
ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2476 ในเค้าโครงเศรษฐกิจ หลวงประดิษฐ์ฯได้กล่าวว่า “.. เราเกลียดชังลัทธิคอมมิวนิสต์ตามที่ท่านนักปราชญ์ในประเทศไทยท่านกล่าวนั้น และเราไม่ดำเนินวิธีริบทรัพย์มาแบ่งกันดังที่นักปราชญ์ท่านกล่าว” [1]
ต่อมาในกลางเดือนเมษายน หลวงประดิษฐ์ฯได้ยืนยันอีกครั้งว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่คอมมิวนิสต์ และทั้งมิได้นิยมชมชื่นคอมมิวนิสต์แม้แต่น้อยเลย ข้าพเจ้ายอมรับแต่ว่า ข้าพเจ้าเป็นราดิคัล และเป็นราดิคัลที่เป็นไปในแนวของลัทธิโซเชียลลิสต์ (สังคมนิยม/ผู้เขียน)” [2]
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเองก็ทรงพระบรมราชวินิจฉัยต่อเค้าโครงเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์ฯว่า “จริงอยู่มิใช่วิธีคอมมิวนิสต์ แต่ก็เป็นวิธีที่รัสเซียเขาใช้อยู่และประเทศต่างๆเขาเห็นว่า วิธีนี้แหละที่เป็นอันตรายแก่สันติสุขของโลก” [3] และ “วิธีดำเนินการนี้ (วิธีการที่หลวงประดิษฐ์ฯเสนอ) อาจไม่เรียกว่าคอมมิวนิสต์ก็ได้ แต่ความจริงมันมีอยู่ว่ารัสเซียใช้อยู่” [4]
และทรงเห็นว่า เค้าโครงเศรษฐกิจที่หลวงประดิษฐ์ฯเสนอนั้น“....เป็นโครงการอันเดียวอย่างแน่นอนกับที่ประเทศรัสเซียใช้อยู่ ส่วนใครจะเอาอย่างใครนั้นข้าพเจ้าไม่ทราบ สตาลินจะเอาอย่างหลวงประดิษฐ์ฯ หรือหลวงประดิษฐฯ จะเอาอย่างสตาลินก็ตอบไม่ได้ ตอบได้ข้อเดียวว่า โครงการทั้ง ๒ นี้ เหมือนกันหมด” [5]
วิธีที่รัสเซียใช้อยู่ขณะนั้นเป็นอย่างไร ?
นโยบายเศรษฐกิจที่ให้รัฐเป็นเจ้าของที่ดินทำกินส่วนใหญ่หรือทั้งหมดนี้ได้เริ่มขึ้นในสหภาพโซเวียต โดยการประกาศใช้กฎหมายที่ดินปี พ.ศ. 2465 (ค.ศ. 1922 ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย 10 ปี) กฎหมายที่ดินโซเวียต พ.ศ. 2465 กำหนดให้มีการเวนคืนที่ดินทั้งหมดเป็นของรัฐ และยกเลิกกรรมสิทธิ์ส่วนตัวในที่ดินและรวมทั้งกรรมสิทธิ์ในทรัพยากรธรรมชาติต่างๆที่อยู่ในที่ดินด้วย เช่น แร่ธาตุ น้ำและป่าไม้ [6]
มาตรา 27 ของกฎหมายที่ดินโซเวียต พ.ศ. 2465 ห้ามไม่ให้มีการซื้อขาย ยกให้หรือจำนองที่ดิน แต่อนุญาตให้เช่าที่ดินจากรัฐได้จนถึง พ.ศ. 2471 แต่หลังจากนั้น ได้กำหนดเงื่อนไขการเช่าว่าจะต้องเป็นการเช่าเพื่อการทำการเกษตรรวม (หรือที่คนไทยชอบเรียกกันว่า การทำนารวม) การทำนาของแต่ละครอบครัวที่เช่าที่จากรัฐจะต้องถูกควบรวมเข้าเป็นนารวมขนาดใหญ่โดยรัฐเป็นเจ้าของที่ดิน [7]
อย่างไรก็ตาม การห้ามมีกรรมสิทธิ์ส่วนตัวในที่ดิน ไม่ได้หมายความว่า พลเมืองโซเวียตจะไม่สามารถใช้ประโยชน์จากที่ดินได้ ครอบครัวในชนบทและในเมืองยังสามารถเพาะปลูกในที่แปลงขนาดเล็กๆได้ สามารถเพาะปลูกพืชพันธุ์สำหรับการบริโภคภายในครอบครัวและเป็นรายได้เสริมให้กับครอบครัว โดยที่ดินแปลงเล็กๆนี้มีชื่อเรียกว่า “แปลงเสริม” (auxiliary plots) [8]
แต่แปลงเสริมนี้ไม่ได้ทำให้ครัวเรือนได้ผลผลิตอะไรมากนัก การผลิตอาหารและการขายอาหารจากรัฐและการทำนารวมจะต้องอยู่ภายใต้แผนเศรษฐกิจและควบคุมโดยรัฐบาลกลาง ขณะเดียวกัน ที่ดินแปลงเสริมไม่ถือว่าเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนตัวของครัวเรือน แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ภายใต้แผนเศรษฐกิจและการควบคุมของรัฐก็ตาม เพราะตามกฎหมายที่ดินโซเวียต พ.ศ. 2465 ที่ดินทั้งหมดถูกเวนคืนเป็นของรัฐ ดังนั้น ในกรณีแปลงเสริม รัฐมีอำนาจที่จะกำหนดให้ครอบครัวหรือปัจเจกบุคลได้ใช้ไปเพื่อประโยชน์ส่วนตัวหรือของครอบครัวได้ ซึ่งจริงๆแล้ว การปล่อยให้ครอบครัวหรือปัจเจกบุคคลใช้ประโยชน์จากที่ดินเพื่อประโยชน์ส่วนตัวเป็นสิ่งที่ขัดต่ออุดมการณ์คอมมิวนิสต์ เพราะอุดมการณ์คอมมิวนิสต์จะไม่ยอมให้มีการใช้ที่ดิน (แม้ว่าจะเป็นของรัฐก็ตาม) ไปเพื่อประโยชน์ส่วนบุคคลได้เลย เพราะผลผลิตจากแปลงเสริมนี้และการปล่อยให้ใช้ที่ดินไปเพื่อประโยชน์ส่วนตัวถือเป็นซากเดนของระบบทุนนิยม [9]
แม้ว่าในสหภาพโซเวียต รัฐจะเป็นเจ้าของที่ดินไม่ต่างจากเค้าโครงเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์ฯ แต่ความแตกต่างคือ โซเวียตใช้วิธีการยึดที่ดินจากประชาชนมาเป็นของรัฐ ส่วนของหลวงประดิษฐ์ฯใช้วิธีให้รัฐบาลบังคับซื้อจากประชาชนโดยออกใบกู้ให้เจ้าของที่ดินถือไว้ตามราคาที่ดิน โดยที่ดินที่รัฐบาลต้องซื้อกลับคืนนี้คือที่ดินที่จะใช้ประกอบการเศรษฐกิจ เช่น ที่นาหรือไร่ ส่วนที่บ้านอยู่อาศัยนั้นไม่จำเป็นที่รัฐบาลต้องซื้อคืน เว้นไว้แต่เจ้าของประสงค์จะขายแลกกับใบกู้ [10]
ตกลง จากที่กล่าวไปข้างต้น ท่านผู้อ่านคงประเมินได้ว่า วิธีการที่ใช้ในรัสเซียกับวิธีการที่หลวงประดิษฐ์ฯเสนอในเค้าโครงเศรษฐกิจในเรื่องที่ดินทำกินนั้น เหมือนหรือแตกต่างกันแค่ไหนอย่างไร
_________________________________________
[1] ชัยอนันต์ สมุทวนิชและขัตติยา กรรณสูตร, เอกสารการเมือง-การปกครองไทย พ.ศ. 2517-2477, โครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย, (กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช, 2518), หน้า 265.
[2] วิเทศกรณีย์ (นามแฝง), ความเป็นมาของระบอบประชาธิปไตยของไทย, หน้า 180 อ้างใน ภูริ ฟูวงศ์เจริญ, การเมืองการปกครองไทย: พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ (พ.ศ. 2475-2540), จัดพิมพ์โดย คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์: 2563), หน้า 48.
[3] ชัยอนันต์ สมุทวนิชและขัตติยา กรรณสูตร, เอกสารการเมือง-การปกครองไทย พ.ศ. 2517-2477, โครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย, (กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช, 2518), หน้า 285-286.
[4] ชัยอนันต์ สมุทวนิชและขัตติยา กรรณสูตร, เอกสารการเมือง-การปกครองไทย พ.ศ. 2517-2477, โครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย, (กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช, 2518), หน้า 328.
[5] ชัยอนันต์ สมุทวนิชและขัตติยา กรรณสูตร, เอกสารการเมือง-การปกครองไทย พ.ศ. 2517-2477, โครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย, (กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช, 2518), หน้า 354.
[6] Land Tenure, Soviet And Post-Soviet, https://www.encyclopedia.com/history/encyclopedias-almanacs-transcripts-and-maps/land-tenure-soviet-and-post-soviet
[7] Land Tenure, Soviet And Post-Soviet, https://www.encyclopedia.com/history/encyclopedias-almanacs-transcripts-and-maps/land-tenure-soviet-and-post-soviet
[8] Land Tenure, Soviet And Post-Soviet, https://www.encyclopedia.com/history/encyclopedias-almanacs-transcripts-and-maps/land-tenure-soviet-and-post-soviet
[9] Land Tenure, Soviet And Post-Soviet, https://www.encyclopedia.com/history/encyclopedias-almanacs-transcripts-and-maps/land-tenure-soviet-and-post-soviet
[10] ชัยอนันต์ สมุทวนิชและขัตติยา กรรณสูตร, เอกสารการเมือง-การปกครองไทย พ.ศ. 2517-2477, โครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย, (กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช, 2518), หน้า 248-249.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (ตอนที่ ๓๗): การสละราชสมบัติ
ในหนังสือ “เอกสารการเมือง-การปกครองไทย” ที่ตีพิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. ๒๕๑๘ ชัยอนันต์ สมุทวนิช และ ขัตติยา กรรณสูตรได้รวบรวมเอกสารสำคัญในการเมืองการปกครองไทยระหว่าง พ.ศ. ๒๔๑๗-๒๔๗๗
ประวัติศาสตร์ของปัจจุบัน: เรื่องพรรคประชาธิปัตย์ กับ การเลือกตั้ง พ.ศ. 2566 (ตอนที่ 4: พรรคประชาธิปัตย์ในสายตาของ GlobalSecurity)
พรรคประชาธิปัตย์ตามข้อมูลในวิกิพีเดีย กล่าวถึงพรรคประชาธิปัตย์ว่า “พรรคประชาธิปัตย์ (ย่อ: ปชป.) เป็นพรรคการเมืองไทยที่เก่าแก่ที่สุด
ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (ตอนที่ ๓๖): การสละราชสมบัติ
ในหนังสือ “เอกสารการเมือง-การปกครองไทย” ที่ตีพิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. ๒๕๑๘ ชัยอนันต์ สมุทวนิช และ ขัตติยา กรรณสูตรได้รวบรวมเอกสารสำคัญในการเมืองการปกครองไทยระหว่าง พ.ศ. ๒๔๑๗-๒๔๗๗
ความรู้เกี่ยวกับการยุบสภาผู้แทนราษฎร
การยุบสภาในประเทศไทยที่เกิดขึ้นตั้งแต่หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองจนถึงปัจจุบันรวมทั้งสิ้น ๑๕ ครั้ง
ประวัติศาสตร์ของปัจจุบัน: เรื่องพรรคประชาธิปัตย์ กับ การเลือกตั้ง พ.ศ. 2566 (ตอนที่ 3: รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 โดย Joshua Kurlantzick)
สมัยก่อนใครอยากจะรู้ว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคแบบไหนและมีความเป็นมาอย่างไร คงต้องไปค้นตามห้องสมุดของมหาวิทยาลัยเพื่อค้นหาหนังสือและงานวิจัยที่กล่าวถึงพรรคประชาธิปัตย์
ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (ตอนที่ ๓๕): การสละราชสมบัติ
ในหนังสือ “เอกสารการเมือง-การปกครองไทย” ที่ตีพิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. ๒๕๑๘ ชัยอนันต์ สมุทวนิช และ ขัตติยา กรรณสูตรได้รวบรวมเอกสารสำคัญในการเมืองการปกครองไทยระหว่าง พ.ศ. ๒๔๑๗-๒๔๗๗