รัฐธรรมนูญหมื่นล้าน อ้างปชต.เพื่อซื้อเวลา

นับหนึ่งนโยบายหาเสียงของพรรคเพื่อไทย ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ เพื่อแก้ปัญหาความเห็นต่างและความขัดแย้ง เพื่อเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น   

ภายหลังแถลงนโยบายเร่งด่วนต่อรัฐสภา ล่าสุด นายกฯ ได้มีมติแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 จำนวน 35 คน โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ เป็นประธาน และประกอบไปด้วยฝ่ายการเมือง ผู้ทรงคุณวุฒิภาคส่วนต่างๆ ในสังคม อาทิ นักวิชาการ ข้าราชการ ตำรวจ ทหาร โดยมีเงื่อนไขไม่แก้ไขหมวด 1 และหมวด 2 และมาตราที่เกี่ยวกับพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์

โดยเริ่มประชุมนัดแรกในวันที่ 10 ต.ค. เพื่อหาแนวทางการตั้งคำถามทำประชามติ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ ส่วนขั้นตอนการทำประชามติจะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสแรกของปี 2567 และคาดว่าจะได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และกฎหมายลูกเกี่ยวกับการเลือกตั้งภายในระยะเวลา 4 ปีเท่ากับอายุรัฐบาลนี้  

แต่กระบวนการรัฐธรรมนูญครั้งนี้ก็ถูกด้อยค่าทางการเมือง สะท้อนได้จากพรรคก้าวไกลไม่ลงมาเข้าร่วมคณะกรรมการชุดนี้ ด้วยเหตุผลหลักคือ เพราะพรรคเพื่อไทยยังไม่ได้รับความชัดเจนจากรัฐบาลเกี่ยวกับเป้าหมายหรือกรอบในภาพใหญ่ของการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่คณะกรรมการชุดนี้จะยึดถือ

โดยเฉพาะจุดยืนในการสนับสนุนคือ การจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ และการจัดทำโดย ส.ส.ร.ที่มาจากการเลือกตั้งทางตรงของประชาชนทั้งหมด และอยากให้เปิดกว้างไม่ถูกจำกัดในเรื่องการแก้ไขหมวด 1 และ หมวด 2 และอำนาจของพระมหากษัตริย์ 

โดยพรรคก้าวไกลเสนอว่า กระบวนการดังกล่าวควรเริ่มต้นจากการจัดประชามติ เพื่อสอบถามประชาชนด้วยคำถามว่า

 “ท่านเห็นชอบหรือไม่ ว่าประเทศไทยควรมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับ แทนที่รัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2560 ฉบับปัจจุบัน โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ที่มาจากการเลือกตั้งทางตรงของประชาชนทั้งหมด โดยไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ”

เช่นเดียวกับ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย กล่าวถึงการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาล โดยเรียกร้องให้มีความจริงใจ อย่าไปซื้อเวลาด้วยการตั้งคณะกรรมการ ซึ่งไม่มีประโยชน์อะไรเลย มีแต่จะทำให้เสียเงิน และยิ่งสร้างความขัดแย้ง

การไม่เข้าร่วมของพรรคฝ่ายค้าน ทางพรรคเพื่อไทยมองว่าไม่มีปัญหา เพราะเปิดพื้นที่ในเวทีอื่นๆ เพื่อแสดงความคิดเห็น โดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับหมวดเรื่องเกี่ยวกับพระมหากษัติย์ เพราะไม่ต้องการเปิดประเด็นความขัดแย้งรอบใหม่  

เพราะสุดท้ายการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะสำเร็จหรือไม่ นอกจากความจริงใจของผู้ริเริ่มแก้ไขแล้ว ต้องอยู่ที่การยอมรับของประชาชนผ่านการทำประชามติ และกระบวนการแก้ไขในรัฐสภา ประกอบไปด้วย สส.และ สว. โดยมีศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้ตรวจสอบในท้ายที่สุด มิใช่พรรคก้าวไกลเป็นผู้ชี้เป็นชี้ตาย 

โดยประเด็นแรกที่เป็นตัวชี้ขาดว่าจะแก้ไขทั้งฉบับสำเร็จหรือไม่ คือคำถามประชามติต้องทำให้ตรงกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ 4/2564 เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2564 “วินิจฉัยว่า รัฐสภามีหน้าที่และอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ โดยต้องให้ประชาชนผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญได้ลงประชามติเสียก่อนว่า ประชาชนประสงค์จะให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ และเมื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว ต้องให้ประชาชนลงประชามติเห็นชอบหรือไม่กับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อีกครั้งหนึ่ง

ฉะนั้น หากผลักดันตามที่ พรรคก้าวไกลต้องการ โดยมีข้อความว่า...โดย ส.ส.ร.ที่มาจากการเลือกตั้งทางตรงของประชาชนทั้งหมด...ลงไปในคำถามประชามติ  

อาจมีสุ้มเสียงมีผู้ร้องศาลรัฐธรรมนูญว่าการทำประชามติไม่ชอบ เพราะเกินคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ 4/2564 เป็นต้น อย่างไรก็ตาม หากต้องการจะมี ส.ส.ร.หรือไม่ และจะเป็นแบบใด เป็นอีกขั้นตอนที่จะต้องพิจารณาในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256

นอกจากนี้ยังมีความกังวลเรื่องจำนวนครั้งการทำประชามติ จากเดิมเคยมีการประเมินว่าต้องทำถึง 3 ครั้ง และเลือกตั้ง ส.ส.ร.อีก 1 ครั้ง รวม 4 ครั้ง โดยการทำแต่ละครั้งต้องใช้งบ 3-4 พันล้านบาท กว่าจะเสร็จสิ้นหมดเงินไป 1.6 หมื่นล้านล้านบาท ซึ่ง นายภูมิธรรม ก็อยากจะลดขั้นตอนตรงนี้ ให้เหลือการทำประชามติเพียง 2 ครั้ง เพื่อลดเวลาและงบประมาณของประชาชน แต่ก็ไม่ทราบจะได้หรือไม่  

หรือจะเลือกใช้แนวทางประหยัดงบลง โดยมีการเสนอว่า แก้ไขมาตรา 256 เพื่อเปิดทางให้แก้รัฐธรรมนูญง่ายขึ้น ไม่ต้องผ่านเงื่อนไข สว. 1 ใน 3 และฝ่ายค้านร้อยละ 20 จากนั้นจึงแก้รายมาตรา แล้วก็ลงประชามติเพียงครั้งเดียว โดยไม่ต้องไปแตะเรื่องที่มาและขอบเขตอำนาจขององค์กรอิสระที่ต้องทำประชามติ     

ยิ่งหากแก้ไขในช่วงวุฒิสภาเก่าจะหมดวาระในวันที่ 11 พ.ค.67 ไปแล้ว และรอให้ชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่ก็อาจจะง่ายขึ้น เพราะไม่ได้แต่งตั้งจาก คสช.และขวางการแก้ไขอย่างที่ผ่านมา อีกทั้งสถานการณ์การเมืองและยุทธศาสตร์ของประเทศได้เปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว หลัง ทักษิณ ชินวัตร กลับบ้านมาเป็นกำลังหลักในการทำสงครามกับพรรคก้าวไกลเพื่อการเลือกตั้งครั้งหน้า   

ฉะนั้นหากรัฐบาลมีความจริงใจ และต้องการประหยัดงบประมาณลง ก็อาจเลือกแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา หรือไม่ก็แก้ไขรัฐธรรมนูญแบบไม่ต้องมี ส.ส.ร.

ส่วนที่อ้างว่ารัฐธรรมนูญ 60 ไม่เป็นประชาธิปไตย บัดนี้เงื่อนไขต่างๆ ก็ค่อยๆ สลายไปตามอายุของบทเฉพาะกาล โดยเฉพาะการให้อำนาจ สว.เลือกนายกฯ ตามมาตรา 272 ที่เป็นความขัดแย้งใหญ่ ที่สุดก็จะสิ้นสุดกลางปี 67 ส่วนคำสั่ง คสช.ที่ยังค้างอยู่ ล่าสุด รัฐบาลก็เตรียมการยกเลิกด้วยการออก พ.ร.บ.  

เว้นแต่ฝ่ายการเมืองนำโดยพรรคเพื่อไทย ต้องการผลาญงบชาติบ้านเมือง ซื้อเวลาผ่านกระบวนการมากมายในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ใช้เป็นข้ออ้างให้รัฐบาลบริหารประเทศ 4 ปี หรือหวังฉวยโอกาสหมกเม็ด ทลายกำแพงของรัฐธรรมนูญปราบโกง ที่เป็นอุปสรรคของนักการเมือง อาทิ แก้ไขหรือยกเลิกบทลงโทษมาตรฐานจริยธรรม รวมถึงมาตรา 144 ที่ห้ามไม่ให้ฝ่ายนิติบัญญัติลงไปเกี่ยวข้องกับงบประมาณแผ่นดิน ฯลฯ ใช่หรือไม่. 

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'เพื่อไทย' จ่อเคลียร์ใจ 'ปานปรีย์' ชวนนั่งกุนซือพรรค ไม่รู้ 'นพดล' เสียบแทน

'เลขาฯ เพื่อไทย' รับต้องคุย 'ปานปรีย์' หลังไขก๊อกพ้น รมว.ต่างประเทศ แย้มชงนั่งที่ปรึกษาพรรค มั่นใจไม่เกิดแรงกระเพื่อม ปัดวางตัว 'นพดล' เสียบแทน ชี้ 'ชลน่าน-ไชยา' หน้าที่หลักยังเป็น สส.

พท. จัดใหญ่! '10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10' ตีปี๊บผลงาน 'รัฐบาลเศรษฐา'

'เพื่อไทย' เตรียมจัดงาน '10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10' สรุปผลงาน 'รัฐบาลเศรษฐา' 3 พ.ค.นี้ เดินหน้าเติมนโยบายที่สัญญาไว้กับประชาชน พร้อมเปิดตัวผู้สมัครนายก อบจ.

ถามจันทร์ส่องหล้าจะกล้าไหม? มี 3 คน เหมาะนั่ง ‘รมว.ต่างประเทศ’

ทำท่าจะล่มปากอ่าว เสียฤกษ์หมด แต่เมื่อเป็นไปแล้วคือรัฐมนตรีต่างประเทศลาออก หลังจากมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าตั้งรัฐมนตรีไม่ถึง 24 ชั่วโมง

'เศรษฐา1/1'เศรษฐกิจ-การเมืองนำ เว้นระยะ'ความมั่นคง-กองทัพ'

โฉมหน้า “คณะรัฐมนตรีเศรษฐา 1/1” ที่ออกมา นอกจากจะเป็นการสับเปลี่ยนหมุนเวียนตัวบุคคลของพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลแล้ว เป้าหมายที่ฉายภาพชัดต่อทิศทางการบริหารงานของรัฐบาล