สงครามประสาทระหว่างทางการกัมพูชา นำโดย 2 พ่อลูก "ฮุน เซน-ฮุน มาเนต" ที่เปิดฉากใส่ประเทศไทย อันนำมาสู่สถานการณ์ตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาหลายวันเริ่มคลี่คลาย หลังไทยใช้มาตรการเปิด-ปิดด่านชายแดนเพื่อกดดัน จนนำมาสู่การขอเจรจาเพื่อลดการเผชิญหน้ากันระหว่างทหารสองประเทศ
ภายหลังความตึงเครียดตามแนวชายแดนลดลง รูปแบบการปะทะได้ถูกปรับโหมดมาเป็นการใช้ "มาตรการตอบโต้" กันแทน
ฝ่ายไทยคงมาตรการกำหนดเวลาเปิด-ปิดด่านชายแดนเช่นเดิม รวมไปถึงเล็งยกมาตรการตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดอินเทอร์เน็ต เพราะยังไม่ไว้วางใจอีกฝั่ง
ขณะที่กัมพูชาพยายามตอบโต้ด้วยการแบนภาพยนตร์ ละคร และสินค้าไทย รวมไปถึงการปลุกระดมแรงงานชาติตัวเองกลับประเทศ
เป็นสถานการณ์ที่ยังไว้วางใจไม่ได้ และมีสิทธิ์กลับมาตึงเครียดอีกครั้ง เมื่อดูจากท่าทีผู้นำกัมพูชาในปัจจุบันที่ยังปั่นไม่หยุด รวมไปถึงต้องรอดูเอฟเฟกต์ต่างๆ หลังจากประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือเจบีซี เมื่อวันเสาร์ที่ 14 มิถุนายนที่ผ่านมา
แต่โดยรวมถือว่าดีขึ้นกว่าหลายวันก่อนหน้านี้ที่สุ่มเสี่ยงจะมีการปะทะโดยใช้กำลัง
ขณะที่รัฐบาลหนนี้สะบักสะบอมไม่น้อย ทั้ง "อุ๊งอิ๊ง" น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ทั้ง "บิ๊กอ้วน" นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงกับเรื่องดังกล่าว
แนวทางสันติวิธีแบบนายกฯ กับ รมว.กลาโหม ถูกสังคมพิพากษาว่าทำให้ไทยเสียเปรียบ อันนำมาสู่การกังขาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง "ตระกูลชินวัตร" กับ "ตระกูลผู้นำกัมพูชา"
การแก้ไขปัญหาชายแดนครั้งนี้ ทำให้ประชาชนขาดความไว้วางใจต่อตัวรัฐบาลและนายกฯ ตรงกันข้าม ประชาชนในประเทศกลับพร้อมใจกันไว้วางใจ "กองทัพ" มากกว่า
สถานการณ์ชายแดนครั้งนี้ที่ลดความตึงเครียดได้ ทุกคนยกเครดิตให้ "กองทัพ" เป็นพระเอกตัวจริง และเรื่องชายแดนไทย-กัมพูชานี้เอง ทำให้รัฐบาลติดลบเรื่องความไว้วางใจจากประชาชน
อย่างไรก็ดี ภายหลัง "ศึกนอก" คลี่คลายลงไประดับหนึ่ง ไม่ทันข้ามวัน "ศึกใน" ที่ต้องพักยกหลบปมร้อนชายแดน กลับมาปะทุอีกครั้ง
ชนวนเหตุครั้งนี้มาจากเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่พรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำรัฐบาล มีแพลนที่จะปรับตั้งแต่การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ในวาระแรกจบแล้ว
โดยเฉพาะการที่ "สทร." นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ผู้เป็นพ่อของนายกฯ คนปัจจุบัน ประกาศทวงคืน "กระทรวงมหาดไทย" จากพรรคภูมิใจไทยของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย
ตลอดช่วง 2-3 สัปดาห์มานี้ มีข่าวปล่อย ข่าวลือ ออกมาตลอดเวลาว่าพรรคเพื่อไทยจะหักดิบริบคืนกระทรวงมหาดไทย แล้วจะเอากระทรวงอื่นไปให้นายอนุทินแทน ทั้งกระทรวงสาธารณสุขบ้าง กระทรวงพาณิชย์บ้าง พร้อมๆ กับแคนดิเดตรายชื่อรัฐมนตรีที่จะถูกส่งมาแทนอย่างนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือชื่อของนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช อดีต รมว.วัฒนธรรม
ขณะที่พรรคภูมิใจไทยพยายามสร้าง "เกราะป้องกัน" ให้ตัวเอง โดยในช่วงเวลาดังกล่าวมีการปล่อยข่าวคดีของแกนนำต่างๆ ในพรรคเพื่อไทยในองค์กรอิสระ เสมือนเป็นการต่อรอง
รวมไปถึงการปล่อยภาพรับประทานอาหารร่วมกับนายสันติ พร้อมพัฒน์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และ "นายกด๊อยซ์" อัครเดช ทองใจสด นายก อบจ.เพชรบูรณ์ ที่กุมเสียง สส.เพชรบูรณ์เอาไว้ 6 เสียง กับทั้งนายเนวินและนายอนุทิน ประหนึ่งส่งสัญญาณให้เห็นว่าเสียงจากฝ่ายค้านที่พรรคเพื่อไทยจะไปหาเพิ่มหากเขี่ยพรรคภูมิใจไทยทิ้ง ได้มาอยู่กับพวกเขาก่อนแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้พรรคเพื่อไทยกล้าทำรุนแรงกับพรรคสีน้ำเงิน
รวมไปถึงท่าทีขึงขังของ "อนุทิน" ที่ขู่ว่าพร้อมเป็นฝ่ายค้านหากถูกยึดคืนกระทรวงมหาดไทย ในสภาวะที่ สทร.ประกาศทวงคืนกระทรวงมหาดไทย ต่อเนื่องมาถึงการปล่อยข่าวยึดกระทรวงรายวัน แต่ยังเงื้อง่าราคาแพง เหมือนคนลังเล
กับสภาวะที่พรรคภูมิใจไทยเชื่อมั่นว่า พรรคเพื่อไทยไม่กล้าทำแบบนั้น แต่ตัวเองกลับเร่งสร้างภูมิคุ้มกันด้วยการหาเสียง สส.จากฝ่ายค้านมาเพิ่ม รวมถึงคำขู่แรงๆ ของ "อนุทิน"
มันไม่ต่างอะไรกับสภาวะ "ขาสั่น" ของทั้งคู่
เพราะหากพรรคเพื่อไทยคิดจะทุบพรรคภูมิใจไทยแบบไม่กลัวอะไรเลย คงทำทันทีหลัง สทร.ประกาศ ไม่ต้องเล่นสงครามข่าวปล่อยกันขนาดนี้
หรือหากพรรคภูมิใจไทยมั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยไม่กล้ายึดคืน พวกเขาสามารถนั่งนิ่งๆ อยู่ในที่ตั้ง ไม่จำเป็นต้องหา สส.มาเติม หรือประกาศขู่จะไปเป็นฝ่ายค้าน
สุดท้ายมันอยู่ที่ว่า ใครมีความมั่นใจในสายป่านทางการเมืองมากกว่ากัน
ส่วนการที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดไต่สวนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการส่งตัวนายทักษิณไปรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ อีกหลายนัด พรรคเพื่อไทยมองว่าเป็นสัญญาณบวกมากกว่าสัญญาณลบ และทำให้มั่นใจในการปรับ ครม.ครั้งนี้มากขึ้น
เช่นเดียวกับการที่แพทยสภายืนยันมติลงโทษแพทย์ 3 ราย ซึ่งคงจะถูกศาลฎีกาฯ เรียกไปไต่สวนนั้น ก็ต้องใช้เวลาอีกสักระยะ ที่สำคัญ แพทย์ 3 รายยังมีช่องต่อสู้ในกระบวนการของศาลปกครองอีก
แต่อีกมุมกลับมองว่า การที่นัดไต่สวนอีกหลายนัด เป็นการลากยาวเพื่อไม่ปล่อยให้ "ทักษิณ" หลุดจากพันธนาการนี้ง่ายๆ
ด้านอีกพรรคร่วมรัฐบาลที่มีปัญหาอย่าง "พรรครวมไทยสร้างชาติ" หลัง "เสี่ยเฮ้ง" นายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ กับ "เลขาฯ ออย" พิชชารัตน์ เลาหพงศ์ชนะ สส.บัญชีรายชื่อ สายตรงสปอนเซอร์ใหญ่ของพรรค ล่ารายชื่อ สส.ครึ่งพรรค ยื่นถึงนายกฯ เพื่อขอให้ปรับ ครม.ในโควตาพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยพุ่งเป้าไปที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน หัวหน้าพรรค กับนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม เลขาธิการพรรค
ปัญหานี้ แม้กลุ่มนายสุชาติ ที่ภายหลังตั้งชื่อว่า "กลุ่ม 18" จะพยายามใช้โมเดลเดียวกับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สส.พะเยา ที่แยกตัวเอา สส.บางส่วนออกจากพรรคพลังประชารัฐมาตั้งพรรคกล้าธรรมแล้วร่วมรัฐบาล แต่ดูแล้วไม่ง่าย เพราะหากเขี่ยนายพีระพันธุ์พ้นตำแหน่ง จะเจอปัญหามากกว่า และเป็นปัญหาที่สามารถผสมโรงกับของพรรคภูมิใจไทยได้
เหมือนกับที่นายวิทยา แก้วภราดัย สส.บัญชีรายชื่อ กลุ่มนายพีระพันธุ์ประกาศว่า หากหัวหน้าพรรคตนเองเสียตำแหน่ง จะไปเป็นฝ่ายค้าน ซึ่งแม้จะเหมือนคำขู่ แต่โดยนิสัยของนายพีระพันธุ์แล้ว โอกาสที่จะเป็นแบบนั้นมีสูง
หากซีกกว่า 10 คนของนายพีระพันธุ์ไปเป็นฝ่ายค้าน เสียงรัฐบาลจะหาย นั่นยิ่งเข้าทางพรรคภูมิใจไทยให้มีความสำคัญกับรัฐบาลเข้าไปอีก
ฉะนั้น พรรคเพื่อไทยจึงไม่เลือกเปิดศึกกับพรรครวมไทยสร้างชาติอีกด้าน ด้วยการทำตามข้อเสนอของกลุ่ม 18 แต่ใช้วิธีโยนให้พรรคแก้ปัญหาภายในกันเอง โดยไม่แตะ ไม่ยุ่ง
ซึ่งมีการคาดการณ์กันว่า ทั้งนายพีระพันธุ์ ทั้งนายเอกนัฏ อาจจะได้อยู่ที่เดิม แต่ตำแหน่งของนายสุชาติจะยังอยู่หรือไม่ หลังเปิดศึกกับหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค ที่ถือสัดส่วนเสียงข้างมากของกรรมการบริหารพรรค กำหนดชะตาการเสนอชื่อรัฐมนตรีแก่นายกฯ ได้
และไม่ว่าอย่างไร ต่อให้ศึกนี้กลุ่ม 18 พ่ายแพ้แก่กลุ่มผู้บริหารพรรค ก็ไม่กระทบกับรัฐบาลเท่าไหร่ เพราะกลุ่ม 18 ไม่สวิงไปเป็นฝ่ายค้านแน่นอน แต่ยังอยู่ในวังวนของซีกรัฐบาล ต่างจากกลุ่มของนายพีระพันธุ์ ที่หากมีการหักหาญน้ำใจ ย่อมไม่เกี่ยงหากต้องเป็นฝ่ายค้าน
การปรับ ครม.ที่ยึกๆ ยักๆ ตึงเครียดกันอยู่ มันจึงจำกัดอยู่แค่วง "เพื่อไทย-ภูมิใจไทย" 2 พรรคนี้เท่านั้น
และน่าติดตามอย่างยิ่ง เพราะกระทรวงมหาดไทยมีความสำคัญในทางการเมือง โดยเฉพาะต่อการเลือกตั้ง เพราะนำมาเป็นกลไกสร้างความได้เปรียบได้ พรรคเพื่อไทยไม่ได้มีกระแสเหมือนแต่ก่อน ภาพลักษณ์ติดลบหลายเรื่อง จำเป็นต้องดึงกลับมาเป็นอาวุธ ถ้าตัดสินใจดึงกลับจริง แสดงว่าต้องชั่งน้ำหนักมาแล้วว่ายังอยู่รอดปลอดภัยได้ แม้สร้างความไม่พอใจให้กับพรรคภูมิใจไทยก็ตาม
ส่วนพรรคภูมิใจไทยก็น่าจับตา ในเมื่อ "อนุทิน" ประกาศว่าพร้อมเป็นฝ่ายค้านหากหลุด มท.1 เมื่อถึงเวลาจริงๆ จะทำแบบนั้นหรือไม่
โดยการปรับ ครม.จะเกิดขึ้นภายในไม่กี่วันนี้แน่ สัญญาณที่เห็นชัดที่สุดคือ การเลื่อนการประชุม ครม.สัญจรที่ จ.พิษณุโลก จากเดิมที่กำหนดไว้ระหว่างวันที่ 23-24 มิ.ย. ออกไปโดยไม่มีกำหนด ซึ่งมีรายงานว่าเป็นการเลื่อนออกไปเพื่อรอ ครม.ชุดใหม่.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ดร.เสรี ฟาด! คนชั่วนำ คนโง่ตาม บ้านเมืองพังเพราะยังยกย่องพวกนี้
ดร.เสรี วงษ์ มณฑา จวกคนทำผิดซ้ำซากแต่ไม่เคยยอมรับ ทั้งที่ศาลชี้ผิดชัด ยังมีคนเชิดชูจนประเทศวิกฤต เตือนถ้าปล่อยให้นำต่อ “เรือหายแน่”
อายัดทรัพย์เครือข่าย 'ก๊ก อาน' 1.1 พันล้าน ออกหมายแดงล่าตัวคนสนิทฮุนเซน
ผนึกกำลังประชาคมโลกปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์-ค้ามนุษย์ อายัดทรัพย์เครือข่าย "ก๊ก อาน" 1.1 พันล้าน เตรียมออกหมายแดงล่าตัว
ฮุนซวย! ตร.เตรียมส่งสำนวนคลิปเสียงให้อัยการสูงสุด เอาผิดคดีความมั่นคง
ตำรวจไซเบอร์สรุปสำนวนคดี “ฮุนเซน” ปมคลิปเสียงสนทนา “แพทองธาร” เตรียมส่งอัยการสูงสุด 14 ก.ค. ฐานความผิดตาม ม.116 กระทบความมั่นคง-พ.ร.บ.คอมฯ
แฉธาตุแท้ 'ทักษิณ' 8 ข้อ ล้าสมัย-ชอบโทษคนอื่น
อดีตผู้สมัคร สส.ประชาธิปัตย์ เดือดหลังฟังทักษิณพูด สรุปธาตุแท้ 8 ข้อ ล้าสมัย อวดเก่ง
อาการหนัก! เปิด 10 โรคทักษิณ นอนชั้น 14 ก็ไม่หาย
แกนนำ คปท. แขวะ “ทักษิณ” ป่วย 10 โรค ทั้งบ้าอำนาจ เพ้อเจ้อ โลกหมุนรอบตัว ลืมว่าเคยโกหก จิกแรงนอนชั้น 14
'จตุพร' จับพิรุธ 'ทักษิณ' เคลียร์ 3 ปมวันเดียวไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
“จตุพร” จับพิรุธ “ทักษิณ” ถอนกาสิโน–โชว์ซอฟพาวเวอร์–ซัดฮุนเซนแตกหัก 30 ปี วันเดียวไม่ใช่เรื่องบังเอิญ