ปฐมบทศึกยูเครน ยุทธศาสตร์นาโตขยายตัว

     เดิมยูเครนเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต เมื่อสิ้นระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ หลายประเทศที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียตแยกตัวออกเป็นรัฐอธิปไตย ยูเครนเป็นหนึ่งในนั้น เป็นประชาธิปไตยเกิดใหม่ ประชาชนขาดความรู้ความเข้าใจ การเมืองอ่อนแอ อำนาจปกครองกระจุกตัวอยู่ในคนไม่กี่กลุ่ม

     ช่วงปี 2013-14 ฝ่ายการเมืองแย่งชิงกันอย่างหนัก ฝ่ายหนึ่งอิงชาติตะวันตก อีกฝ่ายรัสเซียให้การสนับสนุน ปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2014 ประธานาธิบดีวิกเตอร์ ยานูโควิช (Viktor Yanukovych) หนีออกจากประเทศ นับจากนั้นเป็นต้นมารัฐบาลใหม่อิงชาติตะวันตก

ภาพ: แผนที่ยูเครนและโดยรอบ\

รัฐบาลยูเครนที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง:

     พฤษภาคม 2019 นายโวโลดิมีร์ เซเลนสกี (Volodymyr Zelenskiy) นักแสดงตลกผู้ไม่เคยทำงานการเมืองมาก่อน ชนะเลือกตั้งจากการหาเสียงเน้นต่อต้านทุจริตทางการเมือง ต่อต้านกลุ่มการเมืองที่ครอบงำประเทศ สัญญาให้ประชาชนมีอำนาจการเมืองการปกครอง ยุติความขัดแย้งภายในประเทศ นักวิเคราะห์บางคนชี้ว่าเหตุที่ชนะเพราะชาวยูเครนเบื่อหน่ายนักการเมืองไม่ว่ามาจากขั้วใด

     เซเลนสกีที่นิยมตะวันตก แสดงตัวอย่างรวดเร็วเมื่อดำเนินนโยบายใกล้ชิดอียู ร้องขอเป็นสมาชิกนาโต แม้รัสเซียจะเตือนซ้ำแล้วซ้ำอีก ระดมกองทัพนับแสนซ้อมรบใกล้ชายแดน ชาติตะวันตกเตือนเช่นกันว่ารัสเซียอาจส่งกองทัพบุกยูเครนแต่เซเลนสกีไม่ฟัง ในที่สุด 24 กุมภาพันธ์ปีก่อนกองทัพรัสเซียบุกข้ามพรมแดน รัฐบาลสหรัฐกับพวกเริ่มส่งความช่วยเหลือทางทหารและอื่นๆ แก่ยูเครน

     ปลายเดือนธันวาคม 2022 เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ (Sergei Lavrov) รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศรัสเซียกล่าวว่า “พฤติกรรมร่วมของพวกตะวันตกกับหุ่นเชิดเซเลนสกี (puppet Zelensky) ตอกย้ำลักษณะวิกฤตยูเครนที่เป็นเหมือนกันทั่วโลก”

     ไม่ว่าจริงหรือเท็จ รัสเซียคิดว่าเซเลนสกีเป็นแค่ “หุ่นเชิด” เท่านั้น

ยุทธศาสตร์นาโตขยายตัว เส้นต้องห้ามของปูติน:

     พร้อมกับการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ชาติตะวันตกดำเนินยุทธศาสตร์นาโตขยายตัว (NATO Enlargement, NATO expansion) รวบรวมประเทศที่แตกออกเข้าเป็นสมาชิก ชี้ว่าการรับสมาชิกใหม่จะยิ่งทำให้มั่นคง เพราะสมาชิกจะทำไม่สงครามต่อกันและหวังว่ารัสเซียจะเป็นสมาชิกด้วย

     เมษายน 2014 ลาฟรอฟกล่าวว่ารัสเซียอยากได้ระบบความมั่นคงที่ทุกประเทศในยุโรป-แอตแลนติกเท่าเทียมกันและไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย แต่ชาติตะวันตก “ขยายสมาชิกภาพนาโต สร้างพันธมิตรทางทหารขยายตัวมาทางตะวันออก”

     ตามมุมมองของรัสเซีย ยุทธศาสตร์ดังกล่าวคือการจำกัดอิทธิพลของตนในยุโรป ประเทศที่เคยเป็นพวกถูกดึงเข้านาโต ตีความว่าการเป็นสมาชิกนาโตหมายถึงการอยู่ใต้อำนาจของรัฐบาลสหรัฐ พูดง่ายๆ นาโตคือกลุ่มประเทศที่อยู่ใต้อิทธิพลทางทหารของสหรัฐนั่นเอง

     รัฐบาลสหรัฐเอ่ยถึงภัยคุกคามจากรัสเซียอยู่เสมอ คำถามคือรัสเซียเป็นภัยคุกคามมากถึงขั้นนั้นจริงหรือ อะไรคือเป้าหมายที่แท้จริงที่พยายามรับสมาชิกเพิ่ม Benjamin Schwarz ชี้ว่า เป็นนโยบายที่สหรัฐต้องการขยายอิทธิพลตนเองมากกว่า ต้องการขยายไปถึงประเทศที่พรมแดนติดรัสเซีย

     Ronald Steel อธิบายว่า คือการพยายามรักษาความเป็นเจ้า ยิ่งสหรัฐถดถอยยิ่งต้องพยายามกระชับอำนาจ รัฐบาลสหรัฐไม่ว่าชุดใดจะต้องทำบางอย่างเพื่อรักษาความเป็นเจ้าของตนไว้ และเนื่องจากอิทธิพลของสหรัฐต่อยุโรปตะวันตกลดลงเรื่อยๆ จึงพยายามเข้าแทรกด้วยการมีอิทธิพลต่อสมาชิกนาโตใหม่ ผลคือนาโตแยกออกเป็น 2 ฝ่าย (สมาชิกจากยุโรปตะวันตกมีความเป็นตัวของตัวเองมากกว่ายุโรปตะวันออก)

     ภายใต้แนวคิดนี้รัฐบาลสหรัฐจะไม่หยุดยุทธศาสตร์นาโตขยายตัว ศึกยูเครนในยามนี้เป็นเครื่องมือกระชับอำนาจดังกล่าว

     รัฐบาลรัสเซียประกาศมานานแล้วว่ายูเครนต้องไม่เป็นสมาชิกนาโต เป็นเส้นต้องห้าม (redline) ตามยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศของรัสเซียที่จะมีแนวรัฐกันชน (buffer state)

     รัฐมนตรีลาฟรอฟชี้ว่ารัสเซียกับยูเครนมีแนวพรมแดนยาว 2,259 กิโลเมตร เป็นพรมแดนทางบก 1,974 กิโลเมตร และอีก 321 กิโลเมตรเป็นพรมแดนทางทะเล หากยูเครนเป็นสมาชิกนาโต การเผชิญหน้าทางทหารย่อมเกิดขึ้น ทั้งสองฝ่ายจะต้องส่งทหารเข้าประจำการตามแนวพรมแดน สร้างความตึงเครียด รัสเซียจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องทำนองนี้

     แต่รัฐบาลเซเลนสกียืนกรานขอเป็นสมาชิกนาโต เป็นแนวทางอธิบายแบบหนึ่งว่าทำไมในที่สุดกองทัพรัสเซียบุกเข้ายูเครน

     Mason Clark นำเสนอว่า นับจากเริ่มศตวรรษที่ 21 รัสเซียได้ทำและกำลังทำสงครามไฮบริดกับสหรัฐ พร้อมกับที่รัสเซียปรับปรุงกองทัพและอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ สำหรับสงครามนี้

     Ralph D. Thiele อธิบายว่า รัสเซียต้องการยูเครนมานานแล้ว เปิดฉากทำสงครามไฮบริดต่อยูเครนด้วยการส่งอาวุธให้กองกำลังท้องถิ่นที่ต่อต้านรัฐบาลยูเครน ส่งทหารรับจ้างไปช่วยก่อเหตุร้าย ทำลายเศรษฐกิจท้องถิ่น ทำให้ระบบของรัฐบาลกลางไม่ทำงาน ทำสงครามข้อมูลข่าวสาร คนยูเครนจำนวนมากหนีออกจากพื้นที่

     ไม่ว่าจะใช้มุมมองจากนาโตหรือรัสเซีย ข้อสรุปประการหนึ่งที่แน่นอนคือ ทั้งสองฝ่ายต่างหวังมีอิทธิพลต่อยูเครน จนรัฐบาลยูเครนไม่เป็นตัวของตัวเอง เป็นพัฒนาการตั้งแต่ยูเครนแยกตัวเป็นอิสระเมื่อ 3 ทศวรรษก่อน เป็นสมรภูมิการแข่งขันช่วงชิงระหว่างมหาอำนาจที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน ในที่สุดเป็นเหตุให้รัสเซียส่งกองทัพบุกยูเครน

     ศึกยูเครนรอบนี้อาจตีความว่าคือภาค 2 ของสถานการณ์เมื่อปี 2014 ที่รัสเซียยึดไครเมีย เป้าหมายหลักเหมือนเดิม คือ ยูเครนต้องไม่เป็นเครื่องมือของนาโตที่คุกคามตน

     คำอธิบายอีกแบบที่รัฐบาลปูตินใช้คือ เป็นปฏิบัติการพิเศษทางทหารเพื่อหยุดสงครามในดอนบัส (Donbass)

     มกราคม 2023 ประธานาธิบดีปูตินย้ำอีกครั้งว่าตั้งแต่ปี 2014 เป็นต้นมาเกิดความเป็นปรปักษ์อย่างแรงในสาธารณรัฐประชาชนโดเนตสค์ (Donetsk People's Republic) กับสาธารณรัฐประชาชนลูฮันสค์ (Luhansk People's Republic) ฝ่ายตรงข้ามใช้อาวุธสงครามทั้งเครื่องบินรถถังโจมตีชนเชื้อสายรัสเซียนที่อยู่ใน 2 พื้นที่นี้ รัสเซียพยายามใช้สันติวิธีแล้วแต่กลายเป็นว่าโดนหลอก เป็นที่มาของปฏิบัติการพิเศษทางทหารเพื่อหยุดสงครามในพื้นที่ดังกล่าว (ทั้งโดเนตสค์กับลูฮันสค์ต่างเป็นส่วนหนึ่งของดอนบัส)

     มุมมองจากรัฐบาลปูตินคือเข้าไปปกป้องชนชาวรัสเซียนที่อยู่ในดอนบัส

ยุทธศาสตร์ทำลายรัสเซีย จัดระเบียบโลกใหม่:

     ศึกยูเครนมองได้หลายกรอบ อาจตีความว่าหวังทำลายรัสเซียหรือทำให้รัสเซียอ่อนกำลัง ตีความว่ารัฐบาลสหรัฐกำลังกระชับอำนาจของตนในนาโต (สังเกตว่าสงครามยูเครนทำให้นาโตผนึกกำลังกันโดยมีสหรัฐเป็นแกนนำ) กรอบที่กว้างที่สุดคือเป็นส่วนหนึ่งของการจัดระเบียบโลก

     เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศรัสเซียกล่าวว่า “เป้าหมายทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐกับพันธมิตรนาโตคือเอาชนะรัสเซียโดยใช้สนามรบเป็นกลไกบั่นทอนหรือทำลายประเทศของเรา” อีกทั้งเป็นแผนการของรัฐบาลสหรัฐที่ต้องการทำลายความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับยุโรป และทำให้ชาติยุโรปเหล่านั้นขึ้นตรงกับอเมริกามากขึ้น

     กลางเดือนมกราคม 2023 Dmitry Medvedev รองหัวหน้าสภาความมั่นคงรัสเซีย (deputy head of Russia’s security council) กล่าวว่า “ไม่ต้องสงสัยเลย ศัตรูของเราจะพยายามบั่นทอนหรือทำลายเรา”

     ถ้าตีความในกรอบกว้าง ศึกนี้ไม่ใช่ความขัดแย้งของยูเครนกับรัสเซีย ไม่ใช่ปฏิบัติการพิเศษทางทหารในดอนบัสเท่านั้น ถ้าอธิบายเชิงตั้งรับรัสเซียหวังหยุดยุทธศาสตร์นาโตขยายตัว ศึกยูเครนเป็นคำเตือนแก่นาโตว่ารัสเซียจะทำอย่างไรหากนาโตยังคุกคามรัสเซีย

     ประเด็นที่ควรตอกย้ำคือ นับจากยูเครนแยกตัวออกจากสหภาพโซเวียตกลายเป็นรัฐประชาธิปไตย พวกนักการเมืองพยายามแบ่งแยกประชาชน เกิดความเป็นขั้วอย่างรุนแรง ทั้งนี้ชาติมหาอำนาจร่วมผสมโรงได้ประโยชน์จากการแตกแยกของคนยูเครน สามารถดึงฝ่ายการเมืองให้อยู่กับตนเกิดรัฐบาลที่อิงตะวันตกหรืออิงรัสเซีย ในที่สุดได้รัฐบาลเซเลนสกีที่ไม่ยอมถอนคำร้องขอเป็นสมาชิกนาโตจนกลายเป็นสงครามดังที่เป็นอยู่ ชาติมหาอำนาจต่างได้ผลประโยชน์มากมาย กล่าวได้ว่าชาติมหาอำนาจมั่นคงมั่งคั่งขึ้นบนความสูญเสียของยูเครน

     ยูเครนเป็นแค่เหยื่อที่ต้องถูกทำลาย.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อดีตบิ๊กข่าวกรองเตือนสติ! อย่าหลับตาพูดลืมตาดูสถานการณ์โลกด้วย

นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ

อิสราเอลโจมตีกงสุลอิหร่านและการตอบโต้

ฮามาสทำศึกกับอิสราเอลได้ครึ่งปี เกิดสงครามตัวแทนระหว่างอิสราเอลกับกองกำลังที่อิหร่านสนับสนุน คราวนี้ถึงรอบอิหร่านปะทะกับอิสราเอลโดยตรงแล้ว

BRICSขยายตัวหมายถึงอะไรบ้าง

BRICS ที่ขยายตัว ชี้ว่ามีประเทศที่หันเข้าสู่ฝ่ายตรงข้ามสหรัฐมากขึ้น แต่ทั้งนี้บางประเทศเพียงอยากมีมิตรหลากหลาย ร่วมมือกับประเทศที่ไม่อยู่ขั้วสหรัฐ

ไบเดนสนับสนุนเนทันยาฮูมากแค่ไหน

ถ้าพุ่งความสนใจ สถานการณ์ล่าสุดดูเหมือนว่ารัฐบาลไบเดนขัดแย้งเนทันยาฮู แต่หากมองภาพใหญ่จะพบว่านับวันพื้นที่ปาเลสไตน์ลดน้อยลงทุกที และกำลังจะเป็นเช่นนี้อีกที่กาซา

ข้อมติให้กาซาหยุดยิงเพื่อใคร

รัฐบาลสหรัฐเสนอร่างมติให้กาซาหยุดยิง เป็นมิติใหม่ที่ใช้ UNSC กดดันอิสราเอล แต่เรื่องนี้มีความแหลมคมซ่อนอยู่ แท้จริงแล้วเป็นการช่วยอิสราเอลมากกว่า

ศึกยูเครนสงครามที่รัสเซียจะไม่แพ้

สงครามยูเครนฝ่ายรัสเซียมีแต่ชนะกับเสมอ ส่วนยูเครนมีแต่เสมอกับแพ้ เพราะรัสเซียพร้อมใช้นิวเคลียร์ถ้าใกล้แพ้ ส่วนนาโตไม่กล้าใช้นิวเคลียร์ช่วยยูเครนที่กำลังปกป้องประชาธิปไตยยุโรป