494เสียงโหวต กม.ตำรวจฉลุย ยืดเกณฑ์แต่งตั้ง

รัฐสภาโหวตกฎหมายตำรวจผ่านฉลุย 494 เสียง ขอ 180 วัน ยกเว้นเกณฑ์โยกย้ายใหม่ ขณะที่ กมธ.บอก ตร.ขอมาอย่าใจดำ ด้าน “โรม” ซัดกำลังวางไข่ทายาทอสูร ขณะที่ช่วงเช้าประท้วงวุ่น  ส.ว.สมชายย้อน “เด็กก้าวไกล” วันหลังอย่าแอบขอข้อมูล

เมื่อวันที่ 5 ก.ค. ที่รัฐสภา ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ที่มีนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่การประชุม ได้มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.... ในวาระสาม ด้วยคะแนน 494 ไม่เห็นด้วย 40 งดออกเสียง 4 และไม่ลงคะแนน 1 เสียง รวมทั้งเห็นชอบกับข้อสังเกตของ กมธ.ด้วย

 ทั้งนี้ ก่อนจะมีมติเห็นชอบ เมื่อเวลา 10.03 น. ได้เริ่มพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.... วาระที่สอง ในมาตรา 169/1 ต่อจากเมื่อวันที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ รองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญ ปฏิบัติหน้าที่แทนประธานคณะกมธ. ชี้แจงว่า สืบเนื่อง พล.ต.อ.ปิยะ อุทาโย รอง ผบ.ตร. ในฐานะ กมธ. ได้เสนอเพิ่มข้อความใหม่ โดยมีเนื้อที่เกี่ยวข้องกับระยะเวลา เพื่อทำให้การคัดเลือกและแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจที่อยู่ระหว่างการดำเนินการในปัจจุบันให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ซึ่งสมาชิกในที่ประชุมได้ทักท้วงว่ากระบวนการตรากฎหมายอาจไม่ถูกต้องและผิดข้อบังคับ จนต้องสั่งพักการประชุมไปเมื่อคราวที่แล้ว เพื่อให้ทางคณะ กมธ.ได้นำกลับไปทบทวนและหารือ บัดนี้ ทางคณะ กมธ.มีมติเห็นว่าควรแก้ไขมาตรา 169/1 ใหม่ ตามที่ พล.ต.อ.ปิยะ เสนอไว้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่นายสมชาย แสวงการ ส.ว. ในฐานะรองประธานคณะ กมธ.ลุกขึ้นชี้แจง ได้พาดพิงนายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ว่ามโนข้อบังคับ เพราะทางคณะกมธ.ไม่ได้อาศัยข้อบังคับข้อที่ 96 แต่ใช้ข้อที่ 75 ต่างหาก ทำให้นายธีรัจชัยไม่ยอมและลุกขึ้นประท้วงขอให้นายสมชายถอนคำพูด แต่นายสมชายยืนยันไม่ถอน ถ้าจะให้ถอนก็ต่อเมื่อนายธีรัจชัยยอมถอนคำพูดที่ว่าการออกกฎหมายครั้งนี้เอื้อประโยชน์ใครบางคน พร้อมกับชี้นิ้วมายังนายธีรัจชัย ทำให้เจ้าตัวประท้วงบอกว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่สุภาพ นายสมชายจึงตอบโต้ว่า “ผมไม่กลัวอะไรท่านหรอก อย่ามาขอข้อมูลเลย แอบขอข้อมูลอยู่เรื่อย ผมเป็นผู้ใหญ่ไม่รบกับเด็ก” ต่อมานายชวนได้วินิจฉัยให้เรื่องนี้จบลง  

จากนั้น เข้าสู่การอภิปรายมาตรา 169/1 โดยนายอดิศร เพียงเกษ กมธ. อภิปรายว่า ก่อนที่จะถึงช่วงของการแต่งตั้งโยกย้าย ทาง สตช.ต้องรู้ร้อนรู้หนาวตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์แล้วว่าร่างกฎหมายตำรวจจะเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา แล้วจะมาชักร่างกฎหมายเข้าออกแบบนี้ให้เปลืองค่าประชุม กมธ.ทำไม เราแก้ไขกฎหมาย เพราะไม่ต้องการให้เกิดตั๋วที่ใหญ่กว่าม้า และเราต้องการให้เกิดการแต่งตั้งที่มีความยุติธรรม เมื่อ 169/1 ไม่มีตำหนิ แล้วจะมาแก้ไขทำไม ตนถามว่าสภาแห่งนี้เป็นเครื่องมือของใครหรือไม่ จะถอนไปเพราะคนใดคนหนึ่งอยู่เบื้องหลัง ก็จะไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ

นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า มาตรา 169/1 ต้องบอกว่าเป็นมาตราที่เดิมจะต้องอ่านคู่กับมาตรา 69 ซึ่งมาตรา 169/1 สาระสำคัญคือการเขียนล็อกเอาไว้เลยว่าตำแหน่งต่างๆ นั้นจะต้องเป็นกี่ปี โดยวางกรอบระยะเวลาไม่เกิน  5 ปีนับแต่ พ.ร.บ.นี้ประกาศใช้ ประเด็นสำคัญคือกมธ. รวมถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ทราบอยู่แล้วว่ากฎเกณฑ์ในการโยกย้ายตำแหน่ง คุณสมบัติการดำรงตำแหน่งต่างๆ นั้น มีลักษณะประมาณใด ท่านรู้อยู่แล้วว่ากฎเกณฑ์กำลังจะเปลี่ยนไป

แต่สิ่งที่ กมธ.ทำคือ ทำโผตำรวจในลักษณะที่ต่างกันโดยไม่ได้คำนึงถึงผลที่จะเกิดขึ้น ที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีปัญหา เราพิจารณากฎหมายฉบับนี้ได้ด้วยดี หลายเรื่องตนและพรรคก้าวไกลไม่เห็นด้วยเลย แต่ก็ดีใจอยู่บ้างที่ในมาตรา 69 สุดท้ายมีการกำหนดปีเอาไว้อย่างชัดเจน อย่างน้อยที่สุดอาจจะป้องกันคนที่จะได้รับประเภทตั๋วช้างเข้ามาดำรงตำแหน่งข้ามหัวคนอื่นได้

นายรังสิมันต์กล่าวต่อว่า สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีปัญหามาโดยตลอด และนำไปสู่การมีตั๋วช้างและตั๋วตำรวจต่างๆ มากมาย ตนได้อภิปรายไปแล้วว่ามีตำรวจกว่า 2 พันนายที่ได้รับตั๋ว และบางส่วนได้รับตั๋วช้าง สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ส่งผลกระทบกับคนไม่กี่คนที่ถูกข้ามหัว แต่ทำให้ความเชื่อต่อระบบคุณธรรมของวงการตำรวจพังทลายลง และวิธีการแบบนี้ไม่ได้กระทบกับตำรวจที่อยู่ในตำแหน่ง แต่กระทบกับครอบครัวของเขา ซึ่งอาจจะเกี่ยวพันกับคนนับล้าน วันนี้เชื่อว่าคนที่นั่งอยู่ในที่แห่งนี้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

แต่เรากำลังจะอนุมัติให้เกิดตั๋วช้างอีกรอบ ท่าน กมธ. โดยเฉพาะท่านที่มาจาก สตช. ท่านรู้ดีว่ากำลังช่วยใคร สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปนี้ไม่ใช่แค่การวางตัวคนที่จะไปเป็นรอง ผบ.ตร.เท่านั้น แต่ได้ยินมาว่าลำดับท้ายๆ กำลังจะได้รับสิทธิในการข้ามหัวคนอื่น ขึ้นมาเป็นรอง ผบ.ตร. แล้วปีถัดไปก็จะเป็น ผบ.ตร. และเหตุผลที่ กมธ.ต้องขอ 180 วันในการชะลอกฎหมายที่กำลังจะผ่านสภาออกไป ก็เพื่อที่จะได้วางไข่ วางทายาทอสูร ตั้งแต่รอง ผบ.ตร.ไปจนถึงตำรวจระดับชั้นที่น้อยที่สุด ซึ่งก็คือช่วงเดือนเมษายน มากไปกว่านั้นท่านอ้างถึงการโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรมที่เขาอาจจะได้กลับมา เอาคนที่เสียหายจากการตัดสินใจของท่านมาเป็นเงื่อนไขในการที่จะให้ตั๋วตำรวจกับแค่บางคน

