"ลัทธิคุ้มครองทางการค้า" (trade protectionism) หมายถึง นโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลที่จำกัดการค้าระหว่างประเทศผ่านการใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น ภาษีศุลกากร (tariffs) โควตา (quotas) การอุดหนุน (subsidies) กฎระเบียบต่างๆ (regulations)
การที่ประเทศหนึ่งยึดลัทธิคุ้มครองทางการค้ามักทำให้อีกประเทศตอบโต้ ประชาชนต้องจ่ายแพงกว่าเดิม กระทบต่อเศรษฐกิจทั้ง 2 ฝ่ายและกระทบต่อเศรษฐกิจโลก
ภาพ: “America First”
เครดินภาพ: ภาพจากปัญญาประดิษฐ์
ภาษีศุลกากรคือภาษีที่ผู้บริโภคต้องจ่ายให้กับรัฐบาล มีข้อมูลว่ารัฐบาลไทยตั้งภาษีนำเข้ารถญี่ปุ่นที่ 80% ของมูลค่า CIF (Cost, Insurance, and Freight) เป็นราคารถยนต์ที่รวมค่าขนส่งกับประกันภัย คนไทยที่ซื้อจะเป็นคนจ่าย เป็นเหตุผลว่าทำไมรถญี่ปุ่นในเมืองไทยจึงแพงกว่ารถที่ขายในประเทศของเขา
รัฐบาลจะตั้งภาษีศุลกากรเท่าไหร่ก็ได้ ผลดีตกแก่ผู้บริโภคถ้าภาษีต่ำหรือเป็นศูนย์ อย่างไรก็ตามรัฐบาลมีเหตุผลเก็บภาษีนี้ เช่น เป็นช่องรายได้รัฐบาล เพื่อส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งมวลชน
นโยบายทรัมป์บังคับหนีตลาดสหรัฐ:
แต่ไหนแต่ไรสหรัฐเป็นตลาดใหญ่ที่ผู้ประกอบการต่างชาติอยากส่งสินค้าบริการเข้าไปขาย บริษัทเอกชนจำนวนมากได้ประโยชน์ แต่นับวันความน่าสนใจของตลาดนี้ลดน้อยลง เหตุเพราะตลาดโลกใหญ่ขึ้น บริษัทอินเตอร์แห่ไปตั้งโรงงานในจีนเพราะจีนเป็นตลาดประชากร 1,400 ล้านคน และมีกำลังซื้อมากขึ้น อีกทั้งสามารถใช้จีนเป็นฐานผลิตส่งออกทั่วโลก บริษัทเอกชนย่อมคิดถึงความเสี่ยงกับกำไรขาดทุน มากกว่าความต้องการเป็นมหาอำนาจ
นโยบายกำแพงภาษีของสหรัฐจะเป็นตัวแปรให้เอกชนทั่วโลกปรับความคิด หากจะส่งขายสหรัฐต้องยอมรับและอยู่ได้กับความเสี่ยงนี้ ผลคือนักลงทุนจะพยายามกระจายความเสี่ยง ให้ตลาดสหรัฐเป็นส่วนของยอดขายจะที่ขึ้นๆ ลงๆ เอาแน่เอานอนไม่ได้ ในที่สุดเอกชนที่ส่งขายสหรัฐจะเคยชินกับกำแพงภาษีหรือมาตรการกีดกันที่รัฐบาลสหรัฐใช้ แคนาดากับเม็กซิโกที่เคยอาศัยสหรัฐเป็นตลาดหลักจะลดพึ่งพาตลาดนี้ นโยบายกำแพงภาษีจะได้ผลน้อยลง
เรื่องหนึ่งที่นานาชาติควรตระหนักคือ สิ่งแอบแฝงหรือข้อตกลงลับที่มาพร้อมกับภาษีทรัมป์ (ตามที่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเอ่ยถึง) คือมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non-tariff barriers: NTBs) ที่บัดนี้รัฐบาลสหรัฐตั้งขึ้นเพื่อความมั่งคั่งมั่นคงของตน นานาชาติย่อมเห็นว่าเป็นอุปสรรค การทำธุรกิจกับสหรัฐยากขึ้นกว่าเก่า เป็นอีกหลักฐานชี้ว่าสหรัฐหนีห่างจากการค้าเสรี
ผลคือนานาชาติปรับตัว ญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าต้องปรับตัว
ปลายเดือนมีนาคม 2025 จีน ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ แสดงจุดยืนว่าทั้ง 3 ประเทศจะร่วมกันตอบโต้กำแพงภาษี ขยายความร่วมมือห่วงโซ่อุปทาน จะเร่งเจรจาจัดตั้งเขตการค้าเสรีไตรภาคี (จีน ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้) และมีข่าวว่าญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้จะนำเข้าวัตถุดิบผลิตเซมิคอนดักเตอร์จากจีน ส่วนจีนจะซื้อชิปที่ผลิตโดยญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้
วิเคราะห์: หลายปีแล้วที่ทั้งญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้มีจีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ การจัดตั้งเขตการค้าเสรีไตรภาคีจะยิ่งขัดยุทธศาสตร์ปิดล้อมของสหรัฐอย่างชัดแจ้ง การที่ญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้มีจีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่เพียงเท่านี้ก็ชี้ว่าการปิดล้อมไม่สำเร็จ
โดดเดี่ยวตลาดสหรัฐ:
น่าชื่นชมรัฐบาลทรัมป์ที่พยายามรักษาและสร้างประโยชน์ให้กับประเทศตัวเอง รวมทั้งยึดหลัก ‘America First’ ขึ้นภาษีนำเข้าหลายสิบประเทศทั่วโลก ผู้เชี่ยวชาญหลายคนพูดถึงวาระซ่อนเร้นที่มากับกำแพงภาษี ผูกโยงการค้าขายของเอกชนเข้ากับการเมืองระหว่างประเทศ เช่น กดดันให้นานาชาติช่วยกันต้านจีน โดดเดี่ยวรัสเซีย หรือแม้กระทั่งใช้กำแพงภาษีบ่อนทำลายประเทศอื่นอย่างเช่นแคนาดา
แต่เอกชนนานาชาติสนใจกำไรมากกว่าช่วยใครต้านจีน ผู้ลงทุนคิดถึงกำไรมากกว่าใครจะเป็นมหาอำนาจ พวกเขาย่อมหาทางเอาตัวรอด ทุนจะไหลไปสู่จุดที่ทำกำไรสูงสุด มีความเสี่ยงน้อยสุด
ไม่ว่ารัฐบาลสหรัฐจะชี้แจงอย่างไร การที่ทรัมป์ 2.0 ฉีกกฎการค้าเดิม ขึ้นกำแพงภาษีตามใจชอบ ทำให้ นักลงทุนทั่วโลกรับรู้ว่าตลาดสหรัฐมีความเสี่ยงสูงมาก นโยบายของทรัมป์เป็นตัวบีบบังคับให้เอกชนนานาชาติมองหาตลาดอื่นทดแทน
ผลคือรัฐบาลทรัมป์นี่แหละที่โดดเดี่ยวตลาดสหรัฐ คนอเมริกันต้องซื้อใช้สินค้าแพงขึ้น
กลับมาเป็นผู้ผลิตสินค้านานา?:
ดังที่ทรัมป์ 2.0 ให้เหตุผลข้อหนึ่งว่าเพื่อดึงอุตสาหกรรมต่างๆ ให้กลับมาตั้งในประเทศ ลดการขาดดุล ดังที่ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า “ถ้าคุณต้องการให้ภาษีศุลกากรเป็นศูนย์ ก็มาผลิตสินค้าที่อเมริกา” แต่ภายใต้แนวคิดทุนนิยมเสรี การตั้งโรงงานในประเทศใดต้องคำนวณหลายปัจจัย โลกปัจจุบันนักลงทุนมีตัวเลือกมาก หลายประเทศมีความพร้อมสูง รัฐบาลเหล่านั้นให้สิทธิพิเศษ แข่งกันดึงดูดให้มาลงทุนที่ประเทศตัวเอง นักลงทุนมีทางเลือกมาก
อันที่จริงหลายสิบปีแล้วที่รัฐบาลสหรัฐมีนโยบายให้นายทุนอเมริกันกลับมาตั้งโรงงานในประเทศ เสนอสิทธิเงื่อนไขพิเศษ แต่เมื่อคำนวณปัจจัยทั้งหมด หลายกรณีได้ข้อสรุปว่าตั้งโรงงานที่ต่างแดนดีกว่า
ยกตัวอย่าง บริษัท Apple เลือกผลิต iPhone ในจีน เพราะมีห่วงโซ่อุปทานที่ซับซ้อนและมีประสิทธิภาพสูงเหนือประเทศอื่นๆ จีนมีโรงงานผลิตชิ้นส่วนและสามารถประกอบสินค้าจำนวนมาก ง่ายต่อการจัดหาวัสดุ อีกทั้งมีแรงงานนับแสนที่มีทักษะตามต้องการ ค่าแรงต่ำกว่าอเมริกากับยุโรป ทั้งหมดนี้เอื้อให้ผลิตสินค้าต้นทุนต่ำในปริมาณมาก
เช่นเดียวกับ Tesla ที่ตั้งโรงงานขนาดยักษ์ชื่อ "Gigafactory Shanghai" เป็นโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแห่งแรกของ Tesla นอกประเทศสหรัฐอเมริกา ช่วยให้สามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในราคาที่แข่งขันได้ในตลาดจีน เป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกรถ Tesla ในตลาดเอเชีย
iPhone กับ Tesla เป็นตัวอย่างว่าทำไมจึงเลือกตั้งโรงงานที่จีน นายทุนเสรีนิยมย่อมคิดแบบทุนนิยมเสรี
ความตั้งใจที่จะให้เอกชนอเมริกันกลับไปตั้งโรงงานในประเทศตัวเอง ต้องบอกว่าส่วนที่ทำได้ทำไปนานแล้ว ส่วนที่ยังไม่ได้ทำนั้น ทรัมป์ควรเข้าใจว่าหลายรัฐบาลพยายามเรื่อยมา แต่ผลลัพธ์เป็นอย่างที่เห็น
สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้คือผลลัพธ์ของอดีต สิ่งที่เป็นอยู่ในวันนี้คือหลักฐานในตัวเอง
ควรย้อนถามว่าทรัมป์ 2.0 มีอะไรดีที่จะดึงให้กลับไปลงทุนที่ประเทศตัวเอง สหรัฐจะกลับมาผลิตตุ๊กตา ตัดเย็บเสื้อผ้า ทำรองเท้า ทีวีตู้เย็น สิ่งของพวกนี้หรือ แม้กระทั่ง iPhone รุ่นล่าสุดที่คนอเมริกันนิยมแต่ไม่มีสักเครื่องที่ผลิตในสหรัฐ
ต้องชมว่าเก่งจริง ถ้าทรัมป์ 2.0 สามารถทำให้ประเทศกลับมาผลิตและส่งออกตุ๊กตา เสื้อผ้า ฯลฯ
ถ้าคิดแบบนอกกรอบดังที่ทรัมป์ชอบใช้ การตั้งโรงงานผลิตทุกอย่างทำได้ หากสหรัฐไม่ยึดถือทุนนิยมเสรี ใช้ระบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์หรือเผด็จการ สั่งห้ามเคลื่อนย้ายทุนออกนอกประเทศ บรรดานายทุนอเมริกันต้องตั้งโรงงานในประเทศเท่านั้น ไม่สนใจกำไรสูงสุดหรือประสิทธิผลสูงสุด ท้ายที่สุดคือคนอเมริกันต้องซื้อสินค้า MADE IN USA เท่านั้น แม้ราคาจะสูงกว่าตลาดโลกมาก
หากรัฐบาลสหรัฐสั่งการจริง ในระยะยาวลัทธิคุ้มครองทางการค้าจะทำลายการแข่งขัน ส่งเสริมการผูกขาด ไม่จูงใจให้สร้างนวัตกรรม
เรื่องแบบนี้ฟังดูไม่น่าเป็นไปได้ เป็นเรื่องอีกนาน แต่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย ทำนองเดียวกับเรื่องแคนาดา กรีนแลนด์ ที่ใครเคยคิดว่าบัดนี้รัฐบาลสหรัฐต้องการให้แคนาดาเป็นรัฐที่ 51 อันสวยงาม แม้แคนาดาสิ้นชาติ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สหรัฐกระชับอำนาจโลกด้วยกำแพงภาษี
ฉากใหญ่ที่สำคัญกว่าคือ รัฐบาลสหรัฐกำลังจัดระเบียบโลกใหม่ โดยใช้การค้าระหว่างประเทศเป็นตัวเปิดหน้า เงื่อนไขของสหรัฐกับจีนกำลังสู้กัน นานาชาติกำลังปรับตัว
อาเซียน+3ผนึกกำลังต้านลัทธิคุ้มครองทางการค้า
อาเซียนไม่โดดเดี่ยว มีจีนกับญี่ปุ่นอยู่ในกลุ่ม ช่วยให้สมาชิกผ่านพ้นมรสุมได้ดียิ่งขึ้น และน่าจะเห็นความร่วมมือที่แน่นแฟ้นและเป็นรูปธรรมตามมา
ตรรกะวิบัติของกำแพงภาษีทรัมป์2.0
นักวิชาการหลายคนชี้ว่า หลักกำแพงภาษีทรัมป์ไม่ถูกต้อง ตรรกะวิบัติชัดเจน สร้างผลเสียมากกว่าผลดี ประเทศต่างๆ ต้องคิดให้ดีว่าควรเพิ่มการค้ากับใครดี
สิ้นแล้วหรือการค้าเสรีตามกติกา WTO และอนาคต
ยังไม่ควรฟันธงว่าสหรัฐจะไม่หวนกลับสู่การค้าเสรีแบบเดิมอีก ระบบการค้าโลกในอนาคตเป็นไปได้หลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือการค้าเสรีแบบจับขั้วหลายฝ่าย ความสัมพันธ์หลายชั้น
สิ่งแอบแฝงที่มากับภาษีทรัมป์2.0 (1)
ลัทธิล่าอาณานิคมยุคใหม่ (neocolonialism) ชาติมหาอำนาจจะต่อต้านโลกหลายขั้ว ต่อต้านการแข่งขันเสรี และจะบีบให้ประเทศอื่นๆ ยอมรับข้อตกลงที่เอื้อประโยชน์แก่ตน
แผน100วันล้มระบอบอิหร่าน2025
มาจากแผนระยะยาวที่ตั้งใจว่าวันหนึ่งจะต้องล้มระบอบอิหร่านให้จงได้ รัฐบาลทรัมป์มาแล้วก็ไปแต่ความตั้งใจล้มอิหร่านจะอยู่ต่อไป