'จตุพร' เตือนระวัง 'ชนวนพิธา' เปิดประตูรัฐประหารรอบใหม่หากไม่ยอมรับผิดปมถือหุ้น

'จตุพร' ส่งสัญญาณปมถือหุ้นสื่อบานปลายกลายเป็น 'ชนวนพิธา' ก่อแตกแยกรุนแรงครั้งใหญ่ ลามเปิดช่องยึดอำนาจ เตือนถอดชนวนรุนแรงด้วยตัวเองถ้าเป็นคนจริง อย่าหวังนำอารมณ์มวลชนโหมเผชิญหน้า

08 มิ.ย.2566 - นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน บ่วง!!เมื่อวันที่ 7 มิ.ย.2566 โดยประเมินว่า สถานการณ์ทางการเมือง ซึ่งมีจุดเริ่มต้นจากนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ถือหุ้นสื่อไอทีวี จะกลายเป็นชนวนพิธาอาจนำประเทศไปติดบ่วงการยึดอำนาจซ้ำซาก และเชื่อว่าชนวนพิธาจะทำให้สังคมเกิดความแตกแยกรุนแรงครั้งใหญ่ เนื่องจากประชาชนฝ่ายสนับสนุนพรรคก้าวไกลใช้อารมณ์ความรู้สึกมาตัดสินคดีการถือหุ้นสื่อ ซึ่งเป็นกติกาคุณสมบัติจึงควรใช้กฎหมายมากำหนดความชี้ขาด

“นายพิธาควรยอมรับความจริงกับคุณสมบัติสมัคร ส.ส.ได้ฝ่าฝืนกฎหมาย ซึ่งเท่ากับเป็นการถอดชนวนความแตกแยกรุนแรงด้วยตัวเอง”

นายจตุพร กล่าวว่า การยึดอำนาจแต่ละครั้งในอดีตส่วนใหญ่มาจากสาเหตุหลัก 4 ประการคือ 1.ความแตกแยก 2.ทุจริต 3.การแทรกแซงองค์กรอิสระหรือหน่วยงานรัฐ และ 4.หมิ่นสถาบัน สิ่งสำคัญในครั้งนี้การถือหุ้นสื่อของนายพิธาอาจเป็นจุดตั้งต้นทำให้เกิดความรุนแรงขึ้น แล้วลุกลามไปเปิดประตูให้มีการยึดอำนาจด้วยการอ้างการหมิ่นสถาบัน จึงต้องออกมาปกป้องรวมทั้ง ซึ่งในกรณีการถือหุ้นนั้น นายพิธามีสิทธิสู้คดี แต่การสู้ต้องยอมรับผลของคดีด้วย เพราะตัวเองได้ตัดสินใจเข้าไปเล่นในกติกามาตั้งแต่ต้นแล้ว เมื่อพลาดต้องยอมรับว่าพลาด อย่างไรก็ตามการถือหุ้นสื่อ ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย แต่กฎหมายห้ามนักการเมืองถือ ดังนั้นเมื่อตัดสินใจเล่นเกมแล้วต้องยอมรับชะตากรรมตามกฎหมาย

“เรื่องนี้จะนำพาไปสู่ความแตกแยกใหญ่ เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อาจรับรอง ส.ส.เบื้องต้น ก็คงส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญ และศาลคงใช้หลักการเดียวกัน โดยสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. ซึ่งปลายทางหนีไม่พ้น เพราะเส้นทางเป็นเช่นนี้ ส่วนศาลจะวินิจฉัยผลลัพธ์อย่างไรก็เป็นอีกขั้นตอนหนึ่งว่าจะลามไปกระทบ ส.ส.ที่ได้รับรองไปหรือไม่”

นายจตุพร กล่าวว่า หาก กกต.แจกใบเหลือง แดง ส้ม หรือดำว่าที่ ส.ส.เกิน 25 คนแล้ว จะเหลือ ส.ส.ไม่ถึงเกณฑ์ 95% หรือ 475 คนจาก 500 คน ก็ไม่สามารถเปิดประชุมสภาได้ จึงอยู่ที่ กกต.จะคิดอ่านกันอย่างไร แต่ทุกอย่างต้องแล้วเสร็จก่อน 13 ก.ค.นี้ ดังนั้นหลังจากกลางเดือน มิ.ย.นี้ กกต.คงทยอยรับรอง ส.ส. แต่เรื่องนายพิธายากที่จะได้ไปถึงวันเปิดประชุมสภาครั้งแรก เพื่อเริ่มขั้นตอนในลำดับถัดไป ดังนั้นนายพิธา คงต้องทำใจให้ได้ เพราะเมื่อนายพิธาติดบ่วงการถือหุ้นสื่อแล้ว ย่อมเกิดเหตุใหญ่กับตำแหน่งประธานสภา ซึ่งอาจไม่ใช่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ที่ต้องการเป็นตำแหน่งนี้เสียแล้ว แต่อาจเป็น ส.สมศักดิ์ หรือ ส.สุชาติ ที่ทั้งสองคนย้ายมาจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เนื่องจากเกี่ยวข้องกับการเลือกนายกรัฐมนตรีในสถานการณ์ประเทศเผชิญหน้ากับความแตกแยกรุนแรง
“ถ้ามีการแหวกขั้ว ซึ่งเป็นทางเดียวที่จะตั้งรัฐบาลได้แล้ว พรรค 141 เสียงต้องย้ายขั้วไปหาฝ่าย 188 เสียงเพื่อตั้งรัฐบาลขึ้นมาแทนที่ ถึงที่สุดความขัดแย้งต้องเกิดขึ้นมากหรือน้อยแตกต่างกันไป เพราะจุดเริ่มมาจากคุณสมบัติของนายพิธา หากพรรคก้าวไกลถูกทิ้งไว้เป็นฝ่ายค้านแล้ว สถานการณ์ทางการเมืองจะลุกลามขึ้นไปอีก”

นายจตุพรเชื่อว่า การแตกแยกครั้งนี้จะลุกลามครั้งใหญ่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะสบายตัวที่สุด ถ้าเลือกทางรับผิดชอบลาออกจากนายกฯ และรัฐบาลรักษาการเพื่อรับผิดชอบมติ ครม.ออกพระราชกำหนดเลื่อนการอุ้มหาย ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าขัดรัฐธรรมนูญ และเมื่อเกิดการยึดอำนาจ ข้ออ้างการกระทบต่อสถาบันกษัตริย์ จะนำมาใช้เป็นเหตุในการยึดอำนาจ แต่จะทำให้คนอีกฝ่ายหนึ่งทนไม่ได้ก็ออกมาเผชิญหน้า ดังนั้น ใครจะคิดอย่างไรย่อมหนีไม่พ้นการเผชิญหน้าความรุนแรง

“หากนายพิธา ยอมรับความจริงเสียก่อน มันก็จบแค่นายพิธา ถ้ายอมรับไม่ได้ก็จะเป็นชนวนพิธา ทำให้เกิดการลุกลามขึ้นในสังคม จึงเป็นสถานการณ์เปราะบางมาก ถ้าเหตุการณ์เกิดขึ้นการประชุมสภาก็ไม่ได้ประชุม และอาจรุนแรงลามถึงขั้นเลือกประธานสภาและเลือกนายกฯ ไม่ได้ด้วย”

นายจตุพร กล่าวว่า การเสียสละตนเองเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่สุด เมื่อตนเองกินแดนเข้าไปสู่ข้อห้ามทางกฎหมาย ก็ต้องยอมรับความจริง และต้องกล้าประกาศออกมา แต่ถ้ามีความเชื่อว่า จะมีมวลชนออกมาต่อสู้ แต่จะกลายเป็นว่า ไปเปิดประตูให้อีกฝ่ายหนึ่งได้ ดังนั้น สถานการณ์ในอนาคตจึงย่อมมาจากเหตุการณ์ชนวนพิธาเป็นสิ่งกำหนดความรุนแรงขึ้น นอกจากนี้หากคิดไม่ยอมรับความจริงกันแล้ว จะไม่มีทางได้เริ่มต้นแบบปกติ และใครที่นั่งแบ่งกระทรวง ท้ายที่สุดจะไม่ได้อะไรเลย อย่างไรก็ตามถ้า 312 เสียง กับ 188 เสียง และ ส.ว. อีกทั้ง ศาลรัฐธรรมนูญกับ กกต. ถ้าทั้งหมดนี้ยึดมั่นในหลักศักดิ์ศรีเป็นคนจริง ประเทศก็ตั้งรัฐบาลไม่ได้ ก็ต้องอยู่กันแบบนี้

“ถึงที่สุดประเทศนี้ไม่มีคนจริงสักคน แต่มีคนโหลยโท่ยไปทำในสิ่งที่แย่ ดังนั้น ทุกอย่างทางการเมืองจึงอยู่ที่คน แม้มีระบบที่ดี แต่คนเฮงซวยแล้ว ก็จะมีปัญหาอีก การจะมาจากแต่งตั้งหรือเลือกตั้ง ถ้าชั่วก็เป็นเหมือนกัน และประเทศย่อมฉิบหายไม่แตกต่างกัน”นายจตุพรกล่าวและหวังว่า นายพิธาจะเสนอความเป็นจริง ออกมายอมรับการฝ่าฝืนกติกาข้อห้ามสมัคร ส.ส. ซึ่งจะเกิดประโยชน์กับตัวเอง แต่ถ้าคิดว่าจะให้มีสงครามแล้วเกิดประโยชน์กว่าก็เดินหน้าตามตั้งใจ ซึ่งอยู่ที่ต้องคิดกันเอาเอง

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ไม่ได้ปาดหน้า! 'พิธา' ตั้งใจมาเชียงใหม่จริง ลั่น ก.ก.ได้อันดับ 1 ต้องช่วยกันทำงาน

'พิธา' รับตั้งใจมาเชียงใหม่จริง แต่ไม่ได้ปาดหน้า 'ทักษิณ' ยัน ไม่มีนัยยะการเมือง มองกระแสพื้นที่ ไม่มีใครเป็นเจ้าถิ่น ลั่น 'ก้าวไกล' ได้รับคะแนนความไว้วางใจได้ สส.มากเป็นอันดับ 1 ก็ต้องช่วยทำงาน​

ชำแหละ! งบดิจิทัล ผ่องถ่าย 5 แสนล้านเข้ากระเป๋านายทุนใหญ่ แต่สุดท้ายทำไม่ได้

'จตุพร' ชำแหละงบดิจิทัลแจกเงินหมื่นบิดเบี้ยว เชื่อผ่องถ่าย 5 แสนล้านเข้ากระเป๋านายทุนใหญ่ชดเชยกำไรหดหาย ไม่ใช่การกระตุ้น ศก. ซัดใช้เงิน ธกส.ผิดวัตถุประสงค์ คาดมีแถลงใหม่อีกรอบเป็นครั้งที่ 7 แล้วเปลี่ยนใหม่อีก สุดท้ายทำไม่ได้

'ธนกร' ติง 'ชัยธวัช' พูดส่งเดช ปม ศาลรธน.ไม่มีอำนาจยุบพรรค

“ธนกร” ติง “ชัยธวัช” เป็นถึงทนายควรดูข้อกม.ให้ชัด อย่าพูดส่งเดช ปม ศาลรธน.ไม่มีอำนาจยุบพรรค มอง ตั้งใจลดทอนความเชื่อมั่นปชช.ต่อศาล ถาม มีเจตนาแอบแฝงหรือไม่ ชี้ ใครทำผิดต้องยอมรับ ขออย่าก้าวล่วง

ฝ่ายค้านกู้ศรัทธา? 'พิธา' บอกลาสภา

การอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ระหว่างวันที่ 3-4 เม.ย.ที่ผ่านมา ถือเป็นเวทีของฝ่ายค้านนำโดยพรรคก้าวไกล และพรรคประชาธิปัตย์ ซ้อมใหญ่ก่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจในสมัยประชุมสภาหน้าตามรัฐธรรมนูญ 151

‘พิธา’ ชี้ยุบพรรคคือการติดเทอร์โบให้พรรคที่ถูกยุบ ได้แต้มต่อเลือกตั้งครั้งหน้า

ที่โรงแรมเมเปิ้ล นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล และ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมใหญ่สามัญ ประจำปี 2567 วันนี้ ถึงการอภิปรายทั่วไปตาม ม.152