ดูปาก 'ณัชชา' นะคะ

ในการศึก

"นิ่ง" น่าสะพรึงกลัวกว่า "เคลื่อนไหว"

เพราะนิ่ง ศัตรูจะครั่นคร้าม ด้วยเดาใจไม่ถูกว่า ในนิ่งนั้น ซ่อนเล่ห์กลศึกใด

ตรงข้ามกับเคลื่อนไหว ฝ่ายตรงข้ามชอบ

เพราะเคลื่อนไหวในสถานการณ์ที่เป็นรอง ย่อมเปิดช่องว่าง-รูโหว่ให้ฝ่ายตรงข้ามเห็น และเขาจะโหมโจมตีจุดนั้น

"ขงเบ้ง" ตอนถูก "สุมาอี้" ไล่ล่า

ไม่เพราะใช้ "สงบสยบเคลื่อนไหว" ดอกหรือ จึงรอด!

เพราะเมื่อจนตาหนี

ก็แสร้งเปิดประตูเมืองร้าง แล้วขึ้นไปนั่งตีขิมบนกำแพง แทะเม็ดกวยจี๊ เจี๊ยะเต้ ผายลมป้าด..ป้าด สบายอก-สบายใจ

สุมาอี้เห็น...ก็ นั่นแน่....

อุบายศึกตื้นๆ "ไม่มี-ทำเป็นมี", "มี-ทำเป็นไม่มี" เพื่อหลอกให้เราตายใจ

บุกเข้าไป ขงเบ้งก็จะโบกธงสัญญาณให้ทหารที่ซุ่มซ่อนไว้ "ปิดประตูตีแมว"

อุบายตื้นๆ แบบนี้ ใช้กับคนอย่างสุมาอี้ไม่ได้หรอก เรารู้ทันน่า....ทำนองนั้น

วันนี้ ๑๖ กันยา. "หวยออก"

ได้ข่าวว่า "พลเอกประยุทธ์" ลงพื้นที่จังหวัดระยอง ไปดูน้ำ-ดูท่า ไปให้กำลังใจทหารที่กำลังทำงาน ทั้่งเยี่ยมเยียนชาวบ้านชาวช่อง

ถ้าเป็นสมัยโบราณเขาเรียกว่า "เตรียมการรับศึก" แต่ครั้งนี้ ไม่ใช่รับกองทัพพม่า แต่เป็นรับ "กองทัพน้ำ" ที่เอาเราแน่

มนุษย์เนี่ย ตัวตนจริงๆ ไม่มีหรอก

เพียงแต่ "ธาตุดิน-ธาตุน้ำ-ธาตุลม-ธาตุไฟ" มาผสมตามสัดส่วนเป็นรูป-เป็นร่างให้เราทึกทักว่า...นี่ "ตัวตน" เท่านั้น

ฉะนั้น เพื่อ "สร้างสมดุล" ความเป็นตัวตนตามธรรมชาติ

ในการดำรงวิถีชีวิต เราต้องรู้จักอยู่แบบ "ตีนติดดิน-กินน้ำคลอง-ท่องกลางแดด"

และ "อานาปานสติ" คือหมั่นกำหนดลมหายใจเข้า-ออกให้เป็นประจำ จนเป็นนิสัย ชนิดว่า นึกได้ตอนไหน กำหนดรู้ตอนนั้น ทุกครั้งไป

ทำได้แบบนี้ รับประกัน "จิตสบาย-กายสมบูรณ์"

ที่สำคัญ จะเป็นมนุษย์ "กึ่งอมตะ" อยู่ไปจนเบื่อว่า "เมื่อไหร่จะตายซะที" นั่นแหละ เพราะพรรคพวก-เพื่อนฝูง ชิงหนีไปจองวิมานทำเลดีๆ ล่วงหน้าหมดแล้ว

นายกฯ ประยุทธ์ไป ก็ไปย่ำน้ำ ลุยโคลน งับโอโซนกลางแดด เรียกว่า สร้างพลังชีวิตสมดุล แบบ Vitality

ทำงานงกๆ มา ๘ ปี.....

ได้พักร้อน ๓๕ วัน จาก ๒๕ สิงหา.ไปถึง ๓๐ กันยา. ช่วงศาลฯ ให้พักการทำหน้าที่ระหว่างตีความอายุนายกฯ ๘ ปี

ใครว่าไงไม่รู้ สำหรับผม อยากบอกว่า "อิจฉาท่าน" จัง!

ยังได้ชิลๆ อีก ๑๔ วัน

กว่าจะถึง ๓๐ กันยา.ที่ศาลรัฐธรรมนูญ นัดฟังคำวินิจฉัยและลงมติชี้ขาด ว่า "ลุงตู่" จบแค่นี้ หรือ

"ลุงตู่" ยังได้ไปต่ออีก ๔ ปี!?

ผมเห็นทั้งสื่อ ทั้งสาก ทั้งนักวิชาการล้นเกิน ยกนั่น-ยกนี่ ขึ้นมาตีความแทนศาลฯ กันวันละ ๓ รอบ ๕ รอบ

นี่...ผมกะว่า ที่ไหนเปิดสอบเป็นเนติฯ จะรีบไปสมัครทันทีเลย ทั้่งที่ไม่เคยเรียนกฎหมง-กฎหมายกะเขานี่แหละ เพราะฟังจนล้นทะลุขี้หูแล้ว

เท่าที่สังเกต เจ้าตัว คือนายกฯ ไม่เห็นท่านวิตก-ทุกข์ร้อนอะไร ตรงข้ามกับสื่อ นักวิชาการล้นเกิน และผู้ร้อง คือ ส.ส.ฝ่ายค้าน-เพื่อไทย

กระวน-กระวาย หายใจเข้า-แช่ง หายใจออก-แช่ง "ตู่ตายแน่...ตู่ตายแน่"

ดึกดื่นคืนค่อน ไม่เป็นอันนอน-อันหลับ  ต้องคอยหอนแข่งหมา ชะเง้อรอตะวันขึ้น เพื่อเคาต์ดาวน์กัน!
เป็นเอามากนะ เป็นกันจนออกหน้า-ออกตา ก็ไม่ทราบว่าลุงตู่ไปเหยียบหัวแม่ตีนหรือหัวใครเขาไว้ เขาจึงเกลียดชัง ขับไสไล่ส่งกันถึงขนาดนั้น?
 ถ้าเสกหนังควายเข้าท้องได้ คงเสกกันไปนานแล้ว แต่ผมดูทรงแล้ว เลย ๓ โมงเย็น วันที่ ๓๐ กันยา.ไป

ต้องมีคน "อกแตกตาย" แหง

ผสมเสียงคนร้อง "เราฉิบหายอีกแล้ว...พี่จ๋า"!

รักจะติดตามเรื่องนี้ ผมขอย้ำ ก่อนมีคำตอบให้ตัวเอง ทุกคนต้องอ่านโจทย์ให้เข้าใจ และตีโจทย์ จับประเด็นที่เขาถามให้ได้

ไม่งั้น จะหลงโจทย์ ตอบผิด ถ้าตีโจทย์ไม่แตก!

ก่อนอื่น ถามตัวเองก่อนเลยว่า โจทย์ที่ฝ่ายค้าน-เพื่อไทย เขายื่นให้ศาลฯ ตีความนั้น มีว่าอย่างไร?

ก็ยังไม่รู้กันใช่มั้ย?

ส่วนใหญ่จะกล้อมแกล้มว่า พลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ มา ๘ ปีแล้ว จาก ๒๔ สิงหา.๕๗ ครบ ๘ ปี ๒๓ สิงหา.๖๕ รัฐธรรมนูญปัจจุบันเขาห้ามเป็นเกิน ๘ ปี ฉะนั้น ลุงตู่ต้องลง!

ก็ไม่ผิด-ไม่ถูกซะทีเดียว นั่นเป็นความเข้าใจแบบ ๒+๒ เป็น ๔ แต่ถ้าใครบอก ๓+๑ เป็น ๔ หรือ ๔-๐ เป็น ๔ ก็จะว่าผิด

ฉะนั้น แบบไหนผิด-แบบไหนถูก ต้องไปดูโจทย์ให้ชัด ว่า โจทย์เขาถาม ด้วยต้องการทราบอะไร ตรงไหน?

ที่ฝ่ายค้านส่งโจทย์ให้ศาลฯ ตีความ ดังนี้........

๑.ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการสิ้นสุดลงของตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๗๐ วรรคสอง และมาตรา ๑๕๘ วรรคสี่

๒.ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งนายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่ จนกว่าจะมีคำสั่ง เนื่องจากเห็นว่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นตำแหน่งสำคัญของการบริหารราชการแผ่นดิน

ตามโจทย์ ข้อ ๒ ศาลฯ พิจารณาวินิจฉัย และมีมติ ๕:๔ ให้พลเอกประยุทธ์ "หยุดปฏิบัติหน้าที่" ชั่วคราวไปแล้ว

ก็เหลือโจทย์ ข้อที่ ๑ ซึ่งศาลจะวินิจฉัยและลงมติกันในวันที่ ๓๐ กันยา.

ประเด็นที่ฝ่ายค้านตั้งเป็นโจทย์ให้ศาลฯ วินิจฉัย คือการสิ้นสุดลงของตำแหน่งนายกฯ

-ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๗๐ วรรคสอง  และ

-มาตรา ๑๕๘ วรรคสี่ ตามรัฐธรรมนูญ ปี ๖๐

นี่....โจทย์ตีกรอบให้วินิจฉัยใน ๒ มาตรานี้

คนวินิจฉัย คือตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ก็ต้องวินิจฉัยโดยต้องอยู่ในกรอบตามโจทย์ คือ ๒ มาตรานี้ เท่านั้น

ส่วนเรื่องบันทึกการประชุม ๕๐๐ และ ๕๐๐/๑ ต่างๆ นานา ตามที่มีขบวนการปล่อยเพื่อนำมาปั่นให้เป็นกระแส จากจิ้งจกให้เป็นจระเข้ยักษ์อะไรนั่น

มัน "นอกโจทย์" ไม่ใช่สาระหลักที่ศาลฯ ท่านจะต้องนำมาพิจารณาวินิจฉัย อย่างที่พล่ามให้ชาวบ้านหลงเข้าใจทางนั้น

ตอนนี้ โจทย์แตกเป็น ๒ โจทย์ คือ

-"โจทย์หลัก" ที่อยู่ในศาลฯ กับ

-"โจทย์ลวง" ที่ขบวนการลากมาปั่นล่อนอกศาลฯ

ถ้า ๓๐ กันยา.มติศาลออกมาไม่ตรงใจ ก็จะได้ใช้กระแส "โจทย์ลวง" ที่ปูทางนำไว้นั้น ว่า...นั่นไง กูว่าแล้ว

จากนั้น ก็ตาม "แผน ๒" ปั่นลากขบวนการลงถนน!

รัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๗๐ วรรคสอง มีความว่า

มาตรา ๑๗๐ ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว เมื่อ ตาย, ลาออก และ ฯลฯ......

 (วรรสอง) "นอกจากเหตุที่ทำให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามวรรคหนึ่งแล้ว  ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเมื่อครบกำหนดเวลาตามมาตรา ๑๕๘ วรรคสี่ ด้วย"

และรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๕๘ มีความว่า

"พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอื่นอีกไม่เกินสามสิบห้าคน ประกอบกันเป็นคณะรัฐมนตรี มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน ตามหลักความรับผิดชอบร่วมกัน

-นายกรัฐมนตรีต้องแต่งตั้งจากบุคคลซึ่งสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๕๙

-ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี

-(วรรคสี่) นายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งรวมกันแล้วเกินแปดปีมิได้ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการดำรงตำแหน่งติดต่อกันหรือไม่ แต่มิให้นับรวมระยะเวลาในระหว่างที่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปหลังพ้นจากตำแหน่ง"

อ่านปุ๊บ เข้าใจปั๊บ ไม่ต้องไปดูเจตนารมณ์ผู้ร่างหรือเศษกระดาษบันทึกการประชุมอะไรเลย

เพราะ วรรคสอง มาตรา ๑๗๐ กับวรรคสี่ มาตรา ๑๕๘ เชื่อมโยงถึงกัน

โดยวรรคสอง มาตรา ๑๗๐ "ล็อกเป้า" คนเป็นนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญฉบับปี ๖๐ ไว้ที่มาตรา ๑๕๘ ที่กำหนดขั้นตอนสู่ความเป็นนายกฯ ไว้

นั่นคือ นายกฯ ๘ ปีในที่นี้ นายกฯ คนนั้น จะต้องมาโดยผ่านขั้นตอนตามลำดับ

-วรรคหนึ่ง พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง

-วรรคสอง นายกฯ ต้องแต่งตั้งจากบุคคลซึ่งสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๕๙

-วรรคสาม ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี

เมื่อผ่านขั้นตอนตามรัฐธรรมนูญบัญญัตินี้แล้ว จึงจะเข้ากรอบกฎเกณฑ์ตามวรรคสี่ ที่ว่า.......

"นายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งรวมกันแล้วเกินแปดปีมิได้ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการดำรงตำแหน่งติดต่อกันหรือไม่ แต่มิให้นับรวมระยะเวลาในระหว่างที่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปหลังพ้นจากตำแหน่ง"

สรุป.........

ความใน ๒ มาตรา เชื่อมโยงบ่งบอกตัวนายกฯ ตามโจทย์ถาม "ครบ-จบ-ชัด" ในข้อกฎหมายในตัวมันเอง

โดยไม่ต้องไปเอาเศษกระพี้ในวงข้าว-วงกาแฟ กรธ.คนไหน มาเป็นกุญไขประตูตัวแม่บทกฎหมายที่เปิดอ้าอยู่แล้ว

ก็ไม่ต้องไปหวั่นไหว....

ทั้งวัน "มามาก" และ "มาน้อย" กันเลยครับ!

คนปลายซอย

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'เศรษฐา' กับ 'อนาถา'

ยุค "นักโทษ" เป็นใหญ่ "ปรับ ครม.เพื่อไทย" จะแจก-จะริบ "อาหารเม็ด" หมาในคอกตัวไหน?

๑ หมื่น 'ไม่ลื่นคอ' นะจ๊ะ

ปกติจ้อจน "จ๋อลพบุรี" ตกต้นไม้ แต่พอถึงเรื่อง "เงินแจก ๑ หมื่น" ชาวบ้านที่ไม่ต่างแมวถูกเศรษฐาเอาปลาย่างทาจมูก ต่างรอฟังผลประชุม ครม.ตกลงจะเคาะแจกวันไหน?

"ขายเพื่อน" ใครจะคบ?

"บิ๊กโจ๊ก-พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล"สมแล้ว ที่มีคนเรียก "เทพโจ๊ก" บ้าง "มารโจ๊ก" บ้าง "แมวเก้าชีวิต" บ้าง "โจ๊ก หวานเจี๊ยบ" บ้าง

'เรามาปฏิวัติกันเถอะ'

รัฐบาลนี้.... ในจำนวนรัฐมนตรีทั้งหมด ๓๓-๓๔ คน มี "ใหญ่จริง" ที่ได้รับการซูฮกยกเป็น "บิ๊ก" มีอยู่คนเดียว