โพลชี้ปราบคอร์รัปชันเหลว! แนะ‘ประยุทธ์’เข้มแบบคสช.

เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2566 ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เสนอผลสำรวจเรื่อง ปัญหาทุจริต วิกฤต ซ้อน วิกฤตประเทศ กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ ดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ผ่านกระบวนการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Survey) เพื่อลดความคลาดเคลื่อนแก้ปัญหาแหล่งความคลาดเคลื่อนจากผู้ถาม  ผู้ตอบ และเครื่องมือวัด จำนวน 1,020 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 5-7 มกราคม พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมา โดยมีค่าความคลาดเคลื่อนจากการกำหนดขนาดตัวอย่างบวกลบร้อยละ 5 ในช่วงความเชื่อมั่นร้อยละ 95

ที่น่าเป็นห่วงคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 76.7 ระบุปัญหาทุจริตคอร์รัปชันเกิดขึ้นสั่นคลอนรัฐบาลและระบบราชการไทยอย่างมากถึงมากที่สุด ในขณะที่ร้อยละ 18.5 ระบุปานกลาง และร้อยละ 4.8 ระบุน้อยถึงไม่สั่นคลอนเลย นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 72.5 ระบุการรับรู้ต่อความล้มเหลวของหน่วยงานรัฐบริหารจัดการนโยบายปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน ล้มเหลวมากถึงมากที่สุด ในขณะที่ร้อยละ 21.9 ระบุปานกลาง และร้อยละ 5.6 ระบุน้อยถึงไม่ล้มเหลว

ที่น่าพิจารณาคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 57.2 ระบุเชื่อว่าปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน คือต้นตอของปัญหาอาชญากรรม ความรุนแรงต่างๆ มากถึงมากที่สุด ได้แก่ ค้ายาเสพติด ค้าอาวุธ การพนันทุกรูปแบบทั้งออนไลน์ บ่อนวิ่ง เป็นต้น ในขณะที่ร้อยละ 31.0 ระบุปานกลาง และร้อยละ 11.8 ระบุน้อยถึงน้อยที่สุด

          นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 79.1 ระบุเจ้าหน้าที่รัฐรับเงินขบวนการค้ายาเสพติดและการฟอกเงิน, ร้อยละ 76.4 ระบุข่าวปัญหาทุจริตที่ประชาชนต้องการให้แก้ไขเร่งด่วน ได้แก่ เจ้าหน้าที่รัฐเรียกรับผลประโยชน์ทุนจีนสีเทาและการฟอกเงิน, ร้อยละ 76.2 ระบุนักการเมือง เจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงรู้เห็นเป็นใจสนับสนุนกลุ่มทุนจีนสีเทาและบ่อนต่างๆ, ร้อยละ 75.0 ระบุข่าวอธิบดีกรมอุทยานฯ พัวพันเรียกรับส่วย สินบน, ร้อยละ 73.6 ระบุ ข่าวเรียกรับเงินใต้โต๊ะ ทุจริตสอบตำรวจ,   ร้อยละ 73.5 ระบุนักการเมือง เจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงอยู่เบื้องหลังเรียกรับผลประโยชน์ ส่วย สินบน และร้อยละ 72.0 ระบุการทุจริตจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานราชการ

ที่น่าสนใจคือ เกือบร้อยละร้อยคือร้อยละ 97.3 เห็นด้วยและสนับสนุนนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่ออกมาแฉ กลุ่มทุนจีนสีเทา และกระบวนการฟอกเงิน ในขณะที่เพียงร้อยละ 2.7 ไม่เห็นด้วย

นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 82.3 ระบุต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เด็ดขาด จริงจังกับปัญหาทุจริตเหมือน สมัย คสช.,  ร้อยละ 77.0 ต้องการเห็นทุกพรรคการเมืองชูความเด็ดขาดแนวนโยบายปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน,  ร้อยละ 75.7 ต้องการเห็นและคาดหวังสำนักงานตำรวจแห่งชาติและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่ นำร่องปฏิรูประบบราชการแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน ให้สง่างามเป็นที่พึ่งของประชาชน, ร้อยละ 74.4 ต้องการให้ ปปง. สำนักงานอัยการ และทุกหน่วยงานรัฐ ที่กำกับควบคุมการใช้กฎหมาย ทำความจริงให้ปรากฏ, ร้อยละ 74.1 ต้องการให้หน่วยงานภาครัฐไม่ปกป้องคนผิด ข้าราชการพัวพันกลุ่มทุนจีนสีเทา การฟอกเงินและเรียกรับส่วยอุทยาน และร้อยละ 71.5 ต้องการเห็นรัฐบาลเข้มแข็ง เอาจริงกับนโยบายปราบปรามทุจริตคอร์รัปชัน

เมื่อถามถึงความต้องการนายกรัฐมนตรีคนใหม่ พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 95.2 ต้องการนายกรัฐมนตรีคนใหม่หลังเลือกตั้ง ถือธงนำปฏิรูประบบราชการ จัดการ ปัญหาทุจริตคอร์รัปชันเด็ดขาดจริงจัง ในขณะที่เพียงร้อยละ 4.8 ไม่ต้องการ

ผอ.ซูเปอร์โพลกล่าวว่า ผลโพลชิ้นนี้ สะท้อนกระแสสังคมมากถึงมากที่สุด  เชื่อว่ายังมีการทุจริตฝังรากลึกในระบบราชการทุกส่วนราชการ และไม่เชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรมในการสืบสวนสอบสวนเอาผิดกับผู้กระทำผิดทุจริตในระบบราชการ โดยมีเจ้าหน้าที่รัฐและการเมืองสมประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่สำคัญของประเทศและเป็นต้นตอของปัญหาอาชญากรรมต่างๆ เช่น ยาเสพติด บ่อนการพนัน ค้าอาวุธ และจี้ปล้น เป็นต้น และยังเชื่อว่ามีการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงสมคบคิดอยู่เบื้องหลัง ปัญหาทุจริตคอร์รัปชันฝังลึกในทุกระบบราชการไทย

          อย่างไรก็ตาม ที่น่าสนใจคือ เกือบร้อยละร้อยเห็นด้วยและสนับสนุนนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่ออกมาแฉกลุ่มทุนจีนสีเทา และผู้อยู่เบื้องหลังสนับสนุนขบวนการที่ทำผิดกฎหมาย ทั้งยาเสพติดและบ่อนการพนัน และไม่เชื่อมั่นกระบวนการยุติธรรมของรัฐ ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของความเสมอภาคของกระบวนการยุติธรรม

          ข้อมูลผลโพลบ่งชี้ให้เห็นได้ว่า ประชาชนส่วนใหญ่เชื่อมั่นนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ มากกว่าหน่วยงานรัฐ ที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชันอย่างมาก ประชาชนส่วนใหญ่จึงต้องการให้รัฐจริงจังทำความจริงให้ปรากฏ และต้องการเห็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ถือธงนำปฏิรูประบบราชการ ขจัดปัญหาทุจริตคอร์รัปชันให้เด็ดขาดมากกว่าที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้

            วันเดียวกันนี้ นายชูวิทย์ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กถึงกรณีดังกล่าว โดยระบุว่า เรื่องที่ ผบช.น. ควรสอบกลับไม่สอบ ไม่ตรวจพื้นที่ให้ครบถ้วนในคราวเดียวกัน ไม่เก็บหลักฐานให้ครบ เอาพยานกลับเป็นผู้ต้องหา ปล่อยผู้ต้องสงสัยรายสำคัญไปด้วยฝีมือลูกน้องตัวเอง ให้คนจีนเอาเงินมาจ่ายถึงกลาง สน.ยานนาวา แล้วแอบไปแจ้งข้อหาในวันหยุด และอีกมากมายบานเบอะ

            "แค่ผมทำหน้าที่ให้ประชาชนเขารู้ความบกพร่องสะเพร่าของตำรวจเอง กลับเต้นจะสอบว่า ตำรวจคนไหนไปบอกชูวิทย์? แล้วก็ลงเรื่องเดิมๆ ทำให้สำนวนรั่วไหล ว่าไปถึง "เกลือเป็นหนอน" โน่น ทั้งที่ผมมาช่วยนะเนี่ย ในเมื่อสำนวนท่านรั่วมาตั้งแต่ต้น แถมนอกจากรั่วแล้วยังมั่วอีก ก็รีบไปแก้ไข น่าจะดีใจมีคนอย่างผมช่วยอีกคน เพราะหากผมไม่พูดเสียตั้งแต่เนิ่นๆ นี่สิ! จะเป็นปัญหาเมื่อไปถึงศาล เพราะจะหลุดไปเงียบๆ ทำกันแบบลับๆ ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน มันจะหลุดคดีเอานะครับท่าน ผบช.น." นายชูวิทย์ระบุ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง