'ท่าเรือหวุงอ๋าง'ความหวังในการเชื่อมโยง ลาวตอนกลางและภาคอีสานสู่ชายฝั่งทะเลเวียดนาม

หากกล่าวถึงเมืองท่าสำคัญของเวียดนามที่มีศักยภาพรองรับการนำเข้า-ส่งออกสินค้าจำนวนมาก และสามารถเชื่อมโยงกับเส้นทางเดินเรือไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก หลายคนอาจนึกถึงท่าเรือไฮฟอง หวุงเต่า ไซ่ง่อน หรือดานัง ซึ่งค่อนข้างคุ้นชินสำหรับคนไทย อย่างไรก็ตามยังมีอีกบางพื้นที่ซึ่งผู้ที่ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างประเทศ ทั้งทางบกและทางทะเลในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง อาจจะเคยได้ยินชื่ออยู่บ้างก็คือ “ท่าเรือหวุงอ๋าง” ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญอีกแห่งหนึ่งของเวียดนาม ที่มีศักยภาพในการพัฒนาเป็นท่าเรือสากลขนาดใหญ่ และเป็นเส้นทางเชื่อมต่อจากพื้นที่ส่วนในของอินโดจีนซึ่งไม่มีทางออกสู่ทะเล (Land Lock) ออกไปยังเส้นทางเดินเรือในมหาสมุทรแปซิฟิก โดยเฉพาะสาธารณรัฐประชาชนลาว และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ในบทความนี้ผู้เขียนจึงต้องการนำเสนอเรื่องราวและข้อมูลของท่าเรือหวุงอ๋าง ทั้งในแง่มุมทางประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ การคมนาคม ความสัมพันธ์ระหว่างลาว-เวียดนาม และศักยภาพของท่าเรือหวุงอ๋างในปัจจุบัน

การสร้างความเชื่อมโยงระหว่างลาวตอนกลางและเวียดนามในยุคอาณานิคม

การเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล (Land Lock) เป็นปัญหาสำคัญที่รัฐบาลและผู้ปกครอง สปป.ลาวแทบทุกยุคสมัยจะต้องตระหนักถึงเพื่อแสวงหาหนทางในการสร้างความเชื่อมโยงจากพื้นที่ตอนในออกไปยังพื้นที่ชายฝั่งทะเลในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งนี้ แนวคิดและโครงการสร้างความเชื่อมโยงจากลาวตอนกลางออกไปยังมหาสมุทรแปซิฟิก ได้ปรากฏขึ้นอย่างจริงจังตั้งแต่ยุคอาณานิคมเป็นต้นมา โดยในปี ค.ศ.1924 ได้มีการเปิดใช้เส้นทางหมายเลข 8 จากเมืองท่าแขก (แขวงคำม่วน) ไปยังเมืองวิง (จังหวัดเหงะอาน) ซึ่งเป็นเมืองชายทะเลในเวียดนามตอนกลาง ในขณะที่เส้นทางหมายเลข 9 ที่เชื่อมโยงระหว่างแขวงสะหวันเขตและจังหวัดกวางตรี ก็ได้เปิดใช้อย่างเป็นทางการในอีกสองปีถัดมา เส้นทางสัญจรดังกล่าวได้สร้างความสะดวกให้แก่การเดินทาง การขนส่งสินค้า และผู้คนจากลาวตอนกลางออกไปยังพื้นที่ชายฝั่งทะเลจีนใต้ของเวียดนามเป็นอย่างมาก ในปี ค.ศ.1927 ยังได้ปรากฏแนวคิดในการสร้างเส้นทางรถไฟสายเตินเอิ๊บ (เวียดนาม)-ท่าแขก (ลาว) ระยะทางรวม 187 กิโลเมตร เพื่อเชื่อมโยงระบบการขนส่งทางรางจากลาวตอนกลางไปยังพื้นที่ชายทะเลของเวียดนาม จากนั้นในปี ค.ศ.1939 การรถไฟอินโดจีนก็ได้เปิดบริการขนส่งสินค้าแบบผสมผสานระหว่างรถไฟ-กระเช้าลอยฟ้า-รถยนต์ โดยเริ่มจากสถานีต้นทางที่เตินเอิ๊บ ในจังหวัดกวางบิ่ง ผ่านไปทางช่องเขา หมุสะ บ้านนาเพ้า โดยมีปลายทางที่เมืองท่าแขกบนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง อย่างไรก็ตาม การพัฒนาการขนส่งทางรางและทางถนนระหว่างลาว-เวียดนามได้หยุดชะงักลง โดยเฉพาะในช่วงสงครามอินโดจีนและต่อเนื่องไปจนสิ้นสุดยุคสงครามเย็น อาจกล่าวได้ว่าความพยายามในการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างลาวและเวียดนาม มิใช่เรื่องใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นในปัจจุบัน หากแต่ได้ปรากฏขึ้นมาอย่างยาวนานเมื่อเกือบศตวรรษที่ผ่านมา

ท่าเรือหวุงอ๋าง สัญลักษณ์แห่งความสัมพันธ์แบบพิเศษระหว่างลาวและเวียดนามในยุคปัจจุบัน

ในช่วงหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา การดำเนินนโยบายหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (One Belt One Road) ส่งผลให้จีนขยายบทบาทของตนลงไปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ นโยบายดังกล่าวได้ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างลาว-จีนมีความใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น รัฐบาลจีนได้กระชับความร่วมมือและให้ความช่วยเหลือต่อลาวทั้งในระดับพรรค รัฐบาล รวมถึงการพัฒนากองทัพอย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น โครงการรถไฟจีน-ลาวที่มีความยาวประมาณ 1,000 กิโลเมตร และการก่อสร้างเขื่อนเพื่อผลิตไฟฟ้าที่ลงทุนโดยจีนถือเป็นผลจากการขยายอิทธิพลของจีนในลาวอย่างเด่นชัด รูปแบบทางความสัมพันธ์ระหว่างปักกิ่งและเวียงจันทน์ที่เปลี่ยนแปลงไปย่อมส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างลาว-เวียดนาม ซึ่งมักจะถูกเปรียบเปรยว่าเป็นสองชาติที่มีความสัมพันธ์แบบพิเศษ เนื่องจากเคยร่วมมือกันจับอาวุธต่อสู้กับเจ้าอาณานิคมในช่วงสงครามอินโดจีนและสงครามต่อต้านอเมริกา

ในขณะเดียวกัน สปป.ลาวเองก็ยังเผยให้เห็นถึงความพยายามในการรักษาความสัมพันธ์อันแนบแน่นกับเวียดนามไว้อยู่เสมอ นอกจากนั้น ปัจจัยทางด้านภูมิศาสตร์และพิกัดที่ตั้งของลาวยังได้ส่งผลให้เวียดนามมีความสำคัญในฐานะเส้นทางออกสู่มหาสมุทรแปซิฟิกอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ ดังนั้น โครงการพัฒนาโครงข่ายการคมนาคมเพื่อเชื่อมโยงลาวเข้าสู่ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญของเวียดนาม โดยเฉพาะการสร้างความเชื่อมโยงไปยังอ่าวหวุงอ๋าง ซึ่งเป็นที่ตั้งของ “ท่าเรือหวุงอ๋าง” ในภาคกลางตอนบนของเวียดนาม จึงได้รับการผลักดันจากทั้งสองฝ่ายอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งทางด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ และสัญลักษณ์แห่งความสัมพันธ์แบบพิเศษระหว่างลาวและเวียดนาม ในปี ค.ศ.2009 รัฐบาลเวียดนามยังได้อนุมัติให้ท่าเรือหวุงอ๋างอยู่ภายใต้การบริหารจัดการแบบร่วมทุนระหว่างเวียดนาม-ลาว โดยมีการจัดตั้งบริษัท Lao-Viet International Port ให้เป็นผู้บริหารจัดการท่าเรือแห่งนี้ กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า การสร้างความเชื่อมโยงในแนวตัดขวางจากลาวเข้าสู่เวียดนามยังคงมีความสำคัญ และถือเป็นปัจจัยหลักในการยึดโยงสองชาติลาว-เวียดนามเข้าไว้ด้วยกัน ภายใต้วาทกรรมความสัมพันธ์แบบพิเศษต่อไป 

