'นักประวัติศาสตร์' ชำแหละ 'ก๊วนล้มเจ้า' ปลุกระดมบิดเบือนประวัติศาตร์ สร้างข่าวลือตั้งแต่ ร.1 ถึง ร.10

'นักประวัติศาสตร์'เบิกเนตร ซัดคณะก้าวไปล้มล้างปกครอง ปลุกระดมบิดเบือนประวัติศาตร์สร้างข่าวลือสารพัดตั้งแต่ร.1 โยนบาปให้ร้ายป้ายสีในหลวงร.9 จนถึงก่อน ร.10 จะครองราชย์สมบัติ

14 ม.ค.2565- นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก มีเนื้อหาดังนี้

“ฆ่าพี่ให้ชีพวาย ฆ่าน้องให้ตายทั้งเป็น”
............................................................................
เรื่องลูกฆ่าพ่อ น้องฆ่าพี่ พี่น้องตีกัน เพื่อแย่งอำนาจ คือเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ในยุคโบราณ ซึ่งเกิดขึ้นทั้งในราชสำนักของไทย จีน ฝรั่ง
คณะก้าวไปล้มล้างปกครอง นำประวัติศาสตร์มาตกแต่งสร้างข่าวลือต่างๆนานาสารพัด
เช่น สร้างข่าวลือว่า แม่ของ ร.3 วางแผนฆ่า ร.2 เพื่อชิงบัลลังก์เจ้าฟ้ามงกุฎให้ลูกชายของตนได้เป็น ในหลวงรัชกาลที่ 3
สร้างข่าวลือว่า ร.9 ฆ่าพี่ชาย ร.8 โดยช่วงแรกสร้างข่าวลือว่าแม่และน้องชายวางแผนร่วมกันฆ่าพี่ชาย แต่ความไม่สมเหตุสมผลนั้นสูงมาก
พอไม่ได้ผล ก็เปลี่ยนเป็น พี่น้องชอบเล่นปืน แล้วพลาด
ต่อมาจับพี่ชายกับน้องสาวเป็นคู่เปรียบเทียบ ให้พี่ชายรับบทวายร้ายและน้องสาวเป็นแม่พระ โดยน้องสาวโดนพี่ชายกระทำต่างๆ นานๆ
แต่ความย้อนแย้งของคณะก้าวไปล้มล้างปกครองคือ การที่พวกเขาปลุกระดมมวลชนและเยาวชนว่าประวัติศาสตร์ชาติไทยที่สอนในโรงเรียนถูกบิดเบือนมาตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ด้วยคำว่า ผู้ชนะเขียนประวัติศาสตร์
เขาเริ่มให้ร้ายราชวงศ์จักรีตั้งแต่ปฐมกษัตริย์ ว่ารัชกาลที่ 1 ปฏิวัติสมเด็จพระเจ้าตากสิน แล้วเขียนประวัติศาสตร์เข้าข้างตัวเอง ต่อมาก็มีการแข่งขันแย่งชิงราชสมบัติ ซึ่งไม่เป็นความจริงแม้แต่ตัวอักษรเดียว
อัษฎางค์ ยมนาค จะมาเปิดเนตร
............................................................................
การแข่งขัน แย่งชิงและเข่นฆ่ากันระหว่างพ่อลูก พี่น้อง ในราชสำนักนั้นมีอยู่จริง แต่มีอยู่ในเฉพาะสมัยกรุงศรีอยุธยาเท่านั้น
เมื่อรัชกาลที่ 1 สวรรคต รัชกาลที่ 2 ขึ้นครองราชย์โดยเอกฉันท์ ในฐานะวังหน้ามหาอุปราชองค์รัชทายาท
เมื่อรัชกาลที่ 2 สวรรคต เจ้าฟ้ามงกุฎซึ่งเป็นเจ้าฟ้าพระองค์ใหญ่ ยังไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นวังหน้ามหาอุปราชองค์รัชทายาท เพราะอายุเพิ่งครบบวชและเพิ่งบวช
เหล่าสภาขุนนางและพระบรมวงศานุวงศ์ ลงมติในที่ประชุมว่า พระโอรสองค์โต ซึ่งมีผลงานมากมายมานานสมควรไปครองราชสมบัติ
การเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยเกิดขึ้นในราชสำนักสยามตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
เมื่อรัชกาลที่ 4 สวรรคต เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ยังทรงพระเยาว์ ยังไม่ได้รับการสถาปนาเป็นวังหน้ามหาอุปราชองค์รัชทายาท
ก่อนสิ้นลมรัชกาลที่ 4 ตรัสกับสภาขุนนางและพระบรมวงศานุวงศ์ว่า ถ้าเห็นว่าผู้ใดเหมาะสมให้ตั้งผู้นั้นเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ต่อไป โดยไม่ได้ระบุชื่อพระราชโอรสองค์โต
เหล่าสภาขุนนางและพระบรมวงศานุวงศ์ ลงมติในที่ประชุมว่า พระโอรสองค์โตเหมาะสมกับการครองราชบัลลังก์
การเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยเกิดขึ้นอีกครั้งในราชสำนักสยามตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
............................................................................
เมื่อรัชกาลที่ 5 ครองราชย์สมบัติ ได้ทรงมีพระราชดำริว่า ตำแหน่ง พระราชวังบวรสถานมงคล หรือวังหน้า เป็นตำแหน่งพระมหาอุปราช ซึ่งถือเป็นตำแหน่งรัชทายาท ที่มีมาตั้งแต่อยุธยานั้น มีกฏเกณฑ์ไม่ชัดเจน คือบางคราวก็เป็นพระอนุชา บางครั้งก็เป็นพระราชโอรส จึงทำให้เกิดการแข่งขัน แย่งชิงและเข่นฆ่ากัน เพื่อแย่งชิงราชสมบัติ
พระองค์จึงให้ยกเลิกตำแหน่งพระราชวังบวรสถานมงคล หรือตำแหน่งพระมหาอุปราชนั้นเสีย แล้วริเริ่มให้มีตำแหน่ง สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เป็นตำแหน่งขององค์รัชทายาท ที่จะตั้งจากพระราชโอรสพระองค์โตเท่านั้น ตามแบบนานานอารยประเทศ
เมื่อรัชกาลที่ 6 ครองราชย์สมบัติ ได้ทรงริเริ่มการเขียนพินัยกรรมเพื่อมอบราชสมบัติ พร้อมทั้งกำหนดลำดับการสืบสันติวงศ์เป็นกฎหมายอย่างชัดเจน

ก่อนเมื่อรัชกาลที่ 7 จะขึ้นครองราชย์สมบัติ สภาขุนนางและพระบรมวงศานุวงศ์ มีความเห็นแตกต่างกันไป แต่สุดท้ายพระราชสมบัติต้องตกลงตามพินัยกรรมที่รัชกาลที่ 6 ทรงเขียนไว้อย่างชัดเจน
เมื่อรัชกาลที่ 7 สละราชสมบัติ โดยมิได้ระบุผู้สืบราชสมบัติ อันเป็นพระราชอำนาจส่วนพระองค์ รัฐสภาในรัฐบาลประชาธิปไตยใหม่เอี่ยม ก็ลงมติให้ทำตามกฎหมายการสืบสันติวงศ์ที่ร่างขึ้นมาตั้งสมัยรัชกาลที่ 6
กล่าวคือ ผู้ที่เป็นองค์รัชทายาทซึ่งเป็นสมเด็จเจ้าฟ้าชั้นเอก ล้วนทยอยสิ้นพระชนม์จนหมดสิ้น ราชสมบัติจึงตกลงสู่พระโอรสของสมเด็จเจ้าฟ้าชั้นเอกที่ยังคงเหลืออยู่
รัชกาลที่ 8 จึงได้รับรองจากรัฐสภาให้ขึ้นครองราชย์สมบัติ ตามสิทธิของพระราชโอรสองค์โต ของเจ้าฟ้ามหิดล
พระมหากษัตริย์ไทยภายใต้ระบอบประชาธิปไตย ขึ้นครองราชสมบัติโดยลงมติของสมาชิกรัฐสภา ซึ่งนี่คือประชาธิปไตยชัดๆ
............................................................................
เมื่อรัชกาลที่ 8 สวรรคตจากโศกนาฏกรรมครั้งประวัติศาสตร์ เป็นช่วงเวลาที่คณะราษฏร์ครองอำนาจ และไม่ใช่คณะราษฎร์คณะนี่หรือที่ล้มเจ้า
คณะราษฎนี่มิใช่หรือ ที่มีจุดประสงค์ในตอนเริ่มแรกว่าจะเปลี่ยนประเทศเป็นสาธารณรัฐ โดยไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์อีกต่อไป
แต่สุดท้ายพบว่า ไม่สามารถปกครองประเทศได้หากขาดซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์
เพราะการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองในหลายประเทศทั่วโลก เช่น จีน รัสเซีย และฝรั่งเศส เกิดจากประชาชนที่ถูกกดขี่ลุกฮือขึ้นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์
แต่ในประเทศไทย ประชาชนคนไทยได้รับความรักความเมตตาจากสถาบันพระมหากษัตริย์ตลอดมา เพราะฉะนั้นประชาชนจึงรักและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ตลอดมา
เมื่อคณะราษฎร์ปฏิวัติล้มเจ้าสำเร็จ จากความเกลียดชังเจ้าเป็นการส่วนตัว พบว่าไม่อาจครองอำนาจได้อย่างนั่งยืนถ้าขาดสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักและเทิดทูนของประชาชน
............................................................................
จากเหตุผลดังกล่างข้างต้นนี้ จะมีเหตุผลอะไรที่พี่น้อง 2 คน ที่รักกันยิ่ง และเติบโตมาในครอบครัวเล็กๆ ที่ห่างไกลประเทศไทย และห่างไกลจากการเมือง จะทะเยอทะยาน แก่งแย่งชิงดีกันเพื่อให้ได้เป็นพระมหากษัตริย์
พระมหากษัตริย์ที่ไม่ได้มีอำนาจทางการเมือง ไม่มีอำนาจในการบริหารประเทศ
