
กรีนพีซ ประเทศไทย เปิดเอกสารการรวบรวมผลการศึกษา “ต้นทุนของความเพิกเฉย : ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจของประเทศไทย หากไม่ลดการผลิตพลาสติก” ตอกย้ำการผลิตพลาสติก เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHGs) ในระดับสูง และเร่งให้เกิดวิกฤตสภาพภูมิอากาศ โดย ปี พ.ศ. 2562 พบว่า การผลิตพลาสติกขั้นต้นในประเทศไทยปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO₂e) 27.3 ล้านตันต่อปี คิดเป็นร้อยละ 7.3 ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดของประเทศในปีเดียวกัน
ขณะที่ช่วงปี พ.ศ.2567 – 2568 บทวิเคราะห์ โดยกรุงไทยคอมพาส (Krungthai COMPASS) 21 ระบุว่า ประเทศไทย ใช้เม็ดพลาสติกประมาณร้อยละ 38 – 40 ในการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก ถือเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับการใช้เม็ดพลาสติกในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ในไทย ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่า ตลาดบรรจุภัณฑ์พลาสติกของไทยจะเติบโตได้ถึงร้อยละ 5.4 ในปี 2567 และร้อยละ 3.7 ในปี 2568 โดยมีปัจจัยหนุนทั้งการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม การขยายตัวของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ รวมถึงบริการส่งอาหารแบบดิลิเวอร์รี่

ตามรายงานของกรมควบคุมมลพิษในปี 2566 ประเทศไทยมีการประเมินว่า ปริมาณขยะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว (Single-use Plastics) มีปริมาณสูงถึง 3.03 ล้านตันต่อปี หรือคิดเป็นร้อยละ 11.25 ของปริมาณขยะทั้งหมดที่เกิดขึ้นในประเทศ แม้ในปัจจุบันจะมีระบบจัดการขยะชุมชนในภาพรวมอยู่ในระดับหนึ่ง รายงานตั้งคำถามสำคัญที่ยังไม่ถูกตอบ คือ ต้นทุนของการจัดการขยะพลาสติกนั้นเพียงพอหรือไม่ เมื่อเทียบกับต้นทุนในการฟื้นฟูระบบนิเวศในะยะยาวที่เกิดจากการที่ขยะพลาสติกรั่วไหลเข้าสู่ระบบนิเวศและสะสมในห่วงโซ่อาหาร
นอกจากนี้ ยังพบว่าขยะพลาสติกใช้ครั้งเดียวจำนวนมากยังรั่วไหลออกสู่สิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากภาคบรรจุภัณฑ์เพียงส่วนเดียวคิดเป็นเกือบร้อยละ 60 ของปริมาณขยะพลาสติกที่รั่วไหลทั้งหมด ขยะพลาสติกจำนวนมากยังคงลอยอยู่ในทะเล บางส่วนจมสู่ก้นทะเล อีกจำนวนไม่น้อยแตกตัวกลายเป็นไมโครพลาสติก ซึ่งเป็นอนุภาคขนาดเล็กที่กำจัดได้ยากยิ่ง สุดท้ายกลับเข้าสู่ห่วงโซ่อาหาร
ผลการศึกษายังครอบคลุมผลกระทบพลาสติกต่อทะเลและสัตว์ทะเล ระบุเป็นวิกฤตที่รุนแรงและต่อเนื่อง หน่วยงานด้านสัตวแพทย์และชีววิทยาทางทะเลต้องใช้งบประมาณจำนวนมากในการช่วยเหลือสัตว์ทะเลที่ได้รับผลกระทบจากการกลืนกินขยะทะเล ข้อมูลระหว่างวันที่ 1 เม.ย. 2567 – 31 เม.ย.. 2568 พบว่าสัตว์ทะเล 32 ตัว ที่เกยตื้นในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต พังงา และระนอง ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการบริโภคขยะทะเล แบ่งเป็นเต่าทะเลจานวน 27 ตัว (คิดเป็นร้อยละ 84) โลมาและวาฬ 2 ตัว และพะยูน 3 ตัว แม้จะมีความพยายามรักษาและช่วยเหลือเต็มที่ สัตว์ทะเลจำนวนมากยังคงเสียชีวิตจากการกินขยะพลาสติก หากไม่สามารถแก้ไขปัญหาด้านต้นเหตุของการผลิตพลาสติกที่ไม่ยั่งยืนได้อย่างจริงจัง ความสามารถปกป้องและอนุรักษ์สิ่งมีชีวิตจะยังถูกจำกัด