อ่าวหวุงอ๋าง ทางออกสู่ทะเลที่ใกล้ที่สุดของลาวและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย

อ่าวหวุงอ๋าง (Vũng Áng) ตั้งอยู่ในพื้นที่ชายทะเลของอำเภอกี่แอ็ง จังหวัดฮาติงห์ ในภาคกลางตอนบน ซึ่งเป็นอาณาบริเวณที่แคบที่สุดของประเทศเวียดนาม จังหวัดฮาติงห์ยังมีพื้นที่ชายแดนทางด้านทิศตะวันตกติดกับแขวงบอลิคำไซ และแขวงคำม่วน สปป.ลาว นอกจากนั้นฮาติงห์ยังมีชายฝั่งทะเลที่ติดกับมหาสมุทรแปซิฟิกระยะทาง 137 กิโลเมตร และนับเป็นชายฝั่งทะเลจีนใต้ที่ตั้งอยู่ใกล้กับนครหลวงเวียงจันทน์ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยมากที่สุด ทางด้านการคมนาคม จังหวัดฮาติงห์มีโครงข่ายถนนที่สำคัญหลายสาย เช่น ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1A อันเป็นเส้นทางสัญจรสายสำคัญที่เชื่อมโยงระหว่างภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ของเวียดนาม เส้นทางหมายเลข 8A (ส่วนหนึ่งของทางหลวงสายเอเชีย AH15) ที่เริ่มต้นจากจุดตัดบนเส้นทางหมายเลข 13 ในแขวงบอลิคำไซ ผ่านเมืองคำเกิด หลักซาว ด่านชายแดนน้ำพาว-เกิ่วแจว เข้าสู่อำเภอเฮืองเซิน อำเภอดึ๊กเถาะ ไปบรรจบกับเส้นทางหมายเลข 1A ที่อำเภอห่งหลิง จังหวัดฮาติงห์ อีกทั้งยังสามารถเชื่อมโยงจังหวัดนครพนมและแขวงคำม่วน โดยเส้นทางหมายเลข 12 ผ่านเมืองมหาชัย ยมราช ด่านชายแดนนาเพ้า-จาลอ เพื่อเดินทางต่อไปยังหวุงอ๋างด้วยระยะทางประมาณ 300 กิโลเมตรเท่านั้น นอกจากนั้นฮาติงห์ยังมีเส้นทางรถไฟที่เชื่อมโยงระหว่างภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ของเวียดนาม ตัดผ่านจากทิศเหนือไปสู่ทิศใต้ของตัวจังหวัด ด้วยปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมานั้น อ่าวหวุงอ๋างซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดฮาติงห์จึงมีศักยภาพในการเชื่อมโยงเข้ากับโครงข่ายการคมนาคมในรูปแบบต่างๆ และสามารถผลักดันให้เป็นท่าเรือขนส่งสินค้าที่สำคัญของเวียดนาม ลาว และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยในอนาคต 

ศักยภาพของท่าเรือหวุงอ๋างกับการเชื่อมโยงลาวและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย

ข้อมูลจากฝ่ายเวียดนามระบุว่า ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ท่าเรือหวุงอ๋างได้รับการจับตามองจากกลุ่มผู้ประกอบการขนส่งทางทะเลเป็นอย่างมาก เนื่องจากตั้งอยู่บนพิกัดที่มีความสะดวกในการเชื่อมโยงไปยังเส้นทางขนส่งทางทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิก นอกจากนั้นอ่าวหวุงอ๋างที่มีความลึกโดยธรรมชาติตั้งแต่ 11-22 เมตร ยังเอื้ออำนวยต่อการรองรับเรือขนส่งสินค้าที่มีระวางบรรทุกระหว่าง 50,000-300,000 DWT และเรือขนส่งคอนเทนเนอร์ที่มีระวางบรรทุก 4,000 TEU ท่าเรือหวุงอ๋างยังมีศักยภาพในการเชื่อมโยงกับพื้นที่ลาวตอนกลาง โดยถือเป็นท่าเรือทางทะเลที่ตั้งอยู่ใกล้กับนครหลวงเวียงจันทน์มากที่สุด นอกจากนั้นยังสามารถเชื่อมโยงกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยผ่านสะพานมิตรภาพ 3 (นครพนม-คำม่วน) โดยใช้เส้นทางหมายเลข 8A หรือเส้นทางหมายเลข 12 ด้วยระยะทางประมาณ 300 กิโลเมตรเท่านั้น อีกทั้งยังมีศักยภาพในการเชื่อมโยงกับสะพานมิตรภาพ 5  (บึงกาฬ-บอลิคำไซ) ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ภายในต้นปี ค.ศ.2023

กล่าวได้ว่า การสร้างความเชื่อมโยงทางรางเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่สามารถเสริมสร้างศักยภาพให้แก่ท่าเรือหวุงอ๋างได้ในอนาคต ทั้งนี้ ลาวและเวียดนามได้ร่วมกันดำเนินโครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟเชื่อมโยงระหว่างเวียงจันทน์ไปยังท่าเรือหวุงอ๋าง โดยคาดว่าจะใช้งบประมาณในการก่อสร้างประมาณ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปัจจุบัน สปป.ลาวกำลังเตรียมความพร้อมในการรายงานผลการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ ในขณะที่ฝ่ายเวียดนามคาดว่าจะนำเสนอรายงานผลการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการในช่วงเดือนมิถุนายน ค.ศ.2022 รัฐบาลลาวและเวียดนามคาดหวังว่าเส้นทางรถไฟสายเวียงจันทน์-หวุงอ๋างจะช่วยยกระดับความสามารถในการขนส่งสินค้า ณ ท่าเรือหวุงอ๋างให้สูงขึ้น โดยตั้งเป้าหมายว่าจะสามารถรองรับเรือขนส่งสินคาที่มีระวางบรรทุกตั้งแต่ 5,000-100,000 ตัน การให้บริการขนส่งสินค้าในรูปแบบคอนเทนเนอร์จำนวนตั้งแต่ 50,000-1,200,000 ตู้/ปี และสามารถให้บริการขนส่งสินค้าในปริมาณ 3-20 ล้านตันในปี ค.ศ.2030 ยิ่งไปกว่านั้น เส้นทางรถไฟสายเวียงจันทน์-หวุงอ๋าง ยังมีศักยภาพในการเชื่อมโยงกับเส้นทางรถไฟสายบ้านไผ่-นครพนม ซึ่งคาดว่าจะเริ่มต้นก่อสร้างในปี ค.ศ.2023 อนึ่ง โครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟสายเวียงจันทน์-หวุงอ๋าง ยังถูกบรรจุไว้ในฐานะโครงการสำคัญในการเชื่อมโยงการคมนาคมระหว่างสองชาติลาว-เวียดนาม ควบคู่ไปกับโครงการก่อสร้างทางด่วนเชื่อมโยงระหว่างนครหลวงเวียงจันทน์-เมืองหลวงฮานอย เพื่อสร้างความยึดโยงและความเชื่อมต่อระหว่างลาว-เวียดนาม ในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่มีความสัมพันธ์แบบแน่นแฟ้นเป็นพิเศษให้มีความยั่งยืนต่อไป

หากโครงการต่างๆ ที่กล่าวถึงข้างต้นสามารถดำเนินการได้บรรลุตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ อาจส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบการคมนาคมขนส่งสินค้าในพื้นที่ตอนกลางของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง โดยเฉพาะบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ภาคกลางของลาว และพื้นที่ตอนกลางของเวียดนาม อย่างไรก็ตาม เราคงมิอาจปฏิเสธได้ว่าปัจจัยสำคัญอีกประการที่จะเอื้ออำนวยให้เกิดความสำเร็จของโครงการเหล่านี้ยังขึ้นอยู่กับความสนใจ และผลประโยชน์ของประเทศขนาดใหญ่ในเอเชียตะวันออก เช่น จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ อีกด้วย.