แต่เป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้อำนาจของคณะราษฎร์ ทรราชผู้ล้มพระประยูรญาติวงศ์ให้ได้รับความเดือดร้อน
ถ้าคิดจะแก่งแย่งอำนาจ ไปแก่งแย่งอำนาจกับคณะทรราช เพื่อทวงคืนพระราชอำนาจไม่ถูกต้องกว่าหรือ
พี่น้องจะมาแก่งแย่งอำนาจ ที่ไม่มีอยู่จริงทำไม จริงไหม
การเป็นพระมหากษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตย ไม่ได้มีอำนาจล้นฟ้าเหมือนในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในอดีต แถมยังต้องรับภาระอันหนักอึ้ง
นักการเมืองต่างหาก คือผู้มีอำนาจล้นฟ้าตัวจริง
และนักการเมืองต่างหากคือผู้ที่แก่งแย่ง แข่งขัน เข่นฆ่า เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจทางการเมือง
............................................................................
เพราะฉะนั้น เราพอจะสรุปได้หรือไม่ว่า....
“โศกนาฏกรรมของในหลวงรัชกาลที่ 8 คือ”
“การแก่งแย่ง แข่งขัน เข่นฆ่า เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจทางการเมือง ของนักการเมืองชั่ว”
แล้วการโยนบาปให้ร้ายป้ายสีในหลวงรัชกาลที่ 9 คือ การแก่งแย่ง แข่งขัน เข่นฆ่าของนักการเมืองที่
“ฆ่าพี่ให้ชีพวาย แล้วฆ่าน้องให้ตายทั้งเป็น”
............................................................................
หลังจากปล่อยข่าวลือให้ร้ายว่าน้องกับแม่ร่วมมือกันฆ่าพี่ ไม่เป็นผล
ก็เปลี่ยนเป็น พี่น้องชอบเล่นปืน แล้วน้องพลาดทำปืนลั่น
ขอถามคำถามง่ายๆ ว่า พวกเราชาวบ้านรู้หรือไม่ว่า ปืนเป็นของอันตราย ห้ามเอามาเล่น
เรารู้กันดีตั้งแต่ยังเล็กยังน้อยใช่หรือไม่
คำถามที่ 2 คือ ผู้ที่เป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน จะไม่รู้เรื่องเหล่านี้หรือ
เพราะฉะนั้นคำกล่าวให้ร้ายนี้ก็เหมือนการให้ร้ายป้ายสีอื่นๆ ที่ไม่สมเหตุสมผลเลย
............................................................................
ตั้งแต่ก่อนรัชกาลที่ 10 จะครองราชย์สมบัติ ขบวนการสร้างภาพพี่น้องแก่งแย่ง แข่งขัน เข่นฆ่า ที่ถูกใช้มาตั้งแต่ต้นราชสกุลมหิดลก็ยังคงถูกใช้เป็นกลยุทธ์ทำลายล้างเรื่อยมาถึงปัจจุบัน
ข่าวลือว่า สยามมกุฎราชกุมาร กับสยามมกุฎราชกุมารี ตีกันมีมาตลอดรัชสมัยในหลวง ร.9 แม้แต่ข่าวลือว่าสยามมงกุฎราชกุมารจะฆ่าพ่อก็ยังมี
แต่มีผู้ใหญ่ที่คนทั้งบ้านทั้งเมืองรู้จัก เคยเล่าให้ผมฟังว่า สมเด็จพระบรมฯ พระยศในขณะนั้นเคยตรัสต่อหน้าเขาและข้าราชบริพารหลายคน ว่า
“เราก็รักพ่อ เราก็รักน้องเรา”
............................................................................
อัษฎางค์ ยมนาค

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

หลบหน้าอยู่ไย 'อดีตบิ๊กข่าวกรอง' ยุก๊วนแก้ตัวแทนคณะราษฏร รับคำถ้าฝ่ายอนุรักษ์ดีเบต 2475

5เม.ย.2567- นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า

'อ.ไชยันต์' โต้ 'อ.สุลักษณ์' ยันร่างรธน.ของร.7กล่าวถึงสภานิติบัญญัติ-การเลือกตั้งไว้ด้วย

'อ.ไชยันต์' ยกสาระสำคัญของเค้าโครงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง ที่ร.7จะพระราชทาน โต้ อ.สุลักษณ์ ยันร่างรธน.มิได้เพียงเสนอให้มีนายกฯเท่านั้น แต่ได้กล่าวถึงสภานิติบัญญัติ และการเลือกตั้งไว้ด้วย

'นักเขียนซีไรต์' เปิดนโยบายทำลายชาติ เหตุ ปชช.โง่และโลภ เลือกนักการเมืองชั่ว

วิมล ไทรนิ่มนวล นักเขียนรางวัลซัไรต์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า นโยบายทำลายชาติอย่างเร่งด่วนคือ

ฟาด 'ธนาธร' ดึงสถาบันสู่ความขัดแย้ง คืนความเป็นธรรมให้ 'ทักษิณ' พากลับบ้านรื้อคดีใหม่

เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า ดึงสถาบันพระมหากษัตริย์ลงมาสู่ความขัดแย้งทั้งปวง แล้วอ้างการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยจำแลง