เซเลนสกีกำลังรอสายจาก ‘ท่านสี...ผู้มากด้วยบารมี’

วันนี้วันที่ 397 ของสงครามยูเครน ประธานาธิบดีเซเลนสกี ของยูเครน คงกำลังรอสายจากประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน

เพราะมีการบอกกล่าวก่อนหน้านี้ว่า เมื่อ “ท่านสี” เจอกับ “เพื่อนรัก” ปูตินแห่งรัสเซีย ที่มอสโกเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาแล้ว ปักกิ่งก็จะติดต่อมากรุงเคียฟเพื่อให้ผู้นำทั้งสองสนทนากันผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์

เผื่อว่าสี จิ้นผิง จะมาเล่าให้เซเลนสกีฟังว่าปูตินพร้อมจะเจรจาสันติภาพหรือไม่อย่างไร

เท่าที่ผมติดตามการพบปะระหว่างสีกับปูตินช่วงวันที่ 20-23 มีนาคมที่ผ่านมา การเจรจาสันติภาพระหว่างยูเครนกับมอสโกคงไม่เกิดขึ้นง่ายๆ

เพราะปูตินบอกว่า รัสเซียพร้อมจะเข้าสู่กระบวนการสันติภาพที่จีนเสนอ แต่เขาเชื่อว่าตะวันตกและยูเครนยังไม่พร้อม

เพราะยังเห็นตะวันตกส่งอาวุธมาให้ยูเครนตลอดเวลา  โดยไม่มีทีท่าว่าจะแผ่วลงแต่อย่างใด

แผนของจีนที่เผยแพร่เมื่อเดือนที่แล้วไม่ได้เรียกร้องให้รัสเซียออกจากยูเครนอย่างชัดเจน

ฝั่งตะวันตกบอกว่า “12 ข้อ” ในข้อเสนอของจีน ที่เรียกร้องให้มีการพูดคุยสันติภาพและเคารพอธิปไตยของทุกประเทศนั้น ไม่มีประเด็นใหม่หรือรายละเอียดแต่อย่างใด

ทั้งๆ ที่รู้ว่าทั้งสองฝ่ายมีเงื่อนไขอย่างไร

ยูเครนยืนกรานให้รัสเซียถอนตัวออกจากดินแดนของตนอันเป็นเงื่อนไขสำหรับการเจรจาใดๆ 

ไม่มีวี่แววว่ารัสเซียจะยอมตามนั้น

เพราะมอสโกยืนยันว่ายูเครนต้อง “ยอมรับความจริง” ว่าทหารรัสเซียมีสิทธิ์ที่จะยึดครองดินแดนของยูเครนทางตะวันออกและทางใต้ เพราะเข้ามาเพื่อ “ปกป้องสิทธิ” ของคนรัสเซียหรือคนพูดภาษารัสเซีย

แอนโทนี บลิงเกน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ยังแสดงความกังขาต่อเนื้อหาข้อเสนอของจีน

เขาบอกว่า การเรียกร้องให้หยุดยิงก่อนที่รัสเซียจะถอนตัวออกจากยูเครนก็เท่ากับ "เป็นการสนับสนุนการให้สัตยาบันว่ารัสเซียเป็นผู้มีชัยชนะในสงคราม"

เราเห็นภาพของสี จิ้นผิง กับปูตินแถลงข่าวร่วมกันอย่างอบอุ่น

ปูตินเอาใจปักกิ่งด้วยการบอกว่า "เนื้อหาของแผนสันติภาพของจีนสามารถใช้เป็นพื้นฐานสำหรับการยุติความขัดแย้งในยูเครน เมื่อใดก็ตามที่ตะวันตกและเคียฟพร้อมสำหรับเรื่องนี้"

แต่ปูตินชี้ว่ารัสเซียยังไม่เห็น "ความพร้อม" เช่นว่านี้จากอีกฟากฝั่งหนึ่ง 

 สี จิ้นผิง ยืนเคียงข้างปูติน ตอกย้ำถึงความจริงใจและจริงจังของปักกิ่งที่จะสนับสนุนสันติภาพและการเจรจา 

โดยบอกว่าจีน “ยืนอยู่ข้างความถูกต้องของประวัติศาสตร์เสมอ”

สีไม่ลืมที่จะยืนยันว่าจีนมี "จุดยืนที่เป็นกลาง" ต่อความขัดแย้งในยูเครน 

และพร้อมจะช่วยทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลงที่จะนำไปสู่ความสงบอีกครั้ง

ที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าเรื่องสงครามคือ การกระชับความร่วมมือด้านอื่นๆ ของสองประเทศ

โดยเฉพาะด้านความสัมพันธ์ทางการค้า พลังงาน และการเมืองที่ถูก “ยกระดับ” ขึ้นระหว่างทั้งสองประเทศ

“จีนเป็นหุ้นส่วนการค้าต่างประเทศอันดับหนึ่งของรัสเซีย” ปูตินบอก

และประกาศคำมั่นว่าจะเดินหน้าทำให้การค้าระหว่างสองชาติเพิ่มขึ้นไปในระดับสูงกว่าในอดีตที่ผ่านมา

ที่น่าสนใจคือ การบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับการสร้างท่อส่งก๊าซในไซบีเรียเพื่อส่งก๊าซรัสเซียไปยังจีนผ่านมองโกเลีย

เห็นชัดว่าตั้งแต่สงครามยูเครนระเบิดกว่าหนึ่งปีมานั้น  จีนซื้อพลังงานจากรัสเซียในปริมาณที่เพิ่มขึ้นกว่า 40%

อีกทั้งปูตินประกาศว่าจะร่วมมือกับจีนและประเทศคู่ค้าอื่น ในการใช้เงินสกุลหยวนและรูเบิลในการค้าขายต่อกัน

เท่ากับเป็นการสร้างขั้วเศรษฐกิจใหม่ที่มีจีนกับรัสเซียเป็นแกนกลางเพื่อแข่งกับขั้วเดิมที่มีสหรัฐฯ เป็น “หัวโจก”  สำคัญ

แต่ทั้งสองก็ไม่ลืมที่จะประกาศว่าจะต้องไม่ให้เกิดสงครามนิวเคลียร์ขึ้นมาเป็นอันขาด

น่าสนใจเช่นกันว่าทั้งสองได้ระบุถึงความกังวลที่สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และออสเตรเลียได้ก่อตั้ง AUKUS ขึ้นมาในภูมิภาคเอเชียเพื่อช่วยออสเตรเลียสร้างกองเรือดำน้ำ

ที่จีนและรัสเซียเชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งของแผนการตะวันตกที่จะ “ปิดล้อม” จีน

ขณะที่ตะวันตกอ้างความวิตกว่า จีนจะส่งอาวุธให้รัสเซียเพื่อเพิ่มความรุนแรงในการทำสงครามในยูเครน

แม้ว่าเยนส์ สโตลเตนเบิร์ก เลขาธิการนาโต จะกล่าวที่กรุงบรัสเซลส์ในจังหวะเดียวกันว่าเขา “ไม่เห็นหลักฐานใดๆ  ว่าจีนกำลังส่งอาวุธร้ายแรงให้รัสเซีย”

แต่เสริมว่ามี "สัญญาณ" ว่ารัสเซียได้ขออาวุธจากจีนและปักกิ่งกำลังพิจารณาข้อเรียกร้องนั้น

จีนออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้ส่งอาวุธให้ฝ่ายใดในสงครามยูเครนทั้งสิ้น

สี จิ้นผิง มีสีหน้ายิ้มแย้มและอิ่มเอิบตลอดเวลาที่ปรากฏเป็นภาพและข่าวระหว่างการพูดคุยกับปูติน

เขาบอกว่า "มีความสุขมาก" ที่ได้มามอสโกและได้พูดจา "ตรงไปตรงมา เปิดเผย และเป็นมิตร" กับปูติน

ทั้งสองเรียกขานกันว่า “เพื่อนรัก” ตลอดงาน

แต่ก็มีเงามืดที่มาทับบรรยากาศอันอบอุ่นนั้น

เพราะก่อนที่สี จิ้นผิง จะบินไปมอสโกเพียงวันเดียว ศาลอาญาระหว่างประเทศก็ออกหมายจับปูตินด้วยข้อกล่าวหา “อาชญากรสงคราม”

แม้จะไม่มีการกล่าวถึงประเด็นนี้ในแถลงการณ์ของทั้งสองฝ่าย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าทั้งสีและปูตินย่อมจะเห็นเรื่องนี้เป็นการจงใจข่มขู่ปูตินจากฝั่งตะวันก

โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนโต้ว่า ตะวันตกไม่ควรจะใช้ “สองมาตรฐาน” ในกรณีนี้

หมายถึงการที่ประเทศตะวันตกไปรุกรานชาติอื่นๆ แต่ไม่มีการถูกตั้งข้อหาอาชญากรสงครามเหมือนที่ปูตินกำลังโดน

ที่ไม่พูดถึงไม่ได้อีกเรื่องคือไต้หวัน

สีและปูตินบอกว่า ได้มีการหารือเรื่องไต้หวันอันเป็นสาเหตุแห่งความตึงเครียดที่สำคัญระหว่างจีนกับสหรัฐฯ 

แถลงการณ์ร่วมบอกว่า รัสเซียสนับสนุนหลักการ "จีนเดียว" ของปักกิ่ง และยอมรับว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีนที่แบ่งแยกไม่ได้ 

และย้ำว่ารัสเซียต่อต้านความพยายามใดๆ ที่จะแยกดินแดนไต้หวันจากจีน

และมอสโกสนับสนุนการกระทำของจีนเพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน

ถ้าถามว่าสี จิ้นผิง จะสามารถต่อสายคุยกับปูตินและเซเลนสกีพร้อมๆ กันได้ไหม

ถึงวันนี้ต้องบอกว่ายังไม่อาจจะคาดหวังเช่นนั้นได้

แต่เมื่อได้จับเข่าคุยกับปูตินแล้ว สีก็จะต้องแสดงความ  “เป็นกลาง” ด้วยการคุยกับเซเลนสกีด้วย

จากนั้นจึงค่อยๆ ตะล่อมเกลี้ยกล่อมให้ทั้งสองคนยอม  “ถอยคนละก้าว”

ทั้งหมดนี้อยู่ที่ฝีมือของ “ท่านสี...ผู้มากด้วยบารมี” แล้ว!

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

คิสซิงเจอร์ในวัย 100 เสนอวิธี หลีกเลี่ยงสงครามโลกครั้งที่ 3 (2)

เมื่อวานเขียนถึงแนวทางวิเคราะห์ความเสี่ยงของสงครามระหว่างสหรัฐฯกับจีนในความเห็นของเฮนรี คิสซิงเจอร์, อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศและที่ปรึกษาด้านความมั่นคงหลายสมัยของสหรัฐฯ ที่เพิ่งจะฉลองวันเกิดที่ 100 เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาเขาย้ำว่าไต้หวันจะเป็นจุดทดสอบที่สำคัญว่าจะเกิดสงครามใหญ่ระหว่างสองยักษ์ใหญ่หรือไม่

คิสซิงเจอร์ (ในวัย 100 ปี) เสนอวิธี หลีกเลี่ยงสงครามโลกครั้งที่ 3 (1)

เฮนรี คิสซิงเจอร์ อดีตนักการเมืองชั้นนำของสหรัฐฯ ที่มีบทบาทในสงครามและความขัดแย้งระดับโลก อายุครบ 100 ปี เมื่อวันเสาร์ (27 พฤษภาคม) ที่ผ่านมา

ผู้นำภูมิภาคถามหาบทบาท อาเซียนในวิกฤตภูมิรัฐศาสตร์

ผู้นำเอเชียหลายท่าน รวมทั้งคุณดอน ปรมัตถ์วินัย รักษาการรองนายกฯ และรัฐมนตรีต่างประเทศ ไปร่วมแสดงความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์โลกเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา

เวียดนามรักษาดุลถ่วงระหว่าง จีนกับสหรัฐฯ อย่างไร?

ผมเขียนเรื่องจีน-สหรัฐฯ และอาเซียนมาหลายวัน วันนี้ส่องกล้องดูความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกากับเวียดนามที่กำลังเข้าสู่จุดที่น่าสนใจยิ่ง

วาทะปะฉะดะระหว่าง รมต. จีนกับทูตมะกัน

ที่ผมเขียนถึงเรื่องจีนกับสหรัฐฯบ่อย ๆ ในช่วงนี้เพราะการเผชิญหน้าของสองยักษ์ระดับโลกจะเป็นปัจจัยตัดสินอนาคตของ “ระเบียบโลก” อย่างมีนัยสำคัญยิ่ง