'ทีมเศรษฐกิจ ปชน.' เสนอ 'รัฐบาล' เตรียมแผนรับมือกำแพงภาษีสหรัฐฯ 'ศิริกัญญา' จ่อเสนอเป็นญัตติด่วนเข้าสภา ด้าน 'วีระยุทธ' ชี้ ควรทิ้งไพ่ทีละใบ ในการเจรจาต่อรอง ขณะที่ 'สิทธิพล' เตือน ระวังสินค้าจีนทะลักรอบใหม่มากขึ้นกว่าเดิม
3 เมษายน 2568 - ที่รัฐสภา นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรคประชาชน พร้อมด้วย นายวีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร รองหัวหน้าพรรคประชาชน และนายสิทธิพล วิบูลย์ธนากุล สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน ร่วมแถลงข่าวสืบเนื่องจากกรณีที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา แถลงประกาศตั้งกำแพงภาษี โดยประเทศสหรัฐอเมริกา จะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากทุกประเทศ ขั้นต่ำร้อยละ 10 และเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 เม.ย.ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับรัฐบาลสหรัฐฯ และกระตุ้นการลงทุนในประเทศ สหรัฐฯ
โดยนางสาวศิริกัญญา ระบุว่า นี่เป็นสิ่งที่ช็อกโลก กลายเป็นพายุหรือแผ่นดินไหวทางเศรษฐกิจที่ทำให้ทุกประเทศได้รับผลกระทบ เพราะการที่ สหรัฐฯ อ้างว่า การเก็บภาษีนำเข้า รวมกับที่ไทยแทรกแซงค่าเงิน และมีอุปสรรคทางการค้าอื่นๆ นั้น รวมอยู่ที่ร้อยละ 72 สหรัฐฯ ก็เลยใจดี เก็บไทยครึ่งหนึ่ง คือร้อยละ 36 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค
ดังนั้น สิ่งที่กระทบกับไทย คือกลุ่มบริษัทส่งออก และผู้ส่งออกที่เคยส่งออกไปที่สหรัฐฯ จะต้องเจอกับราคาเมื่อรวมภาษีแล้ว จาก 100 บาท เพิ่มขึ้นเป็น 136 บาท ซึ่งเพิ่มขึ้นสูงมากทีเดียว สำหรับอัตราภาษีที่ สหรัฐฯ ระบุว่า ไทยจัดเก็บกับ สหรัฐฯ นั้น ก็มีการเปิดเผยสูตรคำนวณมาเรียบร้อยแล้วว่าร้อยละ 72 นี้ ถูกคำนวณมาจากอัตราของการที่มีการขาดดุล เมื่อเทียบกับ ปริมาณการนำเข้าทั้งหมด
นางสาวศิริกัญญา จึงมองว่า การที่จะรับมือกับเรื่องนี้ ต้องเข้าใจเป้าประสงค์ของสหรัฐฯ 3 เรื่องด้วยกัน คือ 1.ไม่ใช่แค่เรื่องของการที่จะทำให้การขาดดุลทางการค้าระหว่างประเทศอื่นๆ ลดลง 2.ทรัมป์เองยังต้องการรายได้เข้ารัฐเพิ่มเติมเพื่อไปชดเชยกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และนิติบุคคลของสหรัฐฯ ที่มีแผนการจะปรับลดลงด้วย และ 3.มีการตั้งเป้าว่าต้องการให้นักลงทุนของสหรัฐฯ ย้ายฐานการผลิตกลับประเทศของตัวเอง
หากเราคาดหวังผลว่า จะเป็นเหมือนสงครามการค้ารอบที่แล้ว ที่ทรัมป์ได้เคยทำมาก่อนหน้านี้ ว่าจะมีการย้ายฐานการผลิตกลับเข้ามาในประเทศไทยนั้น ก็อาจจะไม่เกิดขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วด้วย ภายในวันเสาร์ที่ 5 เมษายนนี้ จะถูกเก็บภาษี ขั้นต่ำก่อนที่ร้อยละ 10 จากนั้น ประเทศไทยจะถูกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นอีกในวันที่ 9 เมษายน อย่างไรก็ดี ยังมีสินค้าบางประเภทที่อาจจะไม่ถูกเก็บ เพราะเคยถูกเก็บไปก่อนหน้านี้แล้ว และอาจมีเพียงแค่กลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ตัวเดียวที่จะรอด
ส่วนการคาดการณ์ถึงผลที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทยนั้น แน่นอนว่าการค้าจะต้องมีการหยุดชะงักลดลง มูลค่าการส่งออกอาจจะหดตัวลงประมาณร้อยละ 1 ส่วนจีดีพี ก็อาจจะหดตัวได้มากกว่าร้อยละ 1 ซึ่งอาจจะทำให้จีดีพีของปี 68 ลดลงต่ำกว่าร้อยละ 2 ได้ ถ้าการเจรจาไม่ได้เกิดขึ้นในเร็ววัน หรือการเจรจาไม่ประสบผลสำเร็จ
ในกรณีที่เราสามารถที่จะเจรจาได้เป็นผลสำเร็จมากที่สุด คือให้กลับไปเก็บที่ประมาณร้อยละ 10 นั้น ก็อาจจะทำให้จีดีพีโตลดลงประมาณร้อยละ 0.3 ก็ยังจะพอทำให้ตัวเลขอยู่ที่ร้อยละ 2 ขึ้นมาได้ ส่วนตัวผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตามมาอีก คือสินค้าส่งออกหลักทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น อุปกรณ์สื่อสาร ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ ยางล้อ เครื่องใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ และการลงทุนก็จะหยุดชะงักลงด้วย ตนเข้าใจว่านักลงทุนตอนนี้ ก็อาจจะยังต้องรอให้ฝุ่นหายตลบก่อน สิ่งต่างๆ ที่เคยขอรับการส่งเสริมจากบีโอไอ หรือผู้ที่ได้บัตรส่งเสริมไปแล้ว ก็อาจจะชะลอการลงทุนทั้งหมด เพื่อที่จะปรับแผน หรือทบทวนแผนการลงทุน ก่อนที่ตัดสินใจลงทุนจริงได้
นางสาวศิริกัญญา มองว่า เรื่องแรกที่ต้องทำอย่างเร่งด่วน คือต้องมีการเรียกร้องให้มีการทบทวนตัวเลข ที่ สหรัฐฯ ระบุว่า เราจัดเก็บภาษีของสหรัฐฯ อยู่ที่ 72% โดยเร่งด่วน และต้องมีการขอร้องให้ทบทวนว่า อาจจะไม่ใช่ตัวเลขแบบนี้ก็ได้ เนื่องจากหากไปดูเรื่องดุลบริการ ต่างๆ อาจจะทำให้ตัวเลขการขาดดุลการค้าที่ไม่ได้ดูเฉพาะสินค้าลดลงมาได้
ด้าน นายวีระยุทธ กล่าวเสริมในผลกระทบด้านอุตสาหกรรม และมาตรการทางออกเรื่องข้างต้นว่า หากดูที่ภาคการผลิต ซึ่งคือการจ้างงาน และจีดีพีปีที่แล้วของไทย ซึ่งตกลงไปต่ำกว่าเป้า อยู่ที่แค่ร้อยละ 2.5 นั้น ส่วนนึงเป็นเพราะเศรษฐกิจหดตัวยังไม่กลับมา และผลหลักๆ มาจากปัจจัยภายใน ในเรื่องของหนี้ครัวเรือนที่สูง ขณะที่กำลังซื้อหด ทั้งยังไม่มีการปล่อยสินเชื่ออีก แต่ยังได้การส่งออกมาช่วยอุ้มพอสมควร
ดังนั้น ในปีนี้ เมื่อเราเจอศึกนอก หรือปัจจัยภายนอก อย่างกำแพงภาษีขึ้นไปอีก จะยิ่งทำให้เราเหนื่อยกว่าเดิม ส่งผลต่อภาคการผลิต และการจ้างงาน เพราะ สหรัฐฯ เป็นตลาดหลักในการส่งออกของเรา หรือเรียกว่าเกือบ 1 ใน 5 ของการส่งออกไทย
นายวีระยุทธ ได้แยกผลกระทบทางตรงและทางอ้อมออกจากกัน สำหรับผลกระทบทางตรงนั้น หมายถึงว่าสินค้าที่เราส่งออกไปเยอะๆ ซึ่งเป็นตลาดหลักของสินค้านั้นๆ เช่น อุปกรณ์ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยางล้อ ที่มีมูลค่ารวมกันหลายแสนล้านบาท จะต้องโดนแน่นอน เพราะจะทำให้สินค้าราคาแพงขึ้น ยอดการสั่งซื้อลดลง หรือแม้แต่อาจจะหายไปเลย
ส่วนผลกระทบทางอ้อม ก็มีความสำคัญ และไม่อยากให้ละเลย จะมีอย่างน้อย 3 ชั้น ชั้นแรกคือ อย่าไปคิดว่าเวลาขึ้นภาษีกับประเทศอื่นแล้วจะไม่เกี่ยวกับเรา เพราะอย่างไรเราก็จะโดนไปด้วย เช่น ประเทศเม็กซิโก ที่เรามีการส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์ไปเป็นหลักหมื่นล้านชิ้น ส่งไปประกอบทีนั่นก่อน แล้วค่อยส่งตัวรถเข้าไปใน สหรัฐฯ ชั้นที่ 2 คือสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่จะส่งผลกับเราเหมือนกัน เพราะว่าเราส่งออกสินค้าขั้นต้น และขั้นกลางหลายตัว เช่น พลาสติก ยางพารา เพื่อไปแปรรูปในจีน แล้วจึงส่งเข้า สหรัฐฯ ชั้นที่ 3 เมื่อตลาดอเมริกาเริ่มปิด ทุกประเทศก็มองหาตลาดใหม่ๆ ทำให้ต้องไปแข่งกันตัดราคา ที่ตลาดอื่นๆ แทน อย่างประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเคยเป็นฐานที่มั่นของเราในการส่งรถออกไปและซัพพลายเชนในไทยเยอะนั้น จะทำให้ออสเตรเลียกลายเป็นฐานที่มั่นใหม่แทน ในการแข่งขันกัน
อย่างไรก็ตาม ตนยืนยันว่าจะต้องมีการเจรจาแน่นอน ถ้าดูจากรายงานของสำนักงานผู้แทนการค้าหรือ ยูเอสอีอาร์ของ สหรัฐฯ เขามองว่า ไทยมีปัญหากีดการค้าใน 4 ข้อ ฉะนั้น เราจึงนำสิ่งนี้มาเป็นประโยชน์ในการเจรจาต่อรอง 1.ไทยเคยกีดกันสินค้าจากสหรัฐฯ กว่า 166 รายการ เช่น สารเร่งเนื้อแดงในเนื้อสัตว์ มีข้อกำหนดเรื่องสุขอนามัย มีโควตาการนำเข้าหลายอย่าง 2.ไทยมีเรื่องสินค้าปลอมแปลงลิขสิทธิ์ และละเมิดลิขสิทธิ์ทางปัญญา 3.ไทยมีข้อจำกัดเรื่องการลงทุนในหลายๆ ธุรกิจและอุตสาหกรรม ซึ่งจำกัดผู้ถือหุ้นต่างชาติเอาไว้ และ4.ไทยมีปัญหาเรื่องสิทธิแรงงานที่ยังไม่ได้มาตรฐาน ไม่มีสหภาพแรงงาน หรือกฎหมายไม่ค่อยยอมรับ
ข้อเสนอแรก ไทยจึงควรมองให้ 4 ข้อข้างต้นเป็นไพ่ในการต่อรอง ไพ่แต่ละใบไม่เหมือนกัน และที่สำคัญคือ เราไม่ควรจะไพ่ในครั้งเดียวทั้งหมดแต่ควรนำมาจัดอันดับความสำคัญ ค่อยๆ ทิ้งไพ่อย่างมียุทธศาสตร์ ทั้งยังมีเรื่องดุลบริการที่ สหรัฐฯ ได้เปรียบไทย ก็ควรจะเอาไปต่อรองเจรจาให้เห็นด้วยเช่นเดียวกัน หรืออะไรที่เมื่อมีการนำเข้าแล้ว ทำให้ผู้ผู้บริโภคไทยได้ประโยชน์ ก็ควรจะนำมาเป็นเครื่องมือต่อรองในการเปิดตลาดด้วย
ข้อที่ 2 ที่สำคัญกว่า คืออย่าไปมุบมิบเจรจา ขอเรียกร้องให้มีการเปิดเผยข้อมูลสำหรับผู้ที่จะได้และผู้ที่จะเสียประโยชน์ จากการที่เราเอาอะไรไปต่อรองเข้าสู่สาธารณะให้ชัดเจน พร้อมทั้งเยียวยารับมือกับผู้ที่จะเสียผลประโยชน์ ซึ่งมักจะเป็นคนตัวเล็กตัวน้อย
ข้อเสนอที่ 3 ต้องเจรจาแยกแต่ละประเทศ เพราะมีข้อจำกัดไม่เหมือนกัน
"อยากชวนให้ฝ่ายยุทธศาสตร์ของเรา คิดถึงมาตรการในอนาคต ที่ไม่ได้มีแค่จีนกับอเมริกาไว้ด้วย เพราะในอีก 2-3 ปีข้างหน้า สงครามการค้ามันเพิ่มขึ้นแน่นอน เราต้องพยายามคิดแผนซัพพลายเชนใหม่ทั้งหมดในระยะยาว และใช้ข้อได้เปรียบจากพื้นที่สงครามการค้าตรงนี้มาเป็นส่วนประกอบที่เป็นประโยชน์กับเรา หรือจะทำให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของซัพพลายเชนใหม่ของเราได้อย่างไร"
ขณะที่ นายสิทธิพล กล่าวถึงข้อเสนอที่ 4 กรณีสินค้าจีน ล้นตลาดมากกว่าเดิม ซึ่งมีผลกระทบในอีกมุมหนึ่งจากสงครามการค้าที่กำลังเกิดขึ้นนี้ ว่า เรื่องสำคัญมาก และจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเศรษฐกิจไทย ถ้าพูดง่ายๆ วันนี้เรากำลังมีสงครามเกิดขึ้นทั่วโลก ขณะเดียวกันรั้วของบ้านเราดีหรือยัง เนื่องจากสินค้าจีนหรือสินค้าจากทุกประเทศที่โดนขึ้นภาษีนั้น มีแนวโน้มที่จะต้องหาตลาดใหม่ๆ และส่วนหนึ่งก็จะไหลมาที่ประเทศไทย
ดังนั้น สิ่งที่ผู้ประกอบการไทย ต้องเตรียมรับมือ เพราะครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งแรกที่เงินหยวนอ่อนค่าลง หากไม่ทำอะไร ประเทศไทยจะขาดดุลมากขึ้น และผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมที่เสี่ยงก็มักจะเป็นพวกรายเล็กรายน้อย อย่าง SMEs ที่ปัจจุบันก็ค้าขายยากอยู่แล้ว โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงที่รัฐบาลควรต้องเตรียมการช่วยเหลือ เช่น กลุ่มเฟอร์นิเจอร์ เสื้อผ้าและเครื่องนุ่งห่ม ผลิตภัณฑ์ยาง พลาสติก เหล็ก และผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเด็ก ซึ่งมีแนวโน้มที่จะโดนผลกระทบจากการแข่งขันอย่างรุนแรงในปีนี้
นอกจากนี้ สิ่งที่ตนอยากจะสื่อสารถึงรัฐบาล คือในเมื่อรัฐบาลได้มีหลายมาตรการที่เคยสื่อสารออกมานานแล้ว ว่าจะเตรียมรับมือสินค้าจีน ที่มีปัญหาในเชิงคุณภาพ หรือราคา แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ถูกนำมาใช้ ไม่มีผลอย่างเป็นรูปธรรม ตนจึงอยากให้รัฐบาลมิงถึงความจำเป็นต้องกลับไปขับเคลื่อนให้เกิดผล 5 เรื่อง
ประเด็นแรก เรื่องการกำกับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับแพลตฟอร์ม ที่รัฐบาลเคย ระบุ จะกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์จากต่างชาติ ให้ต้องจดทะเบียนนิติบุคคลในประเทศไทย เพื่อให้ภาครัฐสามารถกำกับดูแลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะในเชิงการเก็บภาษี หรือในเชิงการควบคุมคุณภาพสินค้า วันนี้ยังไม่ถูกปฏิบัติ
ประเด็นที่ 2 การให้ผู้ประกอบการแพลตฟอร์มต้องมีส่วนรับผิดชอบ หากปล่อยให้มีสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานอยู่บนแพลตฟอร์ม ประเด็นนี้ก็ยังไม่ออกมาเป็นกฎหมาย
ประเด็นที่ 3 มาตรการตอบโต้ทางการค้า ไม่ว่าจะเป็นการตอบโต้การอุดหนุนอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งผู้ประกอบการจำนวนมาก ที่รู้สึกถึงความไม่เป็นธรรม แต่ไม่สามารถเข้าถึงการบังคับใช้มาตรการนี้ได้ เพราะกระบวนการมีความยุ่งยาก ซับซ้อน ต้นทุนสูง รัฐบาลก็ควรกลับไปจัดการให้พวกเขาสามารถเข้าถึงมาตรการได้ดีขึ้น
ประเด็นที่ 4 เรื่องการกำหนดมาตรฐานบังคับของ สมอ. ที่เรียกว่า มอก.บังคับ ที่รัฐบาลพูดเสมอว่า จะเพิ่มจำนวนมาตรฐานบังคับ เพื่อกำกับสินค้าให้ได้มากขึ้น แต่ถึงวันนี้ เข้าใจว่ามีการเพิ่มมาแค่มาตรฐานเดียว
ประเด็นที่ 5 ซึ่งตนมองว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน รัฐบาลจำเป็นต้องป้องกันการสวมสิทธิ์ของสินค้าต่างชาติ โดยเฉพาะสินค้าจีน เพราะที่ผ่านมามีการนำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้น โดยเข้ามาเพื่อใช้สิทธิ์ในการส่งออก นำวัตถุดิบจากจีนมาผลิต มิเช่นนั้น ผู้ประกอบการไทยจะได้รับผลกระทบไปด้วย
และสุดท้าย สิ่งที่อยากจะสื่อสารไปยังรัฐบาล คือวันนี้สินค้าต่างๆ ที่เข้ามาได้ เพราะประตูบ้านเราอาจไม่เข้มแข็ง กรมศุลกากรที่มีหน้าที่ตรวจจับสินค้าต่างๆ แม้ว่าจะบอกว่าได้ตรวจสอบเพิ่มมากขึ้นในหลายช่องทางแล้วก็ตาม แต่การที่เรายังมีสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานในประเทศจำนวนมาก และเป็นระดับร้านค้าชุมชนนั้น ก็สะท้อนถึงความไม่มีประสิทธิภาพของรัฐบาล ในการกำกับดูแล
"วันนี้สงครามกำลังเกิดขึ้นทั่วโลก วันนี้เราต้องมาดูประตูบ้านของเรา ว่ามีความเข้มแข็งเพียงพอหรือไม่ ในการดูแลผู้ประกอบการไทย และดูแลผู้บริโภคของเรา"
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะต้องมีการหารือเรื่องนี้ในสภาหรือไม่ นางสาวศิริกัญญา ระบุว่า จริงๆ แล้ว เราอยากให้มีการเปิดเป็นญัตติด่วนด้วยซ้ำ ในวันที่ 9 เมษายนที่จะถึงนี้ แต่ก็คงจะต้องสู้รบปรบมือกับทางฟากฝั่งของรัฐบาล เนื่องจากอย่างที่เราทราบกันดีว่า ตอนนี้กำลังจะมีการเลื่อนวาระ เพื่อที่จะนำร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สถานบันเทิงครบวงจร หรือเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ เข้ามาสู่การพิจารณาในวันที่ 9 เมษายน ซึ่งเราคิดว่าเรื่องนี้ เป็นเร่งด่วนกว่ามาก และก็สมควรที่จะต้องมีการพูดคุยกันอย่างเปิดเผย ไม่มีการมุบมิบ เพราะปลกระทบที่เกิดกับไทยนั้นรุนแรงกว้างขวางขวางมาก
ดังนั้น หากเราจะนำเข้าให้เร็วที่สุด ก็คงจะต้องมีการประสานการทำงานกับคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) เช่นเดียวกัน แต่ถ้าไม่ได้ ก็คิดว่าทางคณะกรรมาธิการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร ก็คงจะรับเรื่องนี้ไปพิจารณากันต่อ
แม้ก่อนหน้านี้ มีความพยายามที่จะเข้าไปเจรจากับทางผู้แทนการค้าของสหรัฐฯ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์แล้วก็ตาม แต่เราก็ยังโดนเก็บภาษีอยู่ดี ถ้าร้ฐบาลจะสร้างความมั่นใจจริงๆ ก็คงจะต้องมีรายละเอียดอะไรเพิ่มเติม เพื่อให้ประชาชนเชื่อได้จริงๆ ว่า สามารถที่จะรับมือได้ และมีไพ่ในมือเพียงพอที่จะไปเจรจาต่อรองกับ สหรัฐฯ ได้ ย้ำว่า ยังมีประชาชน ผู้ประกอบการ.SMEs อีกมากมาย ที่อาจจะไม่สามารถรับมือกับความโกลาหลปั่นป่วนที่อาจจะเกิดขึ้นนี้ได้ จึงจำเป็นที่จะต้องมีการช่วยเหลือจากทางภาครัฐ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'กธ.' เอาคืน! ยื่นสภาฟันจริยธรรม 'ยอดชาย' จ่อร้อง ป.ป.ช.-กกต. ถอดถอน
'ไผ่' ร้องสภาฯ สอบจริยธรรม 'ยอดชาย' พูดเท็จ ซื้อตัวสส. 55 ล้าน ถ้าจริงกลับเพิกเฉยไม่แจ้งความ สัปดาห์หน้าเตรียมยื่น ป.ป.ช.-กกต. เอาผิด มั่นใจถึงขั้นถอดถอนแน่ 'รองปธ.สภา' ชี้บทเรียนอารมณ์พาไป
นักวิชาการ ยกเคส 'สส.กฤษฎิ์' ย้อน 'พรรคส้ม' ทรยศปชช.นโยบายประมง คนไม่เท่ากัน
นายวรา จันทร์มณี เลขาธิการเครือข่ายประชาชนพิทักษ์สิทธิเสรีภาพและความเป็นธรรม นักวิชาการอิสระด้านสังคมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่า
'ทรัมป์' ชื่นชมประธานาธิบดีซีเรียอย่างออกหน้า
ภายหลังการประชุมกับ อาห์เหม็ด อัล-ชารา ผู้นำรักษาการของซีเรีย ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้กล่าวอย่างอารมณ์ดีเกี่ยวกับอดีตนัก
โฆษกกล้าธรรมเย้ย ปชน.ถ้าย้ายขั้วแล้วดูแลพี่น้องในพื้นที่ดีกว่าเดิมก็ย้ายเถอะ
โฆษก กธ. ลั่น อุดมการณ์ซื้อขายกันไม่ได้ บอก ไม่ได้มีแค่ ปชน. ขอย้ายเข้าสังกัดกล้าธรรม
'สังศิต' ตีแผ่ 5 ความคิดและปรัชญาของทรัมป์และสี จิ้นผิง
รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา
'เท้ง' อัด 'ธรรมนัส' ดูด สส. เอาไปต่อรองเก้าอี้ครม. ท้าเปิดชื่องูเห่าเพิ่ม เจ้าตัวจะได้ชี้แจง
'หัวหน้าเท้ง' ท้า 'ธรรมนัส' หากมั่นใจข้อมูล เปิดชื่อมา ถามกลับ ใช้วิธีดูด สส.แบบนี้เหมาะสมหรือไม่ ตอบ ไม่รู้ คนปล่อยมีเจตนาอะไร เหตุ 'ปชน.' ไม่เสียหายเลย เผย หน่วยงานแรก ที่ยื่นตีความหนังสือยุติบทบาท คือ 'กกต.' มอง คงตอบแทน 'ทสท.' ไม่ได้ เชื่อ ไม่กระทบ 'พรรคร่วมฝ่ายค้าน' ชี้ หากมีคนร้องจริยธรรม 'ยอดชาย' คงแจงเอง