ดร.สุริยา คำหว่าน สาขามานุษยวิทยา วัฒนธรรม และการท่องเที่ยว คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ลัทธิผีบุญ .. ภัยร้ายต่อพระศาสนา!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. ปัญหาของพุทธศาสนาในปัจจุบันที่ยังเจริญเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้ คือ การยึดถือคำสอนที่ผิดเพี้ยนไปจากพระสัทธรรมดั้งเดิม...

การพัฒนาเด็กปฐมวัย: สำคัญอย่างไร และควรทำอย่างไร?

ทำไมต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาเด็กปฐมวัย ยังเล็กเกินไปสอนอะไรก็ยังไม่ได้ ทำอะไรยังไม่เป็น และต้องรอนานมากกว่าจะเห็นผล? เป็นคำถามที่ผมได้รับมาตลอดช่วงเวลาเกือบสิบปี ที่พยายามพัฒนาเด็กปฐมวัยในประเทศไทย สังคมไทยมักให้ความสำคัญกับการเรียนในระดับประถมและมัธยมมากกว่า ผู้ปกครองต้องจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อให้บุตรหลานได้ติวเพื่อสอบเข้าโรงเรียนดังๆ หรือมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจว่า ผู้บริหารการศึกษาระดับประเทศไปจนถึงระดับโรงเรียนจึงไม่ค่อยเห็นความสำคัญของการศึกษาระดับปฐมวัย

คุณค่าแท้–คุณค่าเทียม ที่ชาวพุทธควรคำนึง..!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. คำว่า “วิกฤตศรัทธา” เริ่มมีการพูดถึงกันมากในห้วงเวลานี้ ด้วยเหตุปัจจัยในเรื่องนั้น ที่นำไปสู่ความสั่นคลอนในความเชื่อมั่น ที่เคยอบรมสั่งสมมานานในสิ่งนั้นๆ เรื่องนั้นๆ บุคคลนั้นๆ.. ซึ่งนับเป็นเรื่องปกติของวิถีชีวิตสัตว์ทั้งหลายที่พยายามหาที่ยึดเหนี่ยวทางจิตวิญญาณ

บูชาพระโอวาทปาติโมกข์ .. ณ เวฬุวันมหาวิหาร ปี พ.ศ.๒๕๖๗

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. กลับมาจาก งานมาฆบูชาโลก ที่เวฬุวันมหาวิหาร พระนครราชคฤห์ แคว้นมคธ พร้อมกับติดเชื้อเป็นของแถม ด้วยมีไวรัสแพร่ระบาดในหมู่คณะที่มีทั้งพระสงฆ์และฆราวาสติดตามไปร่วมร้อยชีวิต

ปฎิรูปการศึกษา: กุญแจสำคัญในการเพิ่มศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

ไม่ทราบจะเรียกว่าเป็นวิกฤตได้ไหม เมื่อผลการประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากล หรือ PISA ประจำปี 2565 ของนักเรียนไทยออกมาต่ำที่สุดในรอบ 20 ปี ในทุกทักษะ ทั้งด้านคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และการอ่าน

บนเส้นทางมหาปรินิพพาน “มัชฌิมาปฏิปทา สู่ อัปปมาทธรรม”..

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาปสาทะในพระพุทธศาสนา.. บนเส้นทางมหาปรินิพพานของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในปัจฉิมสมัย มีปรากฏร่องรอยธรรมที่ควรศึกษาอย่างยิ่ง