'ขอให้เชื่อผมสักครั้ง' บิ๊กป้อมตอกย้ำการก้าวข้ามความขัดแย้ง

'บิ๊กป้อม' โพสต์ขอให้เชื่อผมสักครั้ง มุ่งมั่นก้าวข้ามความขัดแย้ง ดึง 2 ขั้วมาทำงานให้ประเทศ ชี้ไม่มีหนทางอื่นนอกจากมุ่งมั่นเดินหน้าในระบอบประชาธิปไตย เคารพการตัดสินของประชาชนส่วนใหญ่เท่านั้น

08 มี.ค.2566 - พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) โพสต์เฟซบุ๊ก บทที่ 2 ก้าวสู่วิถีประชาธิปไตย ระบุว่า การที่เป็นนายทหาร เติบโตจากชั้นผู้น้อยจนมาเป็นผู้บัญชาการทหารบก อยู่เป็นผู้หนึ่งในศูนย์กลางอำนาจรัฐ ประกอบกับการคบหาสมาคมกับคนในทุกวงการตามโอกาสที่อำนวยให้มากมาย ทำให้ผมเข้าใจโครงสร้างอำนาจของประเทศเป็นอย่างดี เป็นโครงสร้างที่ส่งผลต่อการช่วงชิงและจัดสรรอำนาจจริง ไม่ใช่แค่โครงสร้างในรูปแบบที่โฆษณาประชาสัมพันธ์ให้คนทั่วไปได้รับรู้

ตลอดระยะเวลาอันยาวนาน การต่อสู้ของ 2 ฝ่าย 2 แนวความคิดเป็นไปอย่างเข้มข้น ฝ่ายหนึ่งมองเห็นแต่ความเหลวแหลกของพฤติกรรมนักการเมือง แต่ความไม่รู้ ความไม่มีความสามารถของประชาชนที่จะเลือกคนมีความรู้ความสามารถเข้ามาบริหารจัดการประเทศ เห็นแต่นักธุรกิจการเมือง-การลงทุนทางการเมืองเพื่อค้ากำไร แสวงหาผลประโยชน์-นักการเมืองที่มาจากผู้มีบารมีในท้องถิ่น เข้ามาขยายแหล่งผลประโยชน์จากอำนาจส่วนกลาง

ผู้ประสบความสำเร็จในตำแหน่ง หน้าที่การงาน ทั้งที่เป็นข้าราชการ และภาคเอกชน ทั้งนักธุรกิจ นักลงทุนที่ทำงานขับเคลื่อนประเทศ ส่วนใหญ่ทนกับความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อนักการเมืองในคุณสมบัติข้างต้นไม่ไหว การสนับสนุนให้ก่อร่างโครงสร้างอำนาจนิยม เกิดขึ้นจากความเหลือทนต่อพฤติกรรมดังกล่าวของนักการเมือง

ผมรับรู้ถึงกระแสสนับสนุนการปฏิวัติรัฐประหารที่ไม่เคยหมดไปจากโครงสร้างอำนาจประเทศเรามาตลอด และมองความเป็นไปทั้งหมดอย่างเข้าใจ ว่าทำไมกลุ่มผู้มีอิทธิพล ในการกำหนดความเป็นไปของประเทศจึงพากันคิดและร่วมกันลงมือเช่นนั้น

อย่างไรก็ตาม เหมือนชะตาชีวิตเอื้อให้ผมมีโอกาสเข้ามาทำงานในฐานะนักการเมือง ตั้งแต่ในฐานะรัฐมนตรีในรัฐบาลที่นำโดยนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง ได้ทำงานร่วมกับผู้ที่มาจากการเลือกตั้ง ทั้งรัฐมนตรี และ ส.ส. จนมาถึงได้ร่วมก่อตั้งพรรค และขยับมาเป็นหัวหน้าพรรคด้วยเหตุผลที่กล่าวไปในบทที่แล้ว

ด้วยประสบการณ์ใหม่ และอุปนิสัยเดิมของผม ที่รักในการคบหาสมาคมกับผู้คน ทำให้ผมได้เรียนรู้ชีวิต และความคิดของนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนมากขึ้น

นักการเมืองในประเทศที่ประชาชนยังต้องการความช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ มากมาย ด้วยโครงสร้างการบริหารจัดการประเทศไม่เอื้อให้ประชาชนพึ่งพาตัวเองได้ ขณะที่การบริหารจัดการของระบบราชการยังบกพร่องและเป็นปัญหาอยู่มาก

นักการเมืองที่ถูกหมิ่นแคลนจากชนชั้นที่มีอิทธิพล กำหนดความเป็นไปของประเทศที่ผมได้กล่าวถึงข้างต้น กลับเป็นผู้ที่เข้าอกเข้าใจปัญหา เป็นที่พึ่งที่หวังได้ในทุกเรื่องของประชาชน มากกว่าคนกลุ่มอื่นในโครงสร้างอำนาจ

ผมเริ่มเข้าใจอย่างลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆว่า การตัดสินว่า ประชาชนไม่มีความสามารถในการเลือกคนดี มีความสามารถเข้ามาเป็นผู้แทนนั้นเป็นความคิดที่ไม่ถูก เพราะมองการตัดสินใจเลือกของประชาชนส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นผู้ถูกเอารัดเอาเปรียบในโครงสร้างอำนาจแบบนี้ เพียงมุมเดียว และเป็นมุมมองที่ไม่เคยเข้าใจความรู้สึกนึกคิดชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนที่เป็นส่วนใหญ่ของประเทศ

และเมื่อชีวิตนักการเมืองของผม ได้เรียนรู้จากการลงพื้นที่สัมผัสการทำงานของนักการเมืองพื้นที่ต่างๆ ทั้งด้วยภารกิจราชการอย่างเช่นการลงไปแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำในพื้นที่ต่างๆ และลงไปร่วมหาเสียง สร้างความนิยมให้สมาชิกพรรคในจังหวัดต่างๆ ผมได้รับรู้ว่า การปลูกฝังสำนึกประชาธิปไตยให้กับประชาชนนั้นไปไกลแล้ว ทั้งที่ผ่านบทบาทของนักการเมืองส่วนกลาง และนักการเมืองท้องถิ่นที่มีการเลือกตั้งกันทุกระดับ

ทำให้ผมกลับมาย้อนมองผลการเลือกตั้งที่ผ่านมา ด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ว่าทำไมพรรคที่สนับสนุนอำนาจนิยม จึงพ่ายแพ้ต่อพรรคที่เดินในแนวทางประชาธิปไตยเสรีนิยมทุกครั้ง เหมือนไม่มีหนทางในชัยชนะอยู่เลย แม้ว่าฝ่ายอำนาจนิยมจะสร้างกติกา และแต่งตั้งคนของตัวเองเข้ามาควบคุมกลไก เพื่อให้เอื้อต่อชัยชนะของฝ่ายตัวเอง อย่างเอาเป็นเอาตายแค่ไหนก็ตาม เพราะความพ่ายแพ้นั้นเกิดจากอำนาจนิยม แม้จะครองใจคนบางกลุ่มได้ แต่ห่างไกลอย่างยิ่งต่อความเข้าใจเกี่ยวกับความจำเป็นในชีวิตของประชาชนส่วนใหญ่

และด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความเป็นจริงในชีวิตคนส่วนใหญ่ ผ่านประสบการณ์ทางการเมืองของผม อย่างที่กล่าวมาแล้ว ทำให้เกิดความเชื่ออย่างหนักแน่นในใจว่าในเส้นทางการบริหารจัดการประเทศ ไม่มีหนทางอื่นนอกจากมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าในระบอบประชาธิปไตย เคารพการตัดสินของประชาชนส่วนใหญ่เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม แม้ผมจะมองไม่เห็นหนทางอื่น นอกจากปักความเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยอย่างมั่นคง หนักแน่นเพียงใดก็ตาม แต่ด้วยประสบการณ์ที่เรียนรู้ และรับทราบถึงเจตนาดีต่อประเทศของคนกลุ่มที่พิสูจน์ตัวเองแล้วว่ามีความรู้ความสามารถ และยังคงมีอิทธิพลกำหนดความเป็นไปของประเทศ ทำให้ผมเกิดความเสียดาย และคิดว่าการหาทางประสานให้คนกลุ่มนี้ เข้ามามีส่วนร่วมในการนำพาประเทศ ย่อมเกิดผลดีอย่างยิ่งต่อการพัฒนาบ้านเมือง และความคิดนี้เองเป็นที่มาของความมุ่งมั่นก้าวข้ามความขัดแย้งของผม

ท้ายของบทนี้ ผมขอให้ทุกคนเชื่อว่า ด้วยประสบการณ์ และเรื่องราวที่ผมสั่งสมมา จะทำให้ผมทำได้และจะทำได้ดีกว่าใครในความตั้งใจด้วยความปรารถนาดีต่อประเทศนี้ ขอให้เชื่อผมสักครั้ง หลังจากนี้ผมจะเล่าให้ฟังต่อไปว่า ผมจะทำอย่างไร

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'สามารถ' ย้อนเกล็ด 'เด็จพี่' ขยันร้องบิ๊กป้อม แต่ไม่ตามตัว สส.เพื่อไทย คดีตากใบ

นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีต สส.เพื่อไทย ติดตามการขาดประชุมของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ

'เด็จพี่' สวมบทพ่อบ้านสภาหา 'บิ๊กป้อม' ฟุ้งพร้อมหา พล.อ.พิศาลหากร้องขอมา

'เด็จพี่' มาตามนัด สวมบทพ่อบ้านสภาหา 'บิ๊กป้อม' เข้าประชุมหรือไม่ บอกไพบูลย์ นั่นแหละมั่ว ท้าดีเบตตัวต่อตัว เย้ยอย่าหนีออกจากรายการเหมือน 'เรืองไกร' แล้วกัน พร้อมตามตัว 'พิศาล' หากมีคนร้องมา

'สันติ' ยันไม่ทิ้งบิ๊กป้อม จวกคนไม่หวังดีปล่อยข่าวใส่ร้าย

นายสันติ พร้อมพัฒน์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีกระแสข่าวว่าจะย้ายกลับไปสังกัดพรรคเพื่อไทยว่า ไม่เห็นรู้เรื่องเลย ส่วนกระแสข่าวก็มีแต่คนไม่หวังดี ที่เขาไปพูดในจอทีวี ยืนยันว่ามีคนใส่ร้าย

'ไพบูลย์' ปูดข่าวยุบพรรคเพื่อไทย ให้จับตาดูหลัง 10 ต.ค.

นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรค พปชร. เปิดเผยว่า ตนทราบข่าวว่าจะเกิดปัญหากับพรรคการเมือง ที่นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ เป็นสมาชิกพรรค หรือที่รับใบสั่งกับแกนนำมาร้องเรียนจนมั่วไปหมด ซึ่งตนเองทราบจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อได้

'ไพบูลย์' แจ้งความแล้ว ลุยเอาผิด 'เด็จพี่' ฝ่าฝืนประกาศ คปค. ห้ามดักฟัง

นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรค พปชร. กล่าวถึงกรณีนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่ร้องตรวจสอบ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค พปชร. รวมถึงขอข้อมูลส่วนตัวว่า ตนเกรงว่านายพร้อมพงศ์ จะไม่มีความรู้ด้านกฎหมาย

เพิ่งกินข้าวกัน 'วัน' งงข่าว 'สันติ-วราเทพ' ทิ้งลุงป้อม

นายวัน อยู่บำรุง หัวหน้าทีมกรุงเทพฯ พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กเมื่อวานนี้ว่า "วันนี้ 18.00 น. ผมทานข้าวอยู่กับลุงป้อมพร้อมท่านสันติและท่านวราเทพ สื่อไปเอาข่าวมาจากไหนครับ"