บี้ตรึงค่าไฟขู่ขึ้นราคาสินค้า

กกพ.มึน เร่งพิจารณาเคาะสูตรค่าเอฟทีใหม่ คาดชัดเจนภายในสัปดาห์นี้ ด้านเอกชนบี้ตรึงค่าไฟ ขู่ขืนขยับขึ้นพร้อมปรับราคาสินค้าอีก 5-12%

รายงานข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ภายในสัปดาห์นี้ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จะสรุปสูตรอัตราค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) งวดใหม่เดือน ม.ค.-เม.ย.2566 อย่างเป็นทางการ เบื้องต้นอัตราเอฟทีงวดใหม่ ในส่วนของภาคครัวเรือน คาดว่าเป็นไปตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ให้นโยบายช่วยเหลือลดค่าไฟฟ้าแก่กลุ่มเปราะบางที่ใช้ไฟฟ้าต่ำกว่า 500 หน่วยต่อเดือน ให้จ่ายค่าไฟราคาเดิมเท่างวดปัจจุบัน 4.72 บาทต่อหน่วย

ส่วนของภาคอุตสาหกรรม อาจต้องปรับขึ้นสูงเกินกว่า 5 บาท/หน่วย ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถระบุตัวเลขอย่างชัดเจนได้ เนื่องจาก กกพ.อยู่ระหว่างรอ ปตท.สรุปตัวเลขการคิดราคาก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) สำหรับโรงไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (ไอพีพี) ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (เอสพีพี) รวมทั้งการพิจารณาจ่ายหนี้ให้กับ กฟผ. จำนวน 1.2 แสนล้านบาท ว่าจะมีแนวทางการจ่ายอย่างไร

 “หากได้ข้อสรุป 2 ประเด็นนี้ จึงจะประกาศค่าเอฟทีงวดใหม่อย่างเป็นทางการได้ ส่วนอีกแนวทางหนึ่ง จะขอความร่วมมือให้ ปตท.ลดการจ่ายก๊าซเข้าโรงแยกก๊าซให้มาป้อนในโรงไฟฟ้าก่อน ยังไม่รู้ว่าจะมีความเป็นไปได้หรือไม่” แหล่งข่าว ระบุ

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ กฟผ.แบกรับภาระไว้นานแล้ว จะให้เจ๊งไม่ได้ ต้องดูว่าจะทำอย่างไร ส่วนเรื่องอื่นนิ่งแล้ว ซึ่งเท่าที่ทราบทาง กกพ.หนักใจมากในการพิจารณาค่าเอฟทีงวดใหม่ว่าจะทำอย่างไรให้เหมาะสมกับสถานการณ์มากที่สุด ซึ่งในที่ประชุมเคยหารือกันว่า ถ้าตรึงเฉพาะครัวเรือน แล้วไปโป่งเฉพาะภาคอุตสาหกรรม ทางภาคอุตสาหกรรมต้นทุนขึ้น ก็ต้องผลักภาระขึ้นราคาสินค้าให้กับผู้บริโภคอยู่ดี สุดท้ายทางผู้บริโภคก็ได้รับผลกระทบอยู่ดี จึงต้องพิจารณาทุกอย่างอย่างรอบด้านให้รอบคอบ

ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า หากรัฐพิจารณาปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) งวดเดือน ม.ค.-เม.ย.2566 เพิ่มขึ้นอีก จากปัจจุบันเฉลี่ยค่าไฟรวมอยู่ที่ 4.72 บาทต่อหน่วย จะกดดันให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องทยอยปรับขึ้นราคาสินค้าโดยเฉลี่ยราว 5-12% ส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ รวมถึงการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (เอฟดีไอ) ที่กำลังย้ายฐานท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ถดถอย

 “ต้องยอมรับว่าปี 2566 ภาพรวมเศรษฐกิจโลกถดถอย แต่ละประเทศมีการแข่งขันกันสูงขึ้น ทั้งการส่งออกและการดึงดูดการลงทุนที่กำลังพิจารณาย้ายฐานการผลิตมายังภูมิภาคอาเซียน ซึ่งไทยมีจุดเด่นหลายอย่าง แต่ค่าไฟที่สูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับเวียดนามที่มีค่าไฟเพียง 2.88 บาท/หน่วย ส่งผลต่อขีดแข่งขันของไทยยิ่งลดต่ำลงไปอีก โดยจากการพูดคุยกับนักลงทุนต่างชาติ พบว่าค่าไฟฟ้าของไทยค่อนข้างสูง และเมื่อต้องเสนอเข้าบอร์ดบริษัทแม่มักจะไม่ผ่านในประเด็นนี้ เป็นปัจจัยบั่นทอนการตัดสินใจลงทุนของต่างชาติ ดังนั้น ภาครัฐต้องทบทวนโครงสร้างพลังงานของไทยใหม่ เพื่อดูแลค่าพลังงานในระยะยาวให้อยู่ในทิศทางที่เหมาะสม ไม่ผลักภาระค่าไฟให้กับภาคอุตสาหกรรมและส่งเสริมให้ครัวเรือนประหยัดไฟฟ้า ซึ่งตรงกันข้ามกับไทย"  นายเกรียงไกรระบุ

นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า ส.อ.ท.ขอเสนอให้ภาครัฐชะลอการปรับค่าเอฟทีงวดเดือน ม.ค.-เม.ย.2566 ออกไปก่อน และปลดล็อกกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคในการดำเนินการ เช่น การขอใบอนุญาต รง.4 (กรณีมีการจำหน่ายไฟฟ้าให้ภาครัฐ) การขอใบอนุญาตต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการติดตั้งโซลาร์เซลล์ในโรงงานอุตสาหกรรมและภาคบริการ การส่งเสริมการดำเนินงานร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ให้รวดเร็วและครอบคลุมทุกกลุ่มอุตสาหกรรม และการเพิ่มสัดส่วนเอทานอลด้วยน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่วผสมกับเอทานอล (E20) เป็นต้น.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง