จับตา"คดีฮั้ว"บานปลาย ศึกปะทุ"มท.-ยธ."งัดข้อ

คดี “ฮั้วเลือก สว.” ปี 2567 กลายเป็นประเด็นร้อนที่สะเทือนวงการการเมืองไทย โดยจุดชนวนจากข้อสงสัยเกี่ยวกับความโปร่งใสในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ซึ่งใช้ระบบใหม่ให้ผู้สมัครลงคะแนนกันเองใน 20 กลุ่มอาชีพ กระบวนการนี้ถูกวิจารณ์ว่ามีช่องโหว่ เปิดโอกาสให้เกิดการสมคบคิด หรือ “ฮั้ว” เพื่อควบคุมผลการเลือกตั้ง

หลักฐานสำคัญคือ “โพยฮั้ว” ที่พบในห้องน้ำศูนย์การประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี ซึ่งระบุรายชื่อผู้สมัครที่คาดว่าจะได้รับเลือก และสอดคล้องกับผลการเลือกตั้งจริง

กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เริ่มสืบสวนคดีนี้ตั้งแต่กลางปี 2567 หลังได้รับคำร้อง 3 คำร้อง โดยมุ่งเป้าไปที่ความผิดฐาน “อั้งยี่” (สมคบกันกระทำความผิด), ฟอกเงิน และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา เช่น มาตรา 116 (ยุยงปลุกปั่น) และมาตรา 157 (ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ) ล่าสุด ดีเอสไอรวบรวมหลักฐานเส้นทางการเงินมูลค่าไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท และเตรียมเรียกสอบพยานกว่า 1,200 ราย รวมถึงผู้สมัครและ สว.ที่ได้รับเลือก โดยมีกำหนดแจ้งข้อกล่าวหาในวันที่ 10 พ.ค.2568

คดีนี้ลุกลามเป็นความขัดแย้งระหว่างกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงยุติธรรม โดยเฉพาะในจังหวัดอำนาจเจริญและมหาสารคาม ซึ่งมีรายงานว่าข้าราชการระดับสูงของกระทรวงมหาดไทยอาจมีส่วนเกี่ยวข้อง นางกุสุมาลวตี ศิริโกมุท อดีตผู้สมัคร สว. จากมหาสารคาม ร้องเรียนว่า หลังแจ้งความในข้อหาอั้งยี่ที่ สภ.โกสุมพิสัย มีเจ้าหน้าที่จากกระทรวงมหาดไทยขอสำเนาการแจ้งความ

ทำให้เธอเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย ส่วนในจังหวัดอำนาจเจริญ พยานที่ให้ปากคำกับดีเอสไอมีรายงานว่าถูกข่มขู่และบังคับให้แจ้งความว่าถูกเจ้าหน้าที่ดีเอสไอบังคับให้เป็นพยาน

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ออกมาแสดงท่าทีแข็งกร้าว โดยขู่ดำเนินคดีกับผู้ว่าราชการจังหวัดอำนาจเจริญตามมาตรา 22 หากพบว่ามีการขัดขวางการสอบสวน พร้อมระบุว่าผู้กระทำผิดอาจต้องโทษจำคุก

ด้าน พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีดีเอสไอ ยืนยันว่าไม่มีพฤติกรรมข่มขู่พยานหรือถอดกล้องวงจรปิดตามที่ถูกกล่าวหา และย้ำว่าการสอบสวนเป็นไปตามขั้นตอน

ส่วน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 6 พ.ค.2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล เกี่ยวกับกรณีผู้ว่าราชการจังหวัดอำนาจเจริญทำหนังสือลับแจ้งปลัดกระทรวงว่าพบกลุ่มบุคคลอ้างเป็นดีเอสไอบังคับอดีตผู้สมัคร สว. อนุทินระบุว่าเป็นเพียง “การรายงานตามปกติ” และปฏิเสธแสดงความเห็นเกี่ยวกับเอกสารที่ดีเอสไอส่งต่อให้ กกต. โดยย้ำว่า “ผมอยู่กระทรวงมหาดไทย ทำแต่เรื่องบำบัดทุกข์บำรุงสุข”

มท.1 ยังตอบโต้คำขู่ของ พ.ต.อ.ทวี โดยยืนยันว่าไม่มีปัญหาการทำงานระหว่าง 2 กระทรวง พร้อมเหน็บว่า “บางคนเห็นคนดีๆ ทำงานด้วยกันไม่ได้ ก็พยายามเขย่า”

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 2 พ.ค.2568 “อนุทิน” ปฏิเสธกรณีที่มีเอกสารจากอธิบดีกรมการปกครองสั่งไม่ให้ความร่วมมือกับดีเอสไอ โดยระบุว่า

 “มั่นใจว่าไม่มีเรื่องไม่ให้ความร่วมมือ มันเป็นไปไม่ได้ การดำเนินการที่ถูกต้องตามกฎหมายต้องให้ความร่วมมือ แต่ต้องโปร่งใส ไม่มีเจตนาแฝงหรือกลั่นแกล้ง”

 ท่าทีของ “อนุทิน” สะท้อนถึงความพยายามรักษาภาพลักษณ์ของกระทรวงมหาดไทยท่ามกลางข้อกล่าวหา และหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่อาจกระทบเสถียรภาพทางการเมือง

นายอลงกต วรกี สว. ออกมาท้าทายดีเอสไอ โดยตั้งคำถามถึงอำนาจในการดำเนินคดี และระบุว่าไม่มีกฎหมายชัดเจนในการเอาผิดกรณีนำโพยเข้าคูหา

เขาท้าทายให้ดีเอสไอออกหมายจับหรือหมายค้น ซึ่งแสดงถึงความมั่นใจของ สว.บางส่วนที่เชื่อว่าคดีนี้อาจไม่สามารถดำเนินการถึงที่สุดได้ ส่วนประเด็นการสมคบคิดที่อาจนำไปสู่การเพิกถอนสิทธิ์ สว. ถูกส่งต่อไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อพิจารณายื่นฟ้องต่อศาลฎีกา

คดีฮั้วเลือก สว. สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบการเมืองไทย โดยเฉพาะการออกแบบการเลือก สว.ที่เอื้อต่อการควบคุมโดยกลุ่มอิทธิพล การปะทะกันระหว่างกระทรวงมหาดไทยและยุติธรรม

 รวมถึงท่าทีของ “อนุทิน” ที่พยายามวางตัวเป็นกลาง แต่ปกป้องภาพลักษณ์หน่วยงาน บ่งชี้ถึงการต่อสู้เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือและอำนาจการเมือง การที่ สว.บางส่วนถูกพาดพิงอาจกระทบเสถียรภาพของวุฒิสภา ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบกฎหมายและแต่งตั้งตำแหน่งในองค์กรอิสระ

ในแง่กฎหมาย ดีเอสไอเผชิญความท้าทายในการพิสูจน์เส้นทางการเงินในข้อหาฟอกเงิน ซึ่งต้องมีพยานหลักฐานที่ชัดเจน หากดีเอสไอประสบความสำเร็จ อาจนำไปสู่การเพิกถอน สว.บางส่วน และนำไปสู่การปฏิรูปกระบวนการเลือก สว.

แต่หากคดีนี้จบลงด้วยการขาดพยานหลักฐานหรือการประนีประนอมทางการเมือง อาจยิ่งตอกย้ำความไม่ไว้วางใจของประชาชนต่อระบบยุติธรรม

คดีฮั้วเลือก สว. ปี 2567 เป็นมากกว่าคดีอาญา แต่เป็นภาพสะท้อนความเปราะบางของระบบการเมืองและการบังคับใช้กฎหมายในประเทศไทย การสัมภาษณ์ และท่าทีของนายอนุทิน ที่ยืนยันความโปร่งใสของกระทรวงมหาดไทย และปฏิเสธข้อกล่าวหาการขัดขวางดีเอสไอ แสดงถึงความพยายามรักษาสมดุลระหว่างการปกป้องหน่วยงานและการหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับกระทรวงยุติธรรม

ขณะเดียวกัน ทุกสายตาจับจ้องไปที่การแจ้งข้อกล่าวหาในวันที่ 10 พ.ค. และการตัดสินใจของ กกต. ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดว่าคดีนี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงหรือกลายเป็นเพียงกรณีที่ถูกกลบฝังด้วยการเมือง.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เกมยาวเขตแดน"ไทย-กัมพูชา" ยุคผู้นำ"หลังไมค์"หลังพิงกองทัพ

พล.อ.ฮุน มาเน็ต นายกรัฐมนตรีของกัมพูชาโพสต์เฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 1 มิ.ย. พร้อมภาพที่ตนเองใส่เครื่องแบบชุดลายพรางสนาม นั่งแถลงข่าว เล่าถึงภารกิจของตนเองที่เดินทางลงพื้นที่ไปเยี่ยมทหารในพื้นที่ ณ จุดปะทะใกล้แนวต้นพญาสัตบรรณ พื้นที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี พร้อมเปิดประเด็นเรื่องการนำประเด็น 3 ปราสาท 1 พื้นที่ช่องบกยื่นต่อศาลโลกให้ชี้ขาด

'อนุทิน' โล่งอก คุยนายกฯ ชั่วโมงกว่าไม่มีเรื่องปรับครม.

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าร่วมประชุมพรรคภูมิใจไทย จะมีการนำเรื่องการพบนายกรัฐมนตรีชี้แจงในที่ประชุมพรรคด้วยหรือไม่ ว่า ไม่เกี่ยว เพราะวันนี้เป็นการประชุมสส.พรรค

10-16-23-18 ถอดรหัสตัวเลข-กลุ่มการเมือง จากปชป.ถึง"รทสช.-เพื่อนเฮ้ง"

น่าสนใจไม่น้อยกับการเคลื่อนไหวของ กลุ่มเสี่ยเฮ้ง สุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ จากพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ยังคงเคลื่อนไหวการเมืองต่อเนื่อง โดยเฉพาะการนัดรวมพล-รวมตัว สส.และแกนนำ รทสช.หลายนัดติดต่อกัน

พปชร.จุดไฟเผารัฐบาล ชี้ 2 ตอใหญ่ 'เพื่อไทย' ขจัด 'ภท.'

“พปชร.” ชี้ เพื่อไทยอยากได้ มท.1 เหตุไม่ต้องการให้บ่อนเสรีถูก ภท.ขัดขวาง แถมยังหวังฟอกขาวปัญหาที่ดินอัลไพน์ของตระกูล แนะ“อนุทิน”อย่าพายเรือให้โจรนั่ง

'อนุทิน' บอก เชื่อมั่น 'แพทองธาร' เสมอ ทำงานต้องจริงใจกัน อย่าเอาใครเป็นที่ตั้ง

"อนุทิน​" บอกการเมืองก็คือการเมือง ไม่ใช่สูตรคณิตศาสตร์ ทำงานร่วมกันต้องจริงใจ ​อย่าเอาใครคนใดคนหนึ่งเป็นที่ตั้ง เผยคุยนายกฯ ปกติ ไม่มีเรื่องตำแหน่ง หลังกระแสถูกยึดมท.ไปเป็นฝ่ายค้าน  ระบุเรียกประขุมพรรคภท.16มิ.ย.วาระปกติใกล้เปิดสภาฯ