แม้จะยังไม่ได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) และผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) อย่างเต็มตัว แต่ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี รอง ผบ.ทสส. และ พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ รอง ผบ.ทบ.ก็เริ่มทำหน้าที่ในช่วงรอยต่อแล้ว
“บิ๊กอ๊อฟ” พล.อ.ทรงวิทย์ เดินทางร่วมคณะไปกับนายกฯ ที่สหรัฐ และเป็นตัวแทน พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผบ.ทสส.ที่กำลังเกษียณในการประชุมหน่วยงานความมั่นคงที่ทำเนียบรัฐบาล ในขณะที่ “บิ๊กต่อ” พล.อ.เจริญชัย ก็ทำหน้าที่รักษาราชการแทน หลังจาก พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ เป็นผู้บัญชาการสำนักงานนายทหารปฏิบัติการพิเศษ หน่วยบัญชาการถวายรักษาความปลอดภัย
พลิกดูปูมประวัติของทั้งคู่มีความน่าสนใจ แต่มีความแตกต่างกันในเรื่องของเส้นทางชีวิตรับราชการ แต่ที่เหมือนกันคือ ทั้งคู่ผ่านหลักสูตรหน่วยเฉพาะกิจทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ 904 หรือที่เรียกว่า “ทหารคอแดง” มาด้วยกัน
แม้คนในไม่อยากให้ใช้คำเรียกดังกล่าวมา “แบ่งแยก” กับ “ทหารคอเขียว” เหมือนยุคที่จัดเฉด “วงศ์เทวัญ-บูรพาพยัคฆ์” เหมือนในอดีต แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า “ทหารคอแดง” ยังเป็นโฟกัสหลักของฝ่ายวิพากษ์อำนาจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ย้อนกลับไปดูประวัติของ พล.อ.ทรงวิทย์ เป็นบุตรชายของ พล.อ.อิสระพงศ์ หนุนภักดี อดีตรอง ผบ.ทบ. เข้าสู่เส้นทางทหาร ด้วยการสอบเข้าเรียนในหลักสูตรโรงเรียนเตรียมทหารเพียง 1 เดือน ประกอบกับช่วงดังกล่าวประกาศผลสอบเอ็นทรานซ์พอดี ซึ่งเขาสอบติด คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงตัดสินใจลาออกไปเรียนที่จุฬาฯ ประมาณ 8 เดือน จากนั้นเข้าศึกษาที่โรงเรียนนายร้อยเอกชนที่สหรัฐ ที่รัฐเวอร์จิเนีย (VMI, Virginia Military Institute) จบหลักสูตร AIRBORNE หลักสูตร PATHFINDER และหลักสูตร RANGER ด้วย
“พ่อสอนผมว่าหลักสูตรเหล่านี้ต้องผ่านการแข่งขันจึงจะได้เรียน ถ้าผมได้ต้องมุ่งมั่น ต้องวางแผนอย่างจริงจัง และต้องตั้งใจเพื่อให้สำเร็จการฝึก ไม่ว่ายากลำบากแค่ไหน คือสรุปได้ว่า ท่านห้ามยอมแพ้ ต้องสำเร็จเท่านั้น เพราะเป็นศักดิ์ศรีของตนเอง และนายทหารแห่งทัพไทย” พล.อ.ทรงวิทย์เขียนถึง พล.อ.อิสระพงศ์ บิดาผู้ล่วงลับในหนังสืองานพระราชทานเพลิงศพ
เมื่อกลับมาจากสหรัฐในปี 2531 ได้เข้ารับราชการที่กองทัพภาคที่ 2 ในตำแหน่งผู้หมวดลาดตระเวน กองร้อยลาดตระเวนระยะไกลที่ 3 กองพลทหารราบที่ 3 โดยขณะนั้น พล.อ.อิสระพงศ์เป็นรองแม่ทัพภาคที่ 2 ก่อนขยับไปอยู่กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ (ร.21 รอ.) ทหารเสือราชินี
จากนั้นไปเรียนหลักสูตรโรงเรียนเสนาธิการทหารบก และไปดำรงตำแหน่งผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ผบ.ร.11 รอ.) จ.เพชรบุรี โดยมี พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ อดีต ผบ.ร.11 รอ. หน้าห้องของ พล.อ.อิสระพงศ์ เป็นผู้ผลักดัน ก่อนที่จะมาเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1
ด้วย จารีต ที่ยังไม่มี ผบ.ทบ.คนใดที่จบจากหลักสูตรนายร้อยต่างประเทศมาก่อน จึงทำให้ความพยายามปูทางให้เขาขึ้นเป็น ผบ.ทบ.ไปไม่ถึงฝั่งฝัน ได้แค่แคนดิเดตขึ้นแม่ทัพภาคที่ 1 ถึง 2 ครั้ง กับ พล.อ.เจริญชัย และ พล.อ.สุขสรรค์ หนองบัวล่าง แต่ก็พลาดหวัง ต้องฉีกไปขึ้นพลโทในตำแหน่งรองเสนาธิการทหารบก และพลเอกในตำแหน่งหัวหน้าคณะนายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำ ผบ.ทบ.แทน จากนั้นก็เบนเข็มไปอยู่ที่กองบัญชาการกองทัพไทย ในตำแหน่งรอง ผบ.ทสส.
ด้วยจุดเด่นของการเป็นนักเรียนทหารที่สหรัฐ ผ่านการเรียนในหลักสูตรของพลเรือนมาก่อน ได้รับการเคี่ยวกรำจากบิดาซึ่งเป็นนักการทหาร ที่ผ่านสมรภูมิทั้งชายแดนและการเมือง และยังเคยเป็นฝ่ายเสนาธิการของบิดา ช่วงที่นั่งเก้าอี้ รมต.มหาดไทยมาก่อน จึงทำให้แนวคิดและการทำงานของ พล.อ.ทรงวิทย์มีหลายมิติ และอาจไม่ได้ยึดกรอบทหารมากนัก
ทางด้านประวัติของ "บิ๊กต่อ" พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ เกิดเมื่อวันที่ 1 ม.ค.2507 ที่ จ.ลพบุรี บิดาเป็นทหารสังกัดศูนย์การทหารปืนใหญ่ ลพบุรี เติบโตมาในครอบครัวทหารและเมืองทหาร สอบเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 23 เหลืออายุราชการเพียงปีเดียว
เส้นทางรับราชการ เคยเป็นผู้บังคับหมวดปืนเล็กกองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ (ร.21 พัน 1 รอ.) อดีตผู้บังคับกองร้อยอาวุธเบา, นายทหารยุทธการและการฝึก ร.21 พัน 1 รอ. ด้านการศึกษาจบจากโรงเรียนเสนาธิการทหารบก หลักสูตรหลักประจำชุดที่ 74 ก่อนกลับมาเป็นนายทหารยุทธการและการฝึก กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ เป็นรองผู้บังคับกองพัน ร.21 พัน 3 รอ., รองเสนาธิการ ร.21 รอ. และผู้บังคับกองพัน ร.21 พัน 3 รอ. รอง ผบ.ร.21 รอ. ผบ.ร.21 รอ. ผบ.พล.ร.2 รอ. รองแม่ทัพภาคที่ 1 แม่ทัพภาคที่ 1 ผู้ช่วย ผบ.ทบ. รอง ผบ.ทบ. และจะขึ้นเป็น ผบ.ทบ.ในวันที่ 1 ต.ค.นี้
ดูจากการขึ้นตำแหน่งแล้วนับได้ว่าเป็น ผบ.ทบ.ที่เดินตามเส้นทางเหล็กเป๊ะ ไม่หลุด หรือเป๋ออกนอกเส้นทางไปแม้แต่ก้าวเดียว เทียบเคียงได้กับเส้นทางขึ้นสู่เก้าอี้ ผบ.ทบ.ของ “ทหารเสือราชินีรุ่นพี่” อย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายทหารที่ตามเสด็จพระพันปีหลวง เมื่อครั้งทรงเป็นสมเด็จพระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9
อย่างไรก็ตาม การขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้นำกองทัพของทั้งคู่ น่าจะเป็นจังหวะที่ดีในช่วงของการปรับตัวของสถาบันเก่าแก่แห่งนี้ที่ถูกยึดโยงกับการเมืองมานาน จนถูกตั้งคำถามวิพากษ์วิจารณ์ในหลายเรื่อง
จากภาพลักษณ์ “อินเตอร์” ของ พล.อ.ทรงวิทย์ และแนวทางเปิดกว้างรับฟังของ พล.อ.เจริญชัย เพื่อให้กองทัพเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม ปรับตัวให้เข้ากับสภาพสังคมได้ในอนาคต ก็น่าจะจุดที่วางรากฐานการปฏิรูปกองทัพได้อย่างราบรื่นในอนาคต
รวมไปถึงเรื่องร้อนๆ เช่น การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ สถานการณ์ชายแดนไทย-เมียนมา ปัญหาเรื่องเครือข่ายยาเสพติดรอยต่อกับประเทศเพื่อนบ้านที่ต้องเร่งดำเนินการ
แต่นั่นก็ใช่เป็นเครื่องการันตีว่าเรื่องอื่นๆ โดยเฉพาะการเลื่อนยศ ปลด ย้าย จะมีการสังคายนา หรือปรับรูปแบบได้ง่ายๆ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีการทำนายว่า ในยุครัฐบาลพลเรือนอาจจะได้เห็นการวิ่งเต้นกับการเมืองเพื่อเข้าสู่ตำแหน่งในกองทัพมากขึ้น
และแม้ตอนนี้ “ซูเปอร์เพาเวอร์” ที่วัดพลังในการโยกย้ายครั้งที่ผ่านมาจะจบลงด้วยชัยชนะด้วย “สายแข็ง” รวมไปถึงอำนาจในการจัดขุมกำลังหน่วยหลักเอาไว้ได้ แต่การวางตัวบุคคลในระดับ 5 เสือ ที่หายใจรดต้นคอไว้ด้วยการใช้ตรรกะอาวุโสค้ำไว้ ก็สุ่มเสี่ยงจะกลายเป็นระเบิดเวลา ในการวัดขุมกำลังระหว่างรุ่นในปลายปีต่อไป
จากนี้จึงเป็นบทพิสูจน์ของผู้นำเหล่าทัพ ซึ่งรวมถึง พล.ร.อ.อะดุง พันธ์เอี่ยม ผบ.ทร. ที่ต้องสางสารพัดปัญหาที่เกิดขึ้นใน ทร.มาหลายยุค โดยเฉพาะโครงการเรือดำน้ำ และ พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผบ.ทอ. ที่จะมีแนวทางบริหารงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัดในการเสริมสร้างกำลังรบทางอากาศอย่างไรให้เหมาะสมกับสถานการณ์ความมั่นคง พร้อมทั้งฝ่าด่านการชิงเก้าอี้ ผบ.เหล่าทัพไปอย่างมืออาชีพ
เพื่อให้กองทัพกลับมาเป็นหน่วยงานที่ประชาชนและสังคมยอมรับ หลังจากถูกมรสุมการเมืองถล่มหนักในช่วงที่ผ่านมา!!.1
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เศรษฐา-พิชิต หากแพ้คดี ครม.ไปหมด-เปลี่ยนตัวนายกฯ!
ศาลรัฐธรรมนูญ ในยุคปัจจุบันที่มี ศ.ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ เป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ มี 2 คำร้อง คดีการเมืองสำคัญ ที่เข้าสู่การพิจารณาคดีของศาล รธน.ที่ผลคำวินิจฉัยจะมีผลทางการเมืองตามมาไม่น้อย โดยเฉพาะหากผลคำตัดสิน ไม่เป็นคุณกับฝ่ายผู้ถูกร้อง
'บุ้ง ทะลุวัง' สังเวยการเมือง บีบรัฐบาลเพื่อไทยเร่งคลี่คลายสถานการณ์
การเสียชีวิตของ น.ส.เนติพร เสน่ห์ หรือ บุ้ง ทะลุวัง จากอาการหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ระหว่างถูกคุมขังที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์
ทวงสัญญารัฐบาลเพื่อไทย แก้กม.-ปล่อยตัวนักโทษม.112
การต่อสู้ของ “เนติพร เสน่ห์สังคม” หรือ “บุ้ง ทะลุวัง” ผู้ต้องขังคดีมาตรา 112 ได้สิ้นสุดลง เพราะเธอจากไปขณะถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ ด้วยอาการหัวใจวาย เนื่องมาจากอดข้าวอดน้ำประท้วง เรียกร้องให้แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ต่อสู้เกี่ยวกับสิทธิในการประกันตัว และปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม
ผวาย้อนยุค 2516 'วัชระ' ถาม 'ผบ.ทบ.'ใช้ ฮ.ฉลองวันเกิดที่เกาะสมุย
'วัชระ'ถามตรงกองทัพบก มีการใช้ ฮ.แบล็คฮอว์กไปฉลองวันเกิดที่เกาะสมุยจริงหรือไม่ นำข้าว 10 ปีให้พลทหารกินหรือไม่
พท.ดึง “กัญชา” กลับยาเสพติด "กลบเกลื่อน" ผลงานไม่ตรงปก
รัฐบาลเศรษฐา 1/1 ชูธงนโยบายใหม่ปราบยาเสพติด ตั้งเป้าเปลี่ยนยาบ้าจาก 5 เม็ด เป็น 1 เม็ดเป็นผู้ค้า รวมถึงตีปี๊บดึงกัญชากลับเป็นยาเสพติดหวังดึงคะแนนเสียงจากสังคม อย่างเช่น ยุครัฐบาลทักษิณ ที่ได้รับเสียงชื่นชมมาแล้ว
จีนส่ง2หน่วยเดินหน้าคุย หวังปิดเกม“เรือดำน้ำ”วิน-วิน
ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า เรือดำน้ำ S26T ที่กองทัพเรือไทยจ้างบริษัท CSOC ดำเนินการได้เดินหน้าต่อหลังจากที่ทางการของจีนส่งทีมของ “โบมีเทค”