย้ำอีกรอบ ตามที่แปะไว้ด้านล่างนี้ครับ
-------
รัฐธรรมนูญ 2560 ได้สร้างกลไกใหม่ไว้เข่นฆ่านักการเมือง นั่นคือ มาตรฐานทางจริยธรรม โดยกำหนดให้ ป.ป.ช.ทำหน้าที่ไต่สวนกรณีฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง เพื่อเสนอเรื่องให้ศาลฎีกาวินิจฉัย
หากศาลฎีกาวินิจฉัยว่าผู้นั้นฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงจริง ผู้นั้นต้องพ้นจากตำแหน่งและถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง และอาจถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งอีกไม่เกินสิบปีด้วย

การสร้างมาตรฐานทางจริยธรรมและกลไกการบังคับใช้ขึ้นมาในรัฐธรรมนูญ 2560 มีข้อควรวิจารณ์ใน 3 ประการ
ประการแรก การกำหนดมาตรฐานทางจริยธรรมของนักการเมืองโดยองค์กรอื่น

มาตรฐานทางจริยธรรม เป็นเรื่องเกี่ยวกับการกำหนดกรอบทางจริยธรรมหรือจรรยาบรรณของวิชาชีพ อาชีพ หรือผู้ดำรงตำแหน่งต่างๆ โดยทั่วไปแล้ว องค์กรต่างๆต้องปรึกษาหารือพูดคุยกันเพื่อออกแบบมาตรฐานเหล่านี้ใช้ร่วมกันเองในลักษณะ Code of conduct พร้อมกับสร้างกระบวนการบังคับใช้ ตรวจสอบ พิจารณาเรื่องร้องเรียน และมาตรการลงโทษกันเอง

แต่กรณีมาตรฐานทางจริยธรรมที่ใช้บังคับกับ ส.ส. ส.ว. และ รมต. นั้น รัฐธรรมนูญ มาตรา 219 กลับกำหนดให้นำมาตรฐานทางจริยธรรมที่ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระร่วมกันกำหนดขึ้นใช้กันในองค์กร มาใช้กับ ส.ส. ส.ว. และ รมต.ด้วย โดย ส.ส. ส.ว. และ รมต. ทำได้แต่เพียงกำหนดจริยธรรมเพิ่มขึ้นให้เหมาะสมกับการปฏิบัติหน้าที่ของตนเองเท่านั้น

ประการที่สอง การให้ศาลฎีกาวินิจฉัยกรณีฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
การฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรม แบ่งเป็นสองประเภท ได้แก่ ฝ่าฝืนแบบทั่วไป กับ ฝ่าฝืนที่มีลักษณะร้ายแรง
โดยกรณีฝ่าฝืนแบบทั่วไป ก็ให้ดำเนินกันเองในองค์กรของตน แต่กรณีฝ่าฝืนอย่างร้ายแรง ให้ ป.ป.ช.มีอำนาจไต่สวน ถ้า ป.ป.ช.เห็นว่าฝ่าฝืนอย่างร้ายแรงจริง ก็จะเสนอเรื่องให้ศาลฎีกาวินิจฉัยต่อไป

การฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรม ไม่ใช่เรื่องชี้ขาดในทางกฎหมาย ไม่ใช่ประเด็นชี้ขาดว่าถูกหรือผิดกฎหมาย แต่เป็นเรื่องความเหมาะสมของการปฏิบัติหน้าที่ จึงไม่ควรให้องค์กรตุลาการเข้ามาชี้ขาดถูกผิด เพราะ องค์กรตุลาการมีหน้าที่วินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทโดยใช้กฎหมายเป็นมาตรวัด ไม่ใช่ใช้ความเหมาะสม

อาจมีกรณีที่ศาลเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องจริยธรรมหรือวินัยอยู่บ้าง แต่นั่นคือการเข้าไปตรวจสอบทบทวน หรือ Judicial Review ว่าคำสั่งลงโทษทางวินัยนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เช่น ข้าราชการถูกลงโทษทางวินัยจากผู้บังคับบัญชา ข้าราชการย่อมมีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครองเพื่อพิจารณาว่าคำสั่งลงโทษนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ แต่ศาลปกครองไม่ได้พิจารณาว่าผิดวินัยหรือไม่ และไม่ได้เป็นคนตัดสินลงโทษเอง

การกำหนดให้ศาลฎีกามีอำนาจวินิฉัยกรณีฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง จึงเป็นเรื่อง “ผิดฝาผิดตัว” นำเรื่องที่ไม่ใช่ข้อพิพาท ไม่ใช่ประเด็นทางกฎหมาย ไปให้องค์กรตุลาการวินิจฉัยชี้ขาด นำเรื่องภายในของแต่ละองค์กรที่จะต้องพิจารณาและลงโทษกันเอง ไปให้องค์กรตุลาการจัดการ

ประการที่สาม บทกำหนดโทษกรณีฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง สูงเกินไป
ในกรณีที่ศาลฎีการับฟ้อง ให้ผู้ถูกกล่าวหาหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลพิพากษา และถ้าศาลฎีกาพิพากษาว่าผู้ถูกกล่าวหาฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงจริง ให้ผู้นั้นพ้นจากตำแหน่งนับตั้งแต่วันหยุดปฏิบัติหน้าที่ และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง และอาจเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งได้อีกไม่เกิน 10 ปี
ในส่วนของการเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง มาตรา 235 วรรคสี่ ได้ขยายความต่อไปว่า ไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ตลอดไป ไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกเป็น ส.ว. ตลอดไป และไม่มีสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ

พูดง่ายๆ อัตราโทษของการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง นอกจากพ้นจากตำแหน่งแล้ว ก็ยังมี ห้ามลงสมัครรับเลือกตั้งใดๆตลอดชีวิต ห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆตลอดชีวิต และไม่มีสิทธิไปกากบาทลงคะแนนเลือกตั้งในทุกระดับอีกไม่เกิน 10 ปี

นี่คือ “การประหารชีวิตทางการเมือง” ไม่ต่างอะไรกับการเอานักการเมืองขึ้นเครื่องประหารกีโยตีนในสมัยก่อน เพียงแต่สมัยนั้น ตัดคอ ปลิดชีวิตทางกายภาพ ส่วนสมัยนี้ คือ ตัดสิทธิ ปลิดชีวิตทางการเมือง
การกำหนดโทษสูงขนาดนี้ไม่ได้สัดส่วนกับการกระทำอันเป็นความผิด และเป็นการลงโทษหลายครั้งในเหตุจากการกระทำเดียว (ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมทางร้ายแรงครั้งเดียว แต่ถูกลงโทษไล่มาเป็นลูกระนาด ตั้งแต่ พ้นจากตำแหน่ง เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิต เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไม่เกิน 10 ปี)

รัฐธรรมนูญ 2560 กำหนดโทษการตัดสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิต และห้ามดำรงตำแหน่ง รมต ตลอดชีวิตไว้ใน 6 กรณี

กรณีแรก บุคคลที่เคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการ เพราะทุจริตต่อหน้าที่หรือถือว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบในวงราชการ (มาตรา 98 (8))

กรณีที่สอง บุคคลที่เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินเพราะร่ำรวยผิดปกติ หรือเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สัดให้ลงโทษจำคุกเพราะกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (มาตรา 98 (9))

กรณีที่สาม บุคคลที่เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่ากระทำความผิดฐานต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริต ความผิดเกี่ยวกับการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ความผิดฐานผลิต นำเข้า ส่งออก ค้า ยาเสพติด ความผิดฐานเป็นเจ้ามือเจ้าสำนักการพนัน ความผิดตามกฎหมายป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์และการฟอกเงิน (มาตรา 98 (10))

กรณีสี่ บุคคลที่เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำการอันเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง (มาตรา 98 (11))
กรณีที่ห้า บุคคลที่ศาลฎีกาพิพากษาว่าฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง (มาตรา 235 วรรคสาม วรรคสี่)

กรณีที่หก บุคคลที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาว่าจงใจไม่ยื่น ยื่นเท็จ ปกปิด รายการทรัพย์สิน (มาตรา 235 วรรคสาม สี่ เจ็ด)

ทั้งหกกรณีนี้ บุคคลต่างได้รับโทษในการกระทำของตนไปเรียบร้อยแล้ว (เช่น จำคุก ปลดออก พ้นจากตำแหน่ง) แต่กลับต้องรับโทษต่อเนื่องอีกจากการกระทำเดียวกัน (ห้ามสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิต ห้ามเป็น รมต ตลอดชีวิต) และยังเป็นโทษที่ไม่ได้สัดส่วนกับการกระทำผิด ซึ่งไม่สอดคล้องกับหลักสากล

บทบัญญัติ “เข่นฆ่า” นักการเมืองแบบนี้เองที่ผู้ร่างรัฐธรรมนูญนำมาโฆษณาอวดอ้างว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ คือ รัฐธรรมนูญ “ปราบโกง”

แต่เอาเข้าจริง มันไม่สามารถใช้ “ปราบโกง” ได้ อัตราการทุจริตคอรัปชั่นในประเทศนี้ไม่ได้มีทีท่าว่าจะลดลง ตรงกันข้าม บทลงโทษแบบนี้กลับกลายเป็นเครื่องมือให้ใช้กลั่นแกล้งกันในทางการเมือง กลายเป็น “อาวุธ” ให้ฝักฝ่ายทางการเมืองต่างๆนำมาใช้ก่อ “นิติสงคราม” เพื่อกำจัดศัตรูทางการเมืองของตน

กรณีศาลฎีกาพิพากษาว่าคุณปารีณา ไกรคุปต์ ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง และต้องถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิต ห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งอีก 10 ปี จึงไม่ควรนำมาซึ่งการไชโยโห่ร้องของฝ่ายที่ไม่ชอบพฤติกรรมและการปฏิบัติหน้าที่ของคุณปารีณา
ตรงกันข้าม มันควรเป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นพิษภัยของรัฐธรรมนูญ 2560 ความไม่เป็นประชาธิปไตยและไม่เป็นไปตามหลักการสากลของรัฐธรรมนูญ 2560
ไม่ว่าจะสนับสนุนพรรคการเมืองใด กลุ่มการเมืองใด
ไม่ว่าจะรักชอบนักการเมืองคนไหน
ก็ไม่ควรยินดีกับกรณีคุณปารีณา เช่นเดียวกันกับไม่ควรยินดีกับกรณีคุณหมอสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี นักการเมืองน้ำดีมีฝีมือ ผู้มีส่วนสำคัญในการทำนโยบาย “30 บาทรักษาทุกโรค” ที่ต้องรับพิษภัยจากรัฐธรรมนูญแบบนี้ ไม่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้ง และไม่สามารถเป็น รมต.ได้อีกตลอดไป

เราไม่ควรดีใจ สนับสนุน การเข่นฆ่านักการเมืองผู้ใดอีกเลยด้วยวิธีการแบบนี้
แต่ต้องรณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นนี้ ยกเลิกรัฐธรรมนูญนี้ ทำรัฐธรรมนูญใหม่

หยุด “นิติสงคราม” ที่นำมาเข่นฆ่านักการเมืองและประชาชน
หยุด “การยื่นดาบ” ให้องค์กรตุลาการมาประหารชีวิตทางการเมืองของนักการเมืองกันเอง

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'ดร.นิว' ฟาด 'ดร.ป๊อก' สร้างตรรกะอุบาทว์ ทำตัวเป็นผู้อยู่เหนือรัฐธรรมนูญ

ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ดร.นิว นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า

'ปิยบุตร' ฉะ 'ก้าวไกล' กลัว ลนลาน นำนโยบายแก้ไข 112 ออกจากเว็บไซต์พรรค

'ปิยบุตร' ไม่พอใจ 'ก้าวไกล'นำนโยบายแก้ไข 112 ออกจากเว็บไซต์ของพรรค ย้อนถามทำไมแหยและหงออย่างนี้ คำวินิจฉัยไม่ได้สั่งให้เอาออกเลย ไม่ควรกลัว ลนลาน ขนาดนี้ ต่อให้ลบออกก็ยุบได้อยู่ดี

เอาให้สะเด็ดน้ำ! ธีรยุทธร้อง กกต.ให้ยุบก้าวไกลพรุ่งนี้ยื่น ป.ป.ช.ฟันจริยธรรม

'ธีรยุทธ' ร้องกกต.ส่งศาลยุบก้าวไกล ไม่หวั่นสร้างความขัดแย้ง เป็นเรื่องปัจเจก ตะเพิดนักวิชาการกลับไปอ่านคำวนิจฉัยหลายๆ รอบ ศาลไม่ได้ปิดประตูตายแก้ ม.112 เล็งยื่น ป.ป.ช.ฟันจริยธรรม

‘ปิยบุตร’ ชำแหละพรรคก้าวไกล ส่งสัญญาณ ‘หมอบ’ ก่อน 31 มกรา.

นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊กว่า กรณีก้าวไกลกับการแก้ 112 ผมมีส่วนร่วมในการตั้งพรรคอนาคตใหม่มา ผ่านประสบการณ์ทางการเมืองมา ยืนยันว่า การเมืองต้องผสมผสานอุดมคติของเรากับสภาพความเป็นจริงทางการเมือง มีรุก มีถอย ตามการประเมินสถานการณ์