ข้อเท็จจริงอันน่าวิตกในผลการศึกษาจากหลากหลายแหล่งข้อมูลนี้ตีแผ่ในงาน “END THE AGE OF PLASTIC : ยุติมลพิษพลาสติก” ซึ่งกรีนพีซ ประเทศไทย จัดขึ้น เนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก ซึ่งตรงกับวันที่ 5 มิถุนายน ที่ผ่านมา ณ หอศิลป์วัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร หวังกระตุ้นให้ทุกภาคส่วนรับรู้ผลกระทบที่แท้จริงของมลพิษพลาสติก ซึ่งกำลังคุกคามระบบนิเวศ สุขภาพ และความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ที่สำคัญ กรีนพีซ ประเทศไทย เรียกร้องให้ประเทศไทยกำหนดเป้าหมายการลดการผลิตพลาสติกใหม่มีกรอบเวลาอย่างชัดเจนในระดับนโยบาย โดยเฉพาะในการประชุมเจรจาสนธิสัญญาพลาสติกโลก (INC-5.2) ที่จะจัดขึ้นในเดือนสิงหาคมนี้ ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ สนธิสัญญาฉบับนี้จะต้องกำหนดเป้าหมายการลดการผลิตพลาสติกใหม่ลงอย่างน้อยร้อยละ 75 ภายในปี 2583) เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่รุนแรงต่อความหลากหลายทางชีวภาพ ช่วยจำกัดอุณหภูมิพื้นผิวโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส

พิชามญชุ์ รักรอด หัวหน้าโครงการรณรงค์ยุติมลพิษพลาสติก กรีนพีซ ประเทศไทย กล่าวว่า ประเทศไทยในฐานะหนึ่งในประเทศผู้นำของภูมิภาคอาเซียน นี่คือโอกาสที่สำคัญในการแสดงจุดยืนที่ชัดเจนบนเวทีโลก ผ่านการผลักดันเป้าหมายและกรอบเวลาของการลดการผลิตพลาสติกใหม่ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ไขวิกฤตมลพิษพลาสติกอย่างแท้จริง ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ เสียงของไทยสามารถเป็นพลังบวกที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงระดับโลกได้ หากเราเริ่มลงมือปฎิบัติ ด้วยความกล้า ไม่ย่อท้อและโอนอ่อนต่อแรงกดดัน เราจะไม่เพียงรักษาสิ่งแวดล้อมไว้ได้ แต่ยังสร้างต้นแบบแห่งความยั่งยืนให้ภูมิภาคและโลกได้เห็นว่าไทยพร้อมเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง
แม้ประเทศไทยจะใช้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP เป็นตัวชี้วัดหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่การมุ่งเน้นเพียงตัวเลขโดยไม่คำนึงถึงต้นทุนทางสิ่งแวดล้อม สังคม และสุขภาพของประชาชน กำลังกลายเป็นกับดักที่ย้อนกลับมาทำร้ายประเทศในระยะยาว การเพิ่มการผลิตพลาสติกอาจสร้างรายได้ระยะสั้นให้กับบางภาคส่วน แต่ในทางกลับกันกลับสร้างต้นทุนด้านสุขภาพ ภัยพิบัติ และความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติที่ภาครัฐและประชาชนต้องแบกรับ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจในโลกยุคใหม่จึงไม่อาจแยกขาดจากการคำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอย่างรอบด้านได้อีกต่อไป
จากรายงานวารสาร Cambridge Prisms: Plastics ระบุว่า แม้การลดการผลิตพลาสติกและลงทุนในทางเลือกที่ยั่งยืนจะมีต้นทุน แต่ผลลัพธ์ด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจในระยะยาวนั้นคุ้มค่าและชัดเจนกว่าการเพิกเฉย โดยมีการคาดการณ์ความเสียหายจากมลพิษพลาสติกอาจสูงถึง 14,000–282,000 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หากไม่มีการจัดการที่เป็นรูปธรรม จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศต่าง ๆ รวมถึงไทย จะต้องกำหนดเป้าหมายการลดการผลิตพลาสติกภายใต้กรอบเวลาที่ชัดเจน เพื่อสร้างความรับผิดชอบร่วม สร้างความโปร่งใสและเสริมความเชื่อมั่นในการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืน

สฤณี อาชวานันทกุล หัวหน้าทีมวิจัยแนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทย กล่าวว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนไม่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยการผลักภาระต้นทุนทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ การผลิตพลาสติกที่ไม่จำเป็นและไม่มีการควบคุมจะทำให้สังคมและสิ่งแวดล้อมเสียหายไร้ที่สิ้นสุด เราจำเป็นต้องเปลี่ยนวิธีคิดเสียใหม่ เศรษฐกิจที่ดีต้องคำนึงถึงอนาคต และระบบการเงินที่เป็นธรรมต้องไม่สนับสนุนธุรกิจที่ทำร้ายอนาคตคนรุ่นหลัง
ด้าน ชณัฐ วุฒิวิกัยการ ผู้ก่อตั้ง KongGreenGreen กล่าวว่า พลาสติกชิ้นเดียวที่เราใช้แล้วทิ้ง อาจดูเล็กน้อยในชีวิตประจำวัน แต่เมื่อสะสมจากคนทั้งประเทศ มันสามารถกลายเป็นวิกฤตระดับชาติได้ การเปลี่ยนแปลงสามารถเริ่มต้นได้จากการลงมือทำด้วยตัวเราเองแม้จะเป็นเพียงการปฏิเสธถุงพลาสติกหรือการพกแก้วส่วนตัว แต่เมื่อคนจำนวนมากร่วมมือกัน โลกของเราจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
ผศ.เพ็ญจันทร์ ละอองมณี รองคณบดีคณะเทคโนโลยีทางทะเล มหาวิทยาลัยบูรพา วิทยาเขตจันทบุรี กล่าวว่า พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งในปัจจุบันไม่ได้ย่อยสลายหายไป แต่กลับกลายเป็นภัยคุกคามต่อสิ่งมีชีวิตในทะเลและห่วงโซ่อาหารของมนุษย์ นโยบายลดการผลิตพลาสติกไม่ใช่เพียงการรักษาสิ่งแวดล้อม แต่คือการปกป้องสุขภาพ ความมั่นคงทางอาหาร และความยั่งยืนของทรัพยากรทางทะเลที่เราต้องพึ่งพา
ทั้งนี้ ในงาน “END THE AGE OF PLASTIC” รณรงค์ให้ประชาขนร่วมลงชื่อผลักดันให้เกิดสนธิสัญญาพลาสติกโลกที่เข้มแข็ง หยุดวิกฤตมลพิษพลาสติกอีกด้วย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
โค้งสุดท้ายสู่สนธิสัญญาพลาสติกโลก เป้าหมายที่ไทยควรกำหนดในเวทีโลก
ก่อนหน้าการเจรจาระหว่างรัฐบาลในการจัดทํามาตรการที่มีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศด้านมลพิษจากพลาสติก รวมทั้งสิ่งแวดล้อมทางทะเลที่จะมีการประชุมและเจรจาครั้งสุดท้าย (INC-5) เพื่อให้เกิดสนธิสัญญาพลาสติกโลก หรือ “Global Plastic Treaty” ณ เมืองปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี