อดีตบิ๊ก ศรภ.สะกิดคนชั้นกลางอย่านิ่งดูดายเรื่องการเมือง

พล.ท.นันทเดชวิเคราะห์นิด้าโพล ชี้ชัดปัจจัยที่ทำให้เพื่อไทย-ก้าวไกลผลัดกันขึ้นที่ 1 และ 2 สะกิดคนชั้นกลางหากยังคิดว่าการเมืองเป็นเรื่องไกลตัวระวังเหตุเลวร้ายจะเกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก

04 พ.ค.2566 - พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊กว่า การเมืองเป็นเรื่องของทุกๆ คน มาดูเหตุผลที่คนชั้นกลางต้องตื่นตัว ออกมาเลือกตั้งให้มากๆ เข้าไว้

ทำไมโพลนิด้าที่พยายามวางตัวเป็นกลางอย่างเต็มที่แล้ว ยังได้ผลออกมาชี้ซ้ำติดต่อกัน 3 ครั้งแล้วว่า “พรรคเพื่อไทย กับ ก้าวไกล ผลัดกันชนะที่ 1 และ 2”

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ผลโพล เป็นเช่นนี้น่าจะมาจากการทำโพลต่างๆ มักได้ข้อมูลจากผู้ตอบแบบสอบถาม ที่เป็นผู้หาเช้ากินค่ำ เกือบ 75% ซึ่งอาจไม่มีเวลามาศึกษานโยบายของพรรคการเมืองต่างๆ มาใช้เป็นฐานในการรวบรวมข้อมูล ผลโพลจึงน่าจะมีโอกาสผิดพลาดสูง เมื่อถึงเวลาการลงคะแนนจริงๆ

ผู้ที่ตอบแบบสอบถามจำนวน 2,500 คนของโพลนิด้า(NIDA Poll ศึกเลือกตั้ง 2566 ครั้งที่ 3) นั้น มีการจำแนกรายได้ต่อเดือนของผู้ตอบแบบสอบถาม ออกได้ ดังนี้

1.ผู้ที่ไม่มีรายได้เลย 560 คน 2.ผู้ที่มีรายได้ไม่เกิน 1 หมื่นบาท จำนวน 505 คน 3.ผู้ที่มีรายได้ระหว่าง 1-2 หมื่นบาท 774 คน (อนึ่ง ผู้ตอบแบบสอบถามในข้อ 1 อาจรวมถึงนักศึกษาที่เป็น new voter ซึ่งยังไม่ได้ทำงานและมีรายได้ประจำด้วย)

ผู้ตอบแบบสอบถามทั้ง 3 กลุ่มนี้รวมคนได้เกือบ 72 %เข้าไปแล้ว จึงถือว่า เป็นกลุ่มความเห็นหลัก ต่อการกำหนดทิศทางของโพล

มาดูต่อถึงจุดสำคัญ คือ ความคิดเห็นทางการเมืองของบุคคลใน 3 กลุ่มดังกล่าว (กลุ่มที่ 1, 2 และ 3) น่าจะเชื่อไปตาม การโฆษณาหาเสียงของพรรคต่างๆ เป็นส่วนใหญ่ รวมถึงการเชื่อฟังหัวคะแนนอีกด้วย เพราะเวลาประจำวันที่มีอยู่ ต้องถูกใช้ไปในการประกอบอาชีพอย่างเต็มที่ โอกาสที่จะ “พิจารณาข้อดี-ข้อเสีย” ของพรรคการเมืองต่างๆ จึงอาจจะมีน้อยกว่าบุคคลทั่วไป การให้ความเห็นจึงเป็นไปตามผลจากการโฆษณาชวนเชื่อของพรรคการเมือง และหัวคะแนนเกือบทั้งหมด

ส่วนกลุ่มบุคคลที่มีรายได้พอเลี้ยงครอบครัว และมีเวลาที่จะให้ความสนใจเรื่องการเมือง จะอยู่ในกลุ่มที่ 4.รายได้ระหว่าง 2-3 หมื่นบาท 261 คน 5.รายได้ระหว่าง 3-4 หมื่นบาท 98 คน และ 6.รายได้เกิน 4 หมื่นบาทขึ้นไป 98คน ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากผลการเลือกตั้งเป็นกลุ่มแรก ถ้าได้รัฐบาลไม่ดี แต่ก็มีจำนวนน้อยกว่า 3 กลุ่มแรกมาก ดังนั้น ผลโพลจึงออกมาในลักษณะเช่นนี้ ตามการให้ข้อมูลของกลุ่มที่ 1-3 ที่มีจำนวนคนมากที่สุดนั่นเอง

จากปัจจัยที่ทำให้เกิดผลโพลในลักษณะนี้ การจะไปชี้แจงให้กลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามในข้อ 1-3 ให้มาเข้าใจเรื่องการเมืองที่ถูกต้อง คงทำได้ยาก และถ้ากลุ่มคนชั้นกลางไม่ตื่นตัวทางการเมืองซ้ำเข้าไปอีก หรือเห็นว่า“ใครจะมาก็ไม่เกี่ยวข้องกับตัวฉัน” จนไม่ออกมาเลือกตั้งให้มากๆแล้ว จะเกิดอะไรขึ้น ก็อย่าเสี่ยงไปลองดูเลยครับ

อย่างไรก็ตาม ผมยังเชื่อว่า ไม่ว่าผู้ตอบแบบสอบถามจะอยู่ในกลุ่มใด (ของนิด้าโพล) ก็น่าประสบปัญหาทางการเมืองที่ไม่ดีมาไม่มากก็น้อย เพราะการเมืองเป็นเรื่องใกล้ตัวทุกคน ทุกวัย คงไม่มีใครอยากที่จะเจอสภาพที่เลวร้ายซ้ำแล้วซ้ำอีกครับ

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

จ่อชงร่างพรบ.สร้างเสริมสังคมสันติสุขเข้าสภาฯ นิรโทษคดีการเมือง เว้นคดี 112-ทุจริต-อาญาร้ายแรง

รวมไทยสร้างชาติ-พรรคร่วมรัฐบาล ยกร่างพรบ.นิรโทษกรรม เตรียมเสนอเข้าสภาฯ ประกบร่างพรรคก้าวไกล โดยใช้ชื่อร่างพรบ.สร้างเสริมสังคมสันติสุขฯ นิรโทษกรรมคดีชุมนุมทางการเมืองให้กับแกนนำ ประชาชน และแนวร่วมทั้งคดีแพ่ง-อาญา แต่ไม่พ่วงคดี112-ทุจริต-อาญาร้ายแรง

9 ธันวารู้เรื่อง 'เดียร์' ปล่อยคลิปปลุกปชป.ฟื้นศรัทธา-อุดมการณ์!

'มาดามเดียร์' ปล่อยคลิปหลังเปิดตัวชิงหัวหน้าปชป. ปลุกชาวประชาธิปัตย์ทั่วประเทศ ฟื้นฟูศรัทธา-อุดมการณ์ สร้างการเมืองที่เป็นธรรมและเท่าเทียม กลับมาเป็นสถาบันการเมืองที่ยั่งยืนอีกครั้ง

'วรชัย' หนุนนิรโทษกรรม แนะก้าวไกลคุยให้ครบทุกพรรค อย่าเอาหน้าพรรคเดียว

นายวรชัย เหมะ ที่ปรึกษาของรองนายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม ของพรรคก้าวไกล ว่า สถานการณ์ของประเทศ

'เอี่ยม' จุก! 'โรม' ชี้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์จากนิรโทษฯ แม้แต่คนของเพื่อไทยที่ไม่มีสิทธิพิเศษเหมือนเทวดาชั้น 14

นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล เดินสายพูดคุยเรื่องแนวทางนิรโทษกรรมกับอดีตพระพุทธอิสระ ในทำนองว่า การนิรโทษกรรมควรเป็นการดำเนิน

ความสับสนทางการเมือง

(ข้อเขียนนี้เขียนและเผยแพร่ครั้งแรก เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2551) วิกฤติการเมืองไทยในช่วง พ.ศ. 2549-2551 ได้ก่อให้เกิดความสับสนทางการเมืองอย่างหนัก ความสับสนที่เห็นได้ชัดประการแรกคือ