 ซึ่งความจริงแค่ใช้กฎ ก.ตร.กับมาตรา 170 ก็ช่วยตำรวจที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมได้แล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เนื้อหาแบบที่ กมธ.เพิ่งเสนอปรับแก้ใหม่เลย พูดกันตรงๆ พูดด้วยความจริงท่านก็แค่ใช้โอกาสนี้ช่วยตำรวจบางคนเท่านั้น นี่คือสิ่งที่สภากำลังยอมให้เกิดระบบตั๋วเกิดขึ้นในวงการตำรวจ เป็นระบบที่ใช้ไม่ได้ ดังนั้นเราต้องหยุดยั้งระบบแบบนี้ จะปล่อยให้ตั๋วช้าง ตั๋วม้า ตั๋วแมว ตั๋วนก ตั๋วต่อ ตั๋วโต้ง ตั๋วอะไรก็แล้วแต่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปไม่ได้

พ.ต.ต.ชวลิต เลาหอุดมพันธ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า ระหว่างที่คณะ กมธ.พิจารณาร่าง พ.ร.บ.นี้ ทางตำรวจได้ทำข้อท้วงติงมาหลายเรื่อง แต่ตนไม่เห็นด้วย และเห็นว่าเป็นกระบวนการเคลื่อนไหวเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ตำรวจทั้งประเทศกำลังจับตามองบุคคลเจ้าประจำที่ได้ตั๋วช้างช่วยมาตลอด เช่น ผู้บัญชาการสอบสวนกลางคนปัจจุบัน และผู้ช่วย ผบ.ตร.คนหนึ่งในขณะนี้ ซึ่งเขาจะครบเกณฑ์หนึ่งปีที่สามารถเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นได้

พ.ต.ต.ชวลิตกล่าวต่อว่า การขึ้นตำแหน่งรอง ผบ.ตร. และผู้ช่วย ผบ.ตร.  ถ้าเทียบเกณฑ์เก่ากับกฎหมายใหม่จะเหมือนกัน ไม่มีอะไรแตกต่าง แต่ถ้าไปดูในมาตรา 74 จะเห็นว่าการเลื่อนต้องเป็นไปตามเรียงคิว ตามหลักอาวุโส 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสองคนข้างต้นกล่าวถึง ขณะนี้อยู่ในลำดับอาวุโสท้ายแถว เพราะเขาใช้ตั๋วช้างยกเว้นหลักเกณฑ์มาหลายรอบ

ถ้าบังคับใช้กฎหมายใหม่ในรอบนี้ คนจะไม่ได้เลื่อนขึ้นแน่นอน แต่ถ้าเลื่อนออกไปอีก 180 วัน ตามที่คณะ กมธ.แก้ไข สองคนดังกล่าวจะสามารถเลื่อนขึ้นได้ ดังนั้น ถ้าที่ประชุมรัฐสภามีมติผ่านเรื่องนี้ ผู้ช่วย ผบ.ตร.ตั๋วช้างคนดังกล่าว ปีนี้จะได้เป็นรอง ผบ.ตร. และในปีหน้าก็จะสามารถขึ้นเป็น ผบ.ตร.ได้ ถามว่าเขาจะเป็นผู้นำองค์กรที่ตำรวจทั้งประเทศยอมรับได้อย่างไร จึงขอเสนอให้สมาชิกลงมติไม่เห็นด้วยกับที่ กมธ.ขอแก้ไขในมาตรา 169/1

นายสมชาย แสวงการ ส.ว. ในฐานะรองประธาน กมธ. ชี้แจงว่า ตนไม่มีญาติเป็นตำรวจ ดังนั้นการที่บอกว่าเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มคนได้ตั๋วช้าง ตั๋วม้า ตั๋วแมว หรือตั๋วอะไร ตนไม่ได้สนใจอะไร เพราะมีทั้งคนได้และคนเสียพอกัน แต่สภาต้องออกกฎหมายแล้วต้องใช้ได้ อย่างไรก็ตาม มีตำรวจมาขอร้องว่าเกิดปัญหาตำรวจสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ย้ายกลับลำบากถ้ากฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้ทันที ดังนั้นสภาจะใจจืดใจดำไม่ให้หรือ เพียงแค่ 180 วัน จากนั้นเวลา 12.55 น. ที่ประชุมลงมติ ผลปรากฏว่าเสียงส่วนใหญ่เห็นด้วย 344 ต่อ 181 งดออกเสียง 50 ไม่ออกเสียง 1 เสียง เป็นอันว่าที่ประชุมเห็นด้วยกับคณะ กมธ.เพิ่มข้อความขึ้นใหม่ ในมาตรา 169/1.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง