เริ่มจะพูดถึงกันเยอะครับ
หลังเลือกตั้งที่จะมีขึ้น ใคร พรรคการเมืองไหน จะได้อำนาจไปครอบครอง
สถานการณ์การเมือง ๒ ขั้ว บนความขัดแย้ง ที่หยั่งรากลึกมานาน อำนาจอาจไม่ใช่ปัจจัยที่ตัดสินทุกสิ่งอย่าง
แต่อำนาจก็คืออำนาจ
มีคำกล่าวว่า อำนาจมักได้มาจากการช่วงชิง กว่าจะได้มายากเย็นแสนเข็ญ แต่การรักษาอำนาจไว้เป็นสิ่งที่ยากยิ่งกว่า
ก็คงจะจริงตามนั้น ประวัติศาสตร์การเมืองไทย พิสูจน์ให้เห็นซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า การรักษาอำนาจ ไม่เคยมีใครทำสำเร็จ
แต่ที่เห็นจะจะคือ ละทิ้งอำนาจ!
"ขอบคุณ ผมพอแล้ว ขอให้ช่วยประคับประคองประชาธิปไตยกันต่อไปด้วย" พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ รัฐบุรุษและอดีตนายกฯ บอกกับ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เมื่อครั้งพาพรรคร่วมรัฐบาลไปเชิญ "ป๋า" เป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย ในปี ๒๕๓๑
๘ ปีในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และจะเข้าสู่ปีที่ ๙ หาก "ป๋าเปรม" รับเทียบเชิญ
แต่ "ป๋า" ขอหยุดอยู่แค่นั้น
"ผมพอแล้ว" จึงเป็นประโยคอมตะที่ถูกจดจำมาจนถึงทุกวันนี้
แต่โดยทั่วไปแล้ว "อำนาจ" มันหอมหวนจนนักการเมือง อยากครอบครองเอาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่้จะนานได้
มุมบวก นักการเมืองบางคนต้องการทำงานให้ประเทศอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายกลายเป็น วีรบุุรุษของชาติ เช่น ลี กวนยู ของสิงคโปร์
มุมลบ นักการเมืองจำนวนหนึ่งต้องการรักษาอำนาจไว้ เพราะอำนาจคือที่มาของผลประโยชน์มากมาย เช่น ระบอบทักษิณ ในประเทศไทย
จากพี่ชายผู้เป็นพ่อ สู่น้องสาว และลูกสาว
เป็นการสืบทอดอำนาจ ผ่านกลไกการเลือกตั้ง แต่ใช่ประชาธิปไตยหรือเปล่า นั่นคือปัญหาที่คนไทยต้องรู้เท่าทัน
เช่นเดียวกัน การได้อำนาจมาจากการรัฐประหาร ทุนเดิมเป็นสิ่งต้องห้าม การรักษาอำนาจต่อจึงยากยิ่งกว่า
แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หักปากกาเซียน รักษาอำนาจมา ๘ ปีเต็มแล้ว และมีแนวโน้มจะไปต่อถึงต้นปีหน้าเป็นอย่างน้อย หากผ่านรอยต่อข้อกฎหมาย "นายกฯ ๘ ปี" ไปได้
การรักษาอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องแลกกับหลายสิ่ง เพราะระหว่างทางที่ได้อำนาจมาและต้องรักษาอำนาจต่อนั้น มีทั้งสูญเสียและงอกเงย
ครับ...วานนี้ (๘ สิงหาคม) พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊ก ฝากข้อความไปยัง ๓ ป. ในหัวข้อ การปฏิวัติ ๒๔๗๕ กับ ๓ ป.
.....การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อปี ๒๔๗๕ นั้น แกนนำคณะราษฎร ฝ่ายทหาร ได้เป็นกำลังหลักที่ทำให้การปฏิวัติสำเร็จลงได้ในที่สุด
ในขณะที่แกนนำคณะราษฎร สายพลเรือน ไปนั่งเรือจ้างรอดูท่าทีว่าจะหนีหรืออยู่ต่อไปลอยลำอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา
ส่วนสาเหตุที่ทำให้การปฏิวัติสำเร็จลงได้นั้น นอกจากการใช้เล่ห์เหลี่ยมสารพัดเรื่อง ต่อทหารด้วยกันเอง โดยเฉพาะกับนักเรียนนายร้อยตามที่เคยเล่าไปแล้วนั้น ก็บังเอิญไปสอดคล้องกับพระราชประสงค์ของ ร.๗ ที่ต้องการพระราชทานรัฐธรรมนูญให้กับประชาชนพอดี
(อนึ่งในห้วงเวลาก่อนที่จะมีการปฏิวัตินั้น การเตรียมพระราชทานรัฐธรรมนูญของ ร.๗ ได้ถูก “คณะอภิรัฐมนตรี" ซึ่งเป็นบุคคลที่มาจากพระบรมวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ ๕ พระองค์ ระงับไว้ถึง ๒ ครั้ง )
ดังนั้นเมื่อคณะราษฎรทำการปฏิวัติ พระองค์จึงทรงเห็นด้วยไม่ได้ขัดขวาง ทั้งๆ ที่ทรงมีกำลังทั้งทหาร-พลเรือนที่จะสนับสนุนพระองค์มากกว่าเยอะ
ประเด็นสำคัญในเรื่องนี้ ขอนำเกร็ดประวัติศาสตร์ช่วงนี้ ฝากไว้เป็นข้อคิดถึง "พวกทหารที่อยู่กันในปัจจุบัน” ว่า เรื่องที่เกิดขึ้นภายหลังการปฏิวัติ ๒๔๗๕ หลังจากที่สำเร็จลงแล้ว ได้เป็นผลทำให้แกนนำกลุ่มทหารเหล่านี้ หันมาฆ่าฟันกันเองในภายหลัง
จนต้องกระจัดกระจายกันหลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ
บางคนเสียชีวิตในต่างประเทศ คนที่อยู่ในประเทศ ก็ถึงจุดจบของชีวิตลงอย่างทุกข์ทรมานทั้งๆ ที่ “เคยรักกันปานจะกลืนกิน” มาก่อน
ก่อนการปฏิวัติ ๒๔๗๕ มีนายทหาร ๓ คน (พระยาพหลฯ พระยาทรงฯ และ พระยาศรีสิทธิสงคราม) ซึ่งทั้ง ๓ คน สนิทสนมผูกพันกันมาก
จนคนทั่วไปเรียกกันว่า “ทแกล้วทหาร ๓ เกลอ” เลียนแบบนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศส จากเรื่องสามทหารเสือ (Les Trois Mousquetaires; หรือ The Three Musketeers)
หลังการปฏิวัติ ๒๔๗๕ ก็เกิดคำเรียกขานทหารกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นอีกว่า เป็น “สี่ทหารเสือ“ (พระยาพหลฯ พระยาทรงฯ พระยาฤทธิ์ฯ และ พระประศาสน์ฯ)
ส่วนพระยาศรีสิทธิสงคราม นั้นรู้เรื่องการทำปฏิวัติดี แต่ขอไม่เข้าร่วม โดยสัญญาว่าจะไม่บอกใคร และไม่ขัดขวาง เพราะเป็นทหารรักษาพระองค์
นอกจากนั้น ทหารที่เข้าร่วมทั้งหมดล้วนแต่ได้รับคำมั่นสัญญาว่า “การปฏิวัติจะไม่ส่งผลกระทบต่อพระฐานะ และพระเกียรติยศ ของ ร.๗”
คำว่า “ทแกล้วทหาร ๓ เกลอ” และ “สี่ทหารเสือ” ตามที่เขียนมานั้น ขอฝากไปให้เป็นข้อคิด ถึงทหารที่ประชาชน เรียกกันว่า “๓ ป." นำไปขบคิดด้วยครับ
ถ้าอ่านครั้งแรกไม่เข้าใจ ลองทบทวนแล้วอ่านกันอีกทีหนึ่ง อาจจะเกิดความเข้าใจอะไรดีๆ ขึ้นมาบ้างก็ได้ครับ
โดยเฉพาะเรื่องที่ต้อง “รักกันให้เหมือนเดิม"........
กุหลาบ สายประดิษฐ์ เขียนไว้ในหนังสือ เบื้องหลังการปฏิวัติ ๒๔๗๕ ว่า
"พระยาพหลฯ มีเพื่อนเกลอที่สนิทชิดชอบกันอย่างที่สุดอยู่ ๒ ท่าน คนหนึ่งได้แก่นายพันเอก พระยาทรงสุรเดช และอีกคนหนึ่งได้แก่นายพันเอก พระยาศรีสิทธิสงคราม เจ้ากรมยุทธการทหารบก ความสนิทชิดชอบระหว่าง ท่านนายพันเอกาหัวเยอรมันทั้ง ๓ นี้เป็นที่ปรากฏแจ้งชัดแก่นายทหารชั้นผู้ใหญ่ ทั่วไป จนถึงท่านเสนาบดีกระทรวงกลาโหม หม่อมเจ้าอลงกฎ ได้ประทานฉายา แก่ท่านทั้ง ๓ ว่า 'ทแกล้วทหาร ๓ เกลอ' แห่งกองทัพไทย ทรงเรียกพระยาทรงฯ ว่า ดาตายัง เรียกพระยาศรีฯ อาโธส และเรียกพระยาพหลฯ ว่า ปอโธส
ทั้งนี้ถือตามรูปลักษณะของท่านทั้ง ๓ และก็เป็นที่ปรากฏแก่กองทัพบกไทยใน เวลานั้นว่า ท่านนายพันเอกซึ่งสำเร็จวิชาทหารจากประเทศเยอรมันทั้ง ๓ ท่านนี้ เป็นผู้มีชื่อเสียงเพื่องในวิชาการทหาร สมกับที่ท่านเสนาบดีกลาโหมได้ประทาน ฉายาว่า 'ทแกล้วทหาร ๓ เกลอ' แห่งกองทัพบกไทยจริงๆ"
แต่หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ความสัมพันธ์ ของ "ทแกล้วทหาร ๓ เกลอ" ก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
พระยาทรงสุรเดชมีบทบาทสูงสุดในคณะทหาร มีการปรับโครงสร้างกองทัพบกใหม่ ให้พระยาพหลพลพยุหเสนา รับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ขณะที่พระยาทรงสุรเดชรับตำแหน่ง ผู้ช่วยเสนาธิการทหารบก ฝ่ายยุทธการ
ในทางปฏิบัติอำนาจทางทหารถูกรวบเอาไว้ที่พระยาทรงสุรเดช นำไปสู่ความบาดหมางหลังจากนั้น
ส่วนพระยาศรีสิทธิสงคราม คุณตาของพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรีคนปัจจุบัน ถูกย้ายไปอยู่กระทรวงธรรมการ เป็นผู้ตรวจการลูกเสือ
นี่คือความแตกร้าว ของ "ทแกล้วทหาร ๓ เกลอ"
พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ คงยกมาเป็นอุทาหรณ์สำหรับ ๓ ป. ปัจจุบันโลดแล่นบนเส้นทางการรักษาอำนาจทางการเมือง
ยุทธศาสตร์ของ ๓ ป. ไม่เหมือนที่นักการเมืองปกติเขาใช้กัน จึงยากต่อการคาดเดา โดยเฉพาะ "แบ่งแยกแล้วปกครอง" ที่บางคราวภาพออกมาดูเสมือนว่า ๓ ป.แตกคอกันเอง
เส้นทางการเมืองของ ๓ ป. จะว่าเหลือเวลาอีกยาวไกลก็ได้
หรือสั้นจุ๊ดจู๋ก็ได้เช่นกัน
อยู่ที่ฝีมือของ ๓ ป.เอง.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'สว.สีส้ม' ปีศาจตนใหม่
มาช้ายังดีกว่าไม่มา คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เริ่มขยับแล้ว
'นักโทษ'ตรวจการบ้าน
ยกประเทศให้ไปเลยดีมั้ยครับ นานๆ ประชดที เพราะทนเห็นบางคนยังใช้สันดานเดิม เป็นสันดานที่ทำให้ต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศนานถึง ๑๗ ปีไม่ได้
เลือกคุกจะได้คุก
ว่อนสิครับ! หนังสือจาก "เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ" ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ถึงสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
ตายหมู่ไปกับ 'ดิจิทัลวอลเล็ต'
ในที่สุดก็ชัดเจน ถือเป็นความรับผิดร่วมกันของคณะรัฐมนตรี โดยมิอาจมีใครปฏิเสธในภายหลังได้เลยว่า ไม่มีส่วนรับรู้กับนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต ให้ประชาชนหัวละ ๑ หมื่นบาท ด้วยงบประมาณกว่า ๕ แสนล้านบาท
มันมากับความเงียบ
งานเลี้ยงใกล้เลิกรา... สมาชิกวุฒิสภาชุดปัจจุบันจะหมดวาระลงเดือนพฤษภาคมนี้แล้วครับ
แผนแทรกแซงกองทัพ
ก็ยังไม่เห็นว่าหน้าตาชัดๆ เป็นอย่างไร หมายถึงกฎหมายต้านการปฏิวัติรัฐประหารครับ