ร่วมบูชาธรรม .. ๙๕ ปีชาตกาล หลวงปู่อิ่ม วัดโสมนัสฯ

เจริญพรศรัทธาสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. ในโลกใบนี้ ที่วนเวียนไปตามกระแส.. สะท้อนความจริงของสัตว์โลกและทุกสรรพสิ่งที่ตั้งอยู่บนโลกใบนี้ ว่า.. ไหลวนไปตามกระแสโลกเช่นกัน โดยแปลงค่ากระแสโลกที่ไหลวนหมุนวน เป็นวนเวียนของสังสารวัฏ.. อันสัตว์โลกวนเวียนอยู่ในกระแสมาช้านาน เดินทางมายาวไกล ดุจไม่รู้จักจบสิ้นด้วย

เคยมีคนตั้งคำถามว่า.. เมื่อเรารู้ว่า.. เดินทางวนเวียนมายาวนานเช่นนี้ แล้ว จะทราบได้อย่างไรว่า เราเริ่มต้นเมื่อไหร่.. และจะสิ้นสุดลงเมื่อใด...?

คำถามดังกล่าว.. แม้ดูเสมือนเป็นคำถาม common sense .. แต่ยากที่ใครจะคาดเดา คิดหาคำตอบที่ถูกต้องใช่เลยได้... เพราะไม่มีปัญญาพอ.. ที่จะรู้แจ้งในวิถีโลก ซึ่งจะมีเฉพาะผู้รู้แจ้งโลก (โลกะวิทู) .. คือ ผู้มีพระสัพพัญญุตญาณ.. เท่านั้น ที่พึงจะตอบปัญหานี้ได้

จึงต้องกลับไปค้นคว้าพระไตรปิฎก.. ในปัญหา/เรื่องดังกล่าว.. พบ พระพุทธดำรัสที่ตรัสอธิบายถึงเรื่องดังกล่าวว่า..

 “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้

เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหมือนอย่างภิกษุจะตัด ท่อนไม้ใหญ่ในชมพูทวีปนี้ แล้วมารวมกัน ครั้นแล้วพึงกระทำให้เป็นมัด มัดละ ๔ นิ้ว วางไว้ สมมติว่านี้เป็นมารดาของเรานี้เป็นมารดาของมารดาของเรา โดยลำดับ มารดาของมารดาแห่งบุรุษนั้นไม่พึงสิ้นสุด

ส่วนว่า หญ้าไม้ กิ่งไม้ ใบไม้ ในชมพูทวีปนี้ พึงถึงการหมดสิ้นไป ข้อนั้นเพราะเหตุไร

เพราะว่า สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ

พวกเธอได้เสวยทุกข์ ความเผ็ดร้อน ความพินาศ ได้เพิ่มพูนปฐพีที่เป็นป่าช้าตลอดกาลนาน

ฉะนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเพียงเท่านี้ พอทีเดียวเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอเพื่อจะคลายกำหนัด.. พอเพื่อจะหลุดพ้นได้ดังนี้...”

การได้มีโอกาสพิจารณาธรรมตามพระพุทธดำรัส ย่อมยังให้เราทั้งหลายเกิดความรู้สึกหน่ายต่อการเกิดมา แม้ได้ฐานะความเป็นมนุษย์ที่ได้โดยยาก.. เมื่อเห็นวิถีชีวิตในวัฏสงสาร.. ที่เกิดเป็นทุกข์.. ปรากฏอยู่แต่โรคภัยไข้เจ็บ.. และที่สุดย่อมแตกดับสูญสลาย...

ในสงสาร.. นี้ จึงมีแต่ทุกข์ที่เกิด.. ทุกข์ที่ดับไป ตามเหตุปัจจัย...

พระพุทธองค์จึงทรงสรุปพระธรรมคำสั่งสอนย่อรวมลงเหลือประโยคเดียว ที่มีพระดำรัสว่า...

“สัพเพ ธัมมา นาลัง อะภินิเวสายะ”

ธรรมทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น

ในห้วงเวลาที่ผ่านมา.. ได้รับอาราธนาไปแสดงธรรม งานบำเพ็ญกุศลศพของหลวงปู่อิ่ม/พระเดชพระคุณพระพรหมวชิรเมธาจารย์ วัดโสมนัสราชวรวิหาร.. ซึ่งครบ ๙๕ ปีชาตกาล ในวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๖๖.. ณ ศาลาทรงธรรมวัดโสมนัสราชวรวิหาร ท่ามกลางพระสงฆ์-แม่ชี-อุบาสก-อุบาสิกา มากกว่า ๒๐๐ ชีวิต

งานบำเพ็ญกุศลศพ.. ถูกยกขึ้นเป็นวันบำเพ็ญอายุวัฒนมงคล เนื่องใน ๙๕ ปีชาตกาล หลวงปู่อิ่ม.. เพราะตรงกับวันคล้ายวันเกิดพอดี ซึ่งทุกปีจะมีการจัดงานทำบุญฉลองอายุที่ วัดโกเมศรัตนาราม จ.ปทุมธานี อันเป็นวัดที่หลวงปู่มีเมตตา อำนวยการสร้างขึ้น เพื่อรองรับการศึกษาของพระ-เณรในอุปถัมภ์.. จำนวนไม่น้อย

ในหลายปีที่ผ่านมา อาตมาได้รับการนิมนต์เจาะจงจากหลวงปู่อิ่ม ขอให้เป็นองค์แสดงธรรมท่ามกลางคณะศิษย์ศรัทธาจำนวนมากของท่าน ที่หลั่งไหลมาร่วมงานบำเพ็ญบุญ.. พรั่งพร้อมด้วยคณะสงฆ์ที่มาร่วมงานเจริญพระพุทธมนต์ ฉลองสืบชะตาอายุวัฒนมงคล...

ในวันที่ ๑๓ มกราคมของปีนี้.. จึงเป็นอีกวันหนึ่ง ที่อาตมาได้รับอาราธนานิมนต์ไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ก่อนเข้าพรรษาปี ๒๕๖๕.. โดยหลวงปู่อิ่มได้สั่งให้ศิษย์ญาติมิตรใกล้ชิดได้ทราบว่า.. นิมนต์ท่านอาจารย์อารยวังโส มาเป็นองค์แสดงธรรมใน วันคล้ายวันเกิดปี ๒๕๖๖.. ในขณะนั้น หลวงปู่อิ่มประสบกับภัยในวัฏสงสาร.. ที่ปรากฏในท่ามกลางคือโรคภัยไข้เจ็บ.. อันยากจะหลีกหนี

เป็นสัญญาณบ่งบอกว่า.. ความเกิดกับความเสื่อมสูญสิ้นสลาย เป็นของคู่กัน แม้ตั้งอยู่ในท่ามกลางก็แปรปรวน...

ผู้พิจารณาด้วยสติปัญญา.. เกิดความรู้ ความเข้าใจ ในธรรมดังกล่าว.. ย่อมเกิด ธรรมสังเวช .. หรือ สังเวคธรรม .. ที่จะปลุกใจให้รู้จักคิด ปลุกจิตให้รู้จักสำนึก.. เพื่อตื่นขึ้นมาเร่งประกอบความเพียรชอบอย่างมีสติปัญญา.. ไม่ตกอยู่ในหล่มของความโศกเศร้าเสียใจ.. ทุกข์กาย ทุกข์ใจ.. และคับแค้นใจ ก่อเกิดอกุศลจิตที่มากยิ่งไปด้วย อำนาจอวิชชา .. จนยากจะพัฒนาจิตให้รู้เท่าทัน เข้าใจในความเป็นจริงของกระแสโลก.. กระแสชีวิต.. ได้....

ดังความเป็นธรรมชาติแห่งชีวิต ที่ปรากฏเป็นความจริงให้เห็นเชิงประจักษ์อยู่รอบตัว... และเมื่อน้อมเข้ามาสู่ภายใน พิจารณาตัวเราเองก็มีความเป็นเช่นดังกล่าวนั้น เป็นธรรมดา.. ไม่ได้แตกต่างกันเลย...

ในวันฉลองอายุ ๙๕ ปีชาตกาล ของหลวงปู่อิ่มใน ๑๓ มกราคม ๒๕๖๖... จึงเป็นการแสดงธรรมเพื่อปลุกใจให้รู้จักคิด ปลุกจิตให้รู้จักตื่นขึ้นมา เพื่อจักได้เห็นความเป็นสัจธรรม.. ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า.. “เราท่านเดินทางมายาวนานในสังสารวัฏนี้.. เพราะไม่รู้แจ้งในอริยสัจ ๔...”

ในวันนั้น ณ ศาลาทรงธรรม.. วัดโสมนัสราชวรวิหาร ต่อหน้าหีบสรีรศพหลวงปู่อิ่ม/พระพรหมวชิรเมธาจารย์ อาตมาจึงไดพรรณนา.. อรรถาธิบายบทธรรมสังเวช โดยยกพระพุทธดำรัสดังกล่าวขึ้นเป็นหัวข้อแสดงธรรม... ที่สำคัญคือ นำสู่การอบรมจิตภาวนา.. ปฏิบัติธรรมบูชา.. เพื่อสร้างกระแสกุศลธรรมในดวงจิต.. ให้ถึงพร้อมด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา.. เพื่อการดำเนินเข้าสู่กระแสอริยมรรค.. ด้วยหนทางการดำเนินไปตามแนวทางสายกลาง.. ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนแสดงไว้ดีแล้ว...

จึงได้เห็นภาพพระสงฆ์.. แม่ชี.. อุบาสก.. อุบาสิกาจำนวนมากกว่า ๒๐๐ ชีวิต สงบนิ่งในกระแสธรรมบรรยาย ด้วยการตั้งใจ ฟัง.. พิจารณา.. และภาวนา อันเป็นไปเพื่อการก่อเกิด ปัญญา ที่จะนำพาไปสู่ วิมุตติธรรม .. เพื่อการหลุดพ้นออกจากวงเวียนสังสารทุกข์ ด้วยการรู้แจ้งเห็นจริงใน อริยสัจ ๔ ที่พระพุทธองค์ทรงแสดง .. ประกาศไว้ดีแล้ว บริสุทธิ์ บริบูรณ์ โดยสิ้นเชิง ในพรหมจรรย์นี้ ด้วยพยัญชนะและอรรถความหมาย

การลำดับจิต.. ไปตามหลักธรรมปฏิบัติ ด้วยการกำหนดรู้อยู่เบื้องหน้า.. ด้วยกายตั้งตรง เป็นลักษณะธรรมของการประกอบความเพียรชอบ ที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน ได้ถูกนำมาบอกกล่าว ได้ปฏิบัติบูชาเป็นเบื้องต้น.. โดยการมีสติ.. ทุกลมหายใจเข้า.. ลมหายใจออก เป็นเบื้องต้น และค่อยๆ ลำดับไปตามขั้นตอนในอานาปานสติ ๑๖ ขั้น ที่พระพุทธองค์ตรัสแสดงไว้ดีแล้ว เพื่อการดำเนินสติปัฏฐาน ๔ ให้สมบูรณ์.. อันเป็นไปเพื่อโพชฌงค์ ๗ .. วิชชาและวิมุตติ.!!

โดยได้อรรถาธิบาย.. ให้เห็นความสำคัญของ การเจริญสติปัฏฐาน ที่ต้องอาศัยธรรมอุปการะ ๓ ประการ คือ สติ สัมปชัญญะ และวิริยะ.. ประกอบการพัฒนาจิตในขณะนั้นๆ ... จนก่อเกิด ญาณทัศนะ ที่สามารถใช้งานเพื่อการศึกษา.. ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 “ญาณทัศนะ” จึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง.. ที่สุดของการเจริญสติปัฏฐาน.. หรือการปฏิบัติธรรม.. อบรมจิตภาวนา ก็เพื่อหวังผลให้เกิด ญาณทัศนะ ในกระแสจิต.. ที่สามารถหยั่งรู้เห็นในสภาวธรรมต่างๆ ที่ปรากฏในขณะนั้นๆ ตามเจตนาหรือเจตจำนงที่ตั้งใจปฏิบัติธรรม

ญาณทัศนะ หรือ ญาณทัสสนะ มีการใช้ศัพท์อังกฤษว่า Intuition แปลตรงตัวว่า การรู้.. การเห็นตามความเป็นจริง.. หรือการเห็นด้วยการรู้อย่างแจ่มแจ้ง เป็นการเห็นด้วยการรู้จริง

ญาณทัศนะ เมื่อเกิดปรากฏขึ้นในขณะจิตหนึ่ง จะก้าวข้ามความคิดนึกปรุงแต่งของ จิตสังขาร ที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจของกิเลสไปได้...

ญาณทัศนะ จึงเป็นพลังงานของธาตุรู้บริสุทธิ์ หรือ วิญญาณธาตุ อันมีมาแต่ดั้งเดิม.. ในจิตหนึ่งนั้นที่มีการเรียกขานกันในหมู่นักปฏิบัติธรรมชั้นสูงว่า “พุทธภาวะ” .. ที่จะรู้แจ้งลงสู่ภายใน.. เห็นแจ้งจริงในวิถีชีวิต.. จิตวิญญาณ.. ที่เคลื่อนไหวไปตามเหตุปัจจัย.. ไหลวนเวียนอยู่ใน วัฏสงสาร ด้วยการพัฒนาจิต.. ให้บริสุทธิ์ ปราศจากอำนาจของกิเลส ที่เรียกว่า นิวรณ์ ๕ .. และเมื่อประกอบเข้ากับวิธีการคิดพิจารณาโดยแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) หรือวิธีแห่งปัญญา.. จึงเกิดการศึกษา.. สังเกต รู้เห็นตามความเป็นจริง จนก่อเกิด ปัญญาชอบ (สัมมัปปัญญา) ด้วยญาณทัศนะที่วิสุทธิ .. (ญาณทัสสนวิสุทธิ) ที่นำไปสู่ความรู้ตรงตามความเป็นจริง ในชีวิต.. รูปนามหรือขันธ์ ๕ ว่า.. มิใช่ของเรา มิใช่เรา มิใช่ตัวตนของเรา

 “เนตัง มะมะ .. มิใช่ของเรา

เนโสหะมัสมิ .. มิใช่เรา

นะ เมโส อัตตาติ .. มิใช่ตัวตนของเรา”

อันเป็นหัวใจของ อริยสัจ ๔ ที่สรุปรวมเป็นหัวใจคำสั่งสอนในพระพุทธศาสนา ที่ได้พยายามแสดงไปในค่ำคืนนั้น.. เพื่อฉลองศรัทธาปสาทะ พระสงฆ์ ญาติโยม.. ที่ร่วมกันถวายปัจจัยบูชาธรรมมากถึง ห้าล้านเจ็ดแสนเจ็ดหมื่นห้าพันสามสิบบาท (๕,๗๗๕,๐๓๐ บาท) ..ตามเจตนาของอาตมาที่จะขอถวายปัจจัยบูชาธรรมนี้ เพื่อเป็นเจ้าภาพร่วมสมทบสร้างพระมหาเจดีย์ “โกเมศไตรรัตนเจดีย์” .. ของหลวงปู่อิ่ม ที่ยังคงคั่งค้างอยู่และต้องการปัจจัยอยู่หลายสิบล้าน เพื่อให้เสร็จสมบูรณ์ตามเจตนาของผู้สร้าง.. คือ หลวงปู่อิ่ม/พระพรหมวชิรเมธาจารย์

ด้วยการสำนึกรู้คุณในพระรัตนตรัยอันไม่มีประมาณ

ด้วยการรู้คุณในอุปการะของท่านที่มีต่อคณะสงฆ์.. ศิษย์ศรัทธา คือ หลวงปู่อิ่ม..

ที่สำคัญยิ่ง.. คือ การรู้ในคุณของการเกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา จึงได้ร่วมกันประกอบบุญกุศลอันยิ่งในครั้งนี้ ให้ครบสมบูรณ์ โดยเฉพาะ ทานบารมี.. ทั้งวัตถุทาน.. อภัยทาน.. ที่สุดคือธรรมทาน.... ที่ครบถ้วนจริงๆ ในการสร้างบุญกุศลในครั้งนี้ เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับอนุชน.. ได้สืบอริยประเพณีสืบต่อๆ กันไป.. เพื่อจรรโลงไว้ซึ่งคุณธรรมความดีของสังคมในวิถีพุทธ.. บนแผ่นดินไทย!!.

 

เจริญพร

[email protected]

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

“มิจฉาธรรม .. ในอสัตบุรุษที่น่ากลัวยิ่ง”

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา สงกรานต์ร้อนที่เข้าสู่จุลศักราช ๑๓๘๖ เถลิงศกตรงกับ ๑๖ เมษายน ๒๕๖๗ นับว่าร้อนแล้ง ตรงกับคำพยากรณ์ที่พร้อมเกิดพายุร้อนได้ในทุกพื้นที่ เป็นการแสดงสภาวะผันผวนที่เนื่องมาจากวิกฤตร้อนของโลก (Climate Change) ที่หลายฝ่ายเฝ้าสังเกตการณ์ด้วยความเป็นห่วงว่า มนุษยชาติจะผ่านวิกฤตโลกร้อนไปได้หรือไม่..

สู่.. โครงการพระคืนสู่ป่า น้อมถวายเป็นพระราชกุศลฯ

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา ในห้วงเวลาที่อากาศร้อนจัด จนเข้าสู่วิกฤตการณ์ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคอีสานของประเทศ

สู่.. โครงการพระคืนสู่ป่า.. ครั้งที่ ๑/๒๕๖๗!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. ในภาวะที่เข้าสู่วิกฤตการณ์โลกร้อน.. ด้วยภาวะการเปลี่ยนแปลงแบบผิดเพี้ยนไปจากธรรมชาติปกติ (Climate Change) อันเป็นผลจากการกระทำของมนุษยชาติ ทั้งในทางตรงและทางอ้อม จึงได้ถือโอกาสคิดทำโครงการนำพระคืนสู่ป่า.. เพื่อศึกษาวงจรธรรมชาติของชีวิตที่เนื่องกับสิ่งแวดล้อม อันประกอบด้วยสรรพสิ่งต่างๆ ที่เกาะเกี่ยวเนื่องกันอย่างมีความสมดุล (Nature Cycle in Balance)

ลัทธิผีบุญ .. ภัยร้ายต่อพระศาสนา!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. ปัญหาของพุทธศาสนาในปัจจุบันที่ยังเจริญเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้ คือ การยึดถือคำสอนที่ผิดเพี้ยนไปจากพระสัทธรรมดั้งเดิม...

คุณค่าแท้–คุณค่าเทียม ที่ชาวพุทธควรคำนึง..!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. คำว่า “วิกฤตศรัทธา” เริ่มมีการพูดถึงกันมากในห้วงเวลานี้ ด้วยเหตุปัจจัยในเรื่องนั้น ที่นำไปสู่ความสั่นคลอนในความเชื่อมั่น ที่เคยอบรมสั่งสมมานานในสิ่งนั้นๆ เรื่องนั้นๆ บุคคลนั้นๆ.. ซึ่งนับเป็นเรื่องปกติของวิถีชีวิตสัตว์ทั้งหลายที่พยายามหาที่ยึดเหนี่ยวทางจิตวิญญาณ

บูชาพระโอวาทปาติโมกข์ .. ณ เวฬุวันมหาวิหาร ปี พ.ศ.๒๕๖๗

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. กลับมาจาก งานมาฆบูชาโลก ที่เวฬุวันมหาวิหาร พระนครราชคฤห์ แคว้นมคธ พร้อมกับติดเชื้อเป็นของแถม ด้วยมีไวรัสแพร่ระบาดในหมู่คณะที่มีทั้งพระสงฆ์และฆราวาสติดตามไปร่วมร้อยชีวิต