ถล่มค่าไฟแพง โยนบาป ‘ลุงตู่’ ‘รทสช.-พปชร.’เฉือนคมคนกันเอง

ใกล้งวดเข้ามาเต็มทีแล้วสำหรับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 นี้ ทำเอาสนามการหาเสียงเลือกตั้งในช่วงนี้ดุเดือดเข้มข้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะบรรยากาศที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไปของ “พี่น้อง 2 ป.”

“บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค และ “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)

ซึ่งดูเหมือนช่วงหลัง “ลุงป้อมพี่ใหญ่” จะจัดหนักกับน้องชาย ขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ทยอยปล่อยจมหมายหลายฉบับเผยความในใจและเคลมผลงาน ล่าสุดฉบับที่ 10 เคลมบัตร 2 ใบ ผลงานก้าวข้ามความขัดแย้ง ที่ระบุช่วงหนึ่งว่า

“ผมทำเรื่องก้าวข้ามความขัดแย้งมาก่อนแล้วอย่างเงียบๆ โดยใช้ความเป็นผมทั้งหมดเพื่อให้เกิดความสำเร็จ คำตอบในเรื่องนี้ เห็นได้ไม่ยากหากย้อนไปทบทวนช่วงรัฐสภาแก้ไขรัฐธรรมนูญ จากเลือกตั้งด้วยบัตรใบเดียวมาเป็นสองใบ และแก้ตัวหารคะแนน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์จาก 500 มาเป็น 100 ช่วงนั้นเกิดความขัดแย้งรุนแรง พรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคเห็นไปทางเดียวกับสมาชิกวุฒิสภาที่ไม่เอาด้วยกับแนวทางนั้น ต้องการให้เลือกด้วยบัตรใบเดียว

ตอนนั้นผมเป็นผู้นำพลังประชารัฐที่เป็นพรรคแกนนำรัฐบาล มีแรงกดดันมากมายทั้งในพรรคและนอกพรรค อย่างที่รู้ๆ กันว่าแม้แต่ผู้นำในทำเนียบรัฐบาลก็ส่งสัญญาณผ่านคนใกล้ชิดว่าต้องกลับเป็นบัตรใบเดียวและปาร์ตี้ลิสต์หาร 500 เป็นภารกิจที่ยากในการพูดคุยหาทางก้าวข้ามความขัดแย้ง เดินหน้าในหลักการประชาธิปไตย แต่ผมทำได้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญในเรื่องนี้ประสบความสำเร็จตามความตั้งใจ ลงมือด้วยประสบการณ์ และความสัมพันธ์ที่ดีที่ผมสร้างสมมา”

ขณะที่ล่าสุดยังมีปม “ค่าไฟฟ้าแพง” ที่หลายพรรคการเมืองนำมาเป็นประเด็นหาเสียง เสนอแนวทางช่วยเหลือประชาชนเพื่อช่วงชิงคะแนนเลือกตั้ง พร้อมติติงความล้มเหลวในการบริหารงานของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เว้นแม้แต่พรรค “พลังประชารัฐ” ที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน ที่ตอกย้ำรอยร้าวให้ฝังลึกลงไปอีกครั้ง

เมื่อ 3 แกนนำพรรค นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมืองพรรค นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ที่ปรึกษากรรมการนโยบายพรรค และ ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี ทีมนโยบายเศรษฐกิจของพรรค ได้ตั้งโต๊ะถล่มปัญหาค่าไฟแพงที่เป็นประเด็นร้อนแรง และกำลังฉุดคะแนนของผู้นำประเทศ พ่วงพรรคคู่แข่งอย่าง “รวมไทยสร้างชาติ” ลงไปด้วย

โดยการแถลงพุ่งเป้าไปที่ พล.อ.ประยุทธ์ ชี้ว่าสาเหตุหนึ่งของค่าไฟแพงมาจากเลือกซื้อไฟที่ต้นทุนแพงโดยไม่จำเป็น คือซื้อจากโรงไฟฟ้าเอกชนที่มีต้นทุนแพงกว่าต้นทุนเฉลี่ยของ กฟผ.ทำให้ค่าไฟสูงขึ้น เพราะใกล้เลือกตั้งจึงไม่กล้าขึ้นค่าไฟ ให้ กฟผ.แบกรับค่าไฟที่สูงขึ้นแทนประชาชนไปก่อนแล้วมาเรียกเก็บจากประชาชนผ่านค่า ft ในภายหลัง ทำให้ขณะนี้ กฟผ.มีหนี้สูงขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดอยู่ในระดับ 150,000 ล้านบาท

และยังมองว่าแนวทางแก้ไขปัญหาค่าไฟฟ้าของ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นการแก้ไขแบบเอื้อต่อนายทุนมากกว่าการมองผลประโยชน์ของประชาชนอย่างจริงจัง จึงทำให้เกิดเป็นปัญหาสะสมกระทบต่อผู้ใช้ไฟฟ้า

หลังจากแกนนำพรรคของพี่ใหญ่ออกตัวแรง เสมือนโยนบาปให้ “น้องตู่” เพียงผู้เดียว รอบนี้ทำเอาทั้ง บิ๊กตู่ และพรรครวมไทยสร้างชาติ นั่งไม่ติดเก้าอี้ ออกมาตอบโต้กันทันควัน โดยเฉพาะ “บิ๊กตู่” แสดงความไม่พอใจ โดยขออย่าโยงเรื่องค่าไฟเป็นประเด็นการเมืองเพื่อชิงคะแนนนิยม พร้อมสวนเจ็บทำนองว่า ทำงานด้วยกันดีก็ดีด้วยกัน ผิดพลาดก็ต้องด้วยกัน เพราะเป็นพรรคร่วมรัฐบาล

“วันนี้ก็ไม่ควรที่จะมาโจมตีกันเองมากนัก ควรจะไปบอกว่าจะทำอะไรเมื่อตัวเองเป็นรัฐบาล พูดอย่างนี้น่าจะดีกว่า ก็ทำให้มันดีขึ้นก็แล้วกัน การมาติติงกันเองก็อย่าลืมว่าอยู่ในรัฐบาลเดียวกันมาโดยตลอดหลายปี หรือ 4 ปี ที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นอย่าเอาตรงนี้มา โดยทุกอย่างโยนมาที่ผม อย่าลืมว่าผมประชุมมาในคณะรัฐมนตรี (ครม.) ผมก็รับฟังความคิดเห็นจากทุกคน ทุกรัฐมนตรี ถือเป็นการทำงานที่บูรณาการร่วมกัน เพราะบางอย่างก็ไม่ใช่จะตัดสินได้ด้วยตัวเอง

อย่าลืมว่าผมไม่มีกระทรวงที่จะลงมาเล่นเองทั้งหมด ก็มีเพียงกระทรวงกลาโหมใช่หรือไม่ที่ผมสั่งการได้ กระทรวงอื่นผมก็สั่งการในที่ประชุม ครม. นโยบายต่างๆ ก็มอบใน ครม. ยุทธศาสตร์ก็ให้เป็นแนวทางและแนวปฏิบัติไปทั้งหมดหน้าที่ของผมคือกลั่นกรองโครงการทุกโครงการที่มีการเสนอเข้ามา เพื่อให้เกิดความสอดคล้องจึงทำมาได้ถึงขนาดนี้ นี่คือการทำงาน ซึ่งถ้ามันจะดีก็ดีด้วยกัน แต่ถ้าผิดพลาดก็ถือว่าผิดพลาดด้วยกัน อย่างไรก็ตาม วันนี้ผมก็รับได้ใครจะว่าอะไรผม ผมก็รับได้ทั้งหมดนั่นแหละ”

หลังสวนพรรคร่วมอย่างเจ็บแสบ พล.อ.ประยุทธ์ก็เร่งแก้ไขปัญหากู้คะแนนกลับมาอีกครั้ง โดย “ครม.บิ๊กตู่” ได้เห็นชอบงบกลางกว่า 1.1 หมื่นล้าน แบกค่าไฟช่วยประชาชนต่ออีก 4 เดือน ถึงสิงหาคม 2566 โดยลดค่า ft ผู้ใช้ไฟน้อยกว่า 300 หน่วยต่อเดือน พร้อมช่วยค่าไฟเร่งด่วน 150 บาท ในบิลเดือนพฤษภาคม สำหรับผู้ใช้ไฟไม่เกิน 500 หน่วยต่อเดือน ก่อนชงส่งเรื่องขอคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อนุมัติต่อไป

นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ยังนำทีมพรรครวมไทยสร้างชาติโกยคะแนนเร่งด่วน แถลงเปิด 16 นโยบาย สร้างเม็ดเงินปีละ 4 ล้านล้าน พร้อมวางคิวลุยหาเสียงแบบแน่นๆ ทั่วประเทศ

จากหลายปัญหาที่พรรค 2 ลุง ทั้ง “รวมไทยสร้างชาติ” และ “พลังประชารัฐ” ทิ่มแทงกันเอง เพื่อโกยคะแนนไปสู่เส้นชัยในการเลือกตั้งครั้งนี้นั้น ยังต้องไม่ลืมความเป็น “พรรคร่วมรัฐบาล” ที่ต้องรับผิดชอบร่วมกันหากการทำงานผิดพลาด ซึ่งนั่นรวมไปถึงคะแนนเสียงที่จะได้รับจากประชาชนก็อาจจะทรุดตามกันไปทั้งหมดด้วยเช่นกัน

ดังที่ พล.อ.ประยุทธ์ ย้ำแล้วว่า "ถ้ามันดีก็ดีด้วยกัน ถ้าผิดพลาดก็ถือว่าผิดพลาดด้วยกัน!".

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

จากวังสราญรมย์ถึงตึกไทยคู่ฟ้า “ทูตปู”เลขาฯส่วนตัวทักษิณ สู่ตัวเต็งรมว.ต่างปท.คนใหม่

ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้ารัฐบาล และเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ใช้เวลาแค่หนึ่งคืนก็เคาะออกมาแล้วว่าจะดัน ทูตปู มาริษ เสงี่ยมพงษ์ อดีตทีมงานหน้าห้อง นายกรัฐมนตรี ตึกไทยคู่ฟ้า สมัยทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี

'เศรษฐา1/1'เศรษฐกิจ-การเมืองนำ เว้นระยะ'ความมั่นคง-กองทัพ'

โฉมหน้า “คณะรัฐมนตรีเศรษฐา 1/1” ที่ออกมา นอกจากจะเป็นการสับเปลี่ยนหมุนเวียนตัวบุคคลของพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลแล้ว เป้าหมายที่ฉายภาพชัดต่อทิศทางการบริหารงานของรัฐบาล

'อนันต์' การันตี 'ลุงป้อม' ส่งชื่อนั่ง รมต. โควตากำแพงเพชร

'อนันต์' การันตี 'ลุงป้อม' ส่งชื่อนั่ง รมต. มั่นใจคุณสมบัติไร้มลทิน ลั่นเก้าอี้ตัวนี้โควตากำแพงเพชร ไม่ท้อหากชวดตำแหน่ง เชื่อพรรคไม่แตกแม้ผลออกมาเป็นอย่างไร

ดิจิทัลวอลเล็ตสะดุด'พรบ.ธ.ก.ส.' แจกเงินหมื่น‘ลูกผีลูกคน’อีกแล้ว

ภาพ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง นำทีมหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค หรือแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล ที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี มาแถลงมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่เห็นชอบหลักการ โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา

คณะก้าวหน้า-ธนาธรปักธง "สว.สีส้ม" แชร์เก้าอี้สภาสูง

การเมืองช่วงเดือนพฤษภาคม วาระสำคัญเรื่องหนึ่งที่ต้องติดตามก็คือ การได้มาซึ่ง วุฒิสภา-สภาสูง ชุดใหม่ ที่จะมาแทนสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ชุดปัจจุบัน ที่จะหมดวาระลงในวันที่ 10 พ.ค. แต่ต้องอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่า สว.ชุดใหม่จะเข้าปฏิบัติหน้าที่