‘ตะวัน-แฟรงค์’นอนคุกยาวรอบ3

ศาลอาญาอนุญาตฝากขังครั้งที่ 3 "ตะวัน -แฟรงค์" ป่วนขบวนเสด็จฯ อีก 12 วัน ถึง 20 มีนาคมนี้ ระบุพนักงานสอบสวนยังมีเหตุจำเป็น สอบพยานบุคคลเพิ่มเติม นายประกันรุ่น 2 โผล่ ชักแม่น้ำทั้งห้า พิทักษ์รักษาสิทธิมนุษยชนปัญญาชน แนะศาลจะตีความกฎหมายจำกัดสิทธิเสรีภาพเป็นหลักไม่ได้  เพื่อไทยโดนด้วย อสส.เรียก "เรืองไกร" ให้ข้อมูลเพิ่ม 18 มี.ค. หลังย่องยื่นยุบพรรค หาเสียงแก้ ม.112

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 8 มีนาคม  2567 ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้เดินทางมาเนื่องจากครบฝากขังครั้งที่ 3 เเละจะมายื่นคัดค้านการฝากขังครั้งที่ 4 น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือตะวัน และนายณัฐนนท์ ไชยมหาบุตร หรือแฟรงค์  นักเคลื่อนไหวทางการเมือง แจ้งข้อหาว่า  "ร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใด อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริตเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน, ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร หรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา และร่วมกันกระทำด้วยประการใดอันเป็นการก่อความเดือดร้อนรำคาญในที่สาธารณะ,  ทราบคำสั่งของเจ้าพนักงานซึ่งสั่งการตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายให้ไว้ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งโดยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควร

นายกฤษฎางค์เปิดเผยว่า ตอนนี้อาการของผู้ต้องหาทั้ง 2 คนก็ไม่ค่อยดี  เราอยากได้ความเห็นจากศาลเนื่องจากการขอประกันตัวครั้งที่แล้ว ศาลก็บอกว่าอยู่ในความดูแลของโรงพยาบาล มีความปลอดภัยแล้วแข็งแรงก็อยู่ได้แล้ว อย่างที่ศาลเชื่อมันก็คงต้องเบิกตัวมาได้ เพราะการไต่สวนเรื่องนี้ต้องอยู่ต่อหน้าผู้ต้องหาว่าเขาคัดค้านหรือไม่ แล้วตนจะถามว่าทําไมต้องฝากขังต่อ คดีอื่นๆ ได้ฝากขังหรือเปล่า ความจริงแล้วต้องเข้าใจว่าการฝากขังนี่คือการเอาตัวมาก่อนที่จะมีการฟ้องศาล ซึ่งยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ตรงที่ว่าไม่ให้สิทธิ์เด็กในการประกันตัว น้องสองคน ถ้าศาลไม่รับต่อ ศาลก็ปล่อยตัว ไม่ต้องประกัน แต่ถ้าศาลรับฝากขังไว้ก็คงต้องเป็นไปตามกลไก เพราะเด็กก็ประกาศว่าเขาจะไม่ประกันตัว หากพิจารณาตามโทษแล้วจะฝากขังระหว่างการสอบสวนไว้ได้แค่ 48 วัน ถ้าครั้งนี้จะรับฝากขัง ทางตำรวจคงพยายามขวนขวายไปฟ้องคดี แต่ปัญหาคือการฝากขังไม่มีกฎเกณฑ์แน่นอน บางคดีตํารวจก็ให้ประกันตัว บางคดีก็นำผู้ต้องหาไปฝากขัง

ทั้งนี้ ทางตํารวจก็ยอมรับว่าผู้ต้องหาทั้ง 2 ถ้าไม่ฝากขังไว้เด็กมันก็ไม่ได้หลบหนีไปไหน มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งแล้วก็ไม่ได้ไม่สามารถไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานได้ ข่มขู่ใครก็ไม่ได้ แต่ตำรวจก็ยังดันทุรังมาฝากขังและคัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราวอยู่ก็ตามใจ แต่ว่าขอให้ทําแบบนี้ทุกคดีก็แล้วกัน

ต่อมา นายอธึกกิต แสวงสุข หรือ  “ใบตองแห้ง” สื่อมวลชนอาวุโส เเละนายนภสินธุ์ หรือสายน้ำ (สงวนนามสกุล) ตัวเเทนของ ายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ ส.ศิวรักษ์ ปัญญาชนสยามและผู้บุกเบิกวิสัยทัศน์สังคมศาสตร์และประวัติศาตร์ไทย ได้เดินทางมายื่นคำแถลงขอให้พิจารณาไม่รับฝากขังและคัดค้านการไม่ให้ปล่อยชั่วคราวตะวันและแฟรงค์ รวมถึงประชาชนผู้ต่อสู้ทางความคิดรายอื่นอันจะเกิดขึ้นในอนาคต

โดยนายอธึกกิตออกเเถลงการณ์ระบุว่า ขอยืนยันว่าการปล่อยตัวชั่วคราวบุคคลนั้นเป็นสิทธิของบรรดาผู้ต้องหาและจำเลยในคดีอาญา การจำคุกกักขังควบคุมบุคคลใดเกินกว่าที่สมควรตามเหตุผลที่กฎหมายกำหนดนั้นจะกระทำมิได้ ด้วยความเคารพต่อศาลอาญา ตนเห็นว่าการรับฝากขังผู้ต้องหาทั้งสองในคดีนี้ไว้ไม่ให้ปล่อยตัวชั่วคราวออกไปทั้งที่ทั้งสองมิได้มีพฤติการณ์หลบหนี ยินยอมให้เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมที่บริเวณหน้าศาลอาญา และโดยที่ทั้งสองไม่ใช่บุคคลที่จะสามารถเข้ายุ่งเหยิงพยานหลักฐานและกระทำการขัดขวางสำนวนการสอบสวนของพนักงานสอบสวนนั้น เป็นกรณีที่เป็นอันตรายต่อกระบวนการยุติธรรมและต่อตัวเยาวชนทั้งสอง โดยอาจเป็นการด้อยค่าสิทธิมนุษยชนของพวกเขา ในการพิทักษ์รักษากระบวนการยุติธรรมและดำรงไว้ซึ่งระบบอันที่พวกเราผู้ใหญ่และเราเพิกเฉยละเลยต่อการพิทักษ์รักษาสิทธิมนุษยชนปัญญาชนทั้งหลายเป็นเสาหลักในการปกปักดูแลประชาชนนั้น ไปไม่ได้ และเราต่างเรียนรู้หลักการตามนิติปรัชญาเพื่อนำมาใช้สร้างความเป็นธรรมให้ทุกชนเท่าเทียมกัน

ขอเรียนท่านผู้พิพากษาโปรดพิจารณาไม่รับฝากขังผู้ต้องหาทั้งสองนี้ต่อไปก็ขอให้ผู้พิพากษาผู้พิจารณาปล่อยชั่วคราวจำเลยและพิจารณาให้ความเป็นธรรมปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยทางความคิดทั้ง หลายเมื่อคราวที่ท่านมีอำนาจพิจารณาด้วย

นายอธึกกิตกล่าวต่ออีกว่า สื่อบางที่สร้างกระเเสให้ทานตะวันเป็นเหมือนเเม่มด จนกดกันให้ตำรวจต้องหาข้อหาที่ร้ายเเรงมาสนองกระเเสสังคม ทั้งที่จริงดูจากพฤติการณ์การไม่ฟังคำสั่งของตำรวจที่อยู่ท้ายขบวนเสด็จฯ ควรจะเป็นเเค่ความผิดจราจรเท่านั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องความไม่ปลอดภัยต่อราชวงศ์ ตนมองว่าการตั้งข้อหา 116 เป็นการตั้งข้อหาที่เกินกว่าเหตุ ดูจากพฤติการณ์คือเด็กทั้งสองออกรถก่อนที่ตำรวจจะอนุญาตตำรวจก็มาล้อม การบีบเเตรดังกล่าวจึงเป็นการบีบใส่ตำรวจ เเต่ที่ไม่มีการตั้งข้อหา 112 คงเพราะจะกลัวว่าเป็นการอ้างสถาบันมากเกินไปก็เลยตั้งข้อหา 116 เพื่อสนองความรู้สึกกระเเสดรามา

ด้านนายนภสินธุ์ หรือสายน้ำ (สงวนนามสกุล) ตัวเเทนของนายสุลักษณ์ได้อ่านเเถลงการณ์เเทนนายนายสุลักษณ์  ความว่า ข้าพเจ้าเนติบัณฑิตอังกฤษ จากสำนักเดอะมิดเดิ้ล เทมเปิล ซึ่งเชื่อมั่นว่าโดยหลักแห่งนิติปรัชญา ทุกคนต้องได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม และบุคคลจะต้องมีสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาคอย่างเท่าเทียมกัน การควบคุมกักขังที่ชอบด้วยกฎหมายจะต้องทำเพื่อป้องกันภยันอันตรายอื่นใดหรือการหลบหนีเท่านั้น  ต้องมีการประกันอิสรภาพของบุคคลอย่างเคร่งครัด และจะตีความกฎหมายจำกัดสิทธิเสรีภาพเป็นหลักไม่ได้

ผู้ต้องหาทั้งสองคนเป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหาที่พนักงานอัยการยังไม่ได้ฟ้องเป็นคดีต่อศาล และการต่อสู้ของเยาวชนสองคนนี้เห็นชัดว่าเป็นกรณีของการต่อสู้ทางความคิด ไม่มีเหตุผลใดทั้งทางมนุษยธรรมและทางหลักกฎหมายที่จะควบคุมขังเด็กไว้ตามคำร้องขอของรัฐ  ขอศาลได้ปลดปล่อยเด็กเหล่านี้ ตามอำนาจที่ศาลยุติธรรมมีอยู่ เพื่อให้เขามีสิทธิต่อสู้ทางความคิด และมีสิทธิในการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่หากผิดก็ลงทัณฑ์ หากถูกก็ให้ยกฟ้อง และให้ปล่อยเด็กโดยทันที

 โดยในวันนี้พนักงานสอบสวน สน.ดินแดง ได้ยื่นคำร้องขอฝากขังผู้ต้องหาทั้งสองเป็นครั้งที่ 3 เป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 9 มีนาคม-20 มีนาคมนี้ เนื่องจากมีความจำเป็นต้องสอบปากคำพยานเพิ่มเติมและอื่นๆ

ขณะเดียวกัน นายกฤษฎางค์ นุตจรัส  ทนายความจากศูนย์ทนายความฯ ได้ยื่นคำร้องคัดค้านการฝากขังของพนักงานสอบสวน สน.ดินแดงด้วย

  อย่างไรก็ตาม ศาลได้ไต่สวนทั้ง 2 ฝ่ายแล้ว เห็นว่าพนักงานสอบสวน สน.ดินแดง ยังมีเหตุจำเป็นพยานบุคคลต้องสอบเพิ่มเติมอีก 2 ปาก ซึ่งเกี่ยวข้องกับผู้ต้องหา และยังต้องรอภาพถ่ายวิดีโอซึ่งเป็นพยานหลักฐาน เพื่อที่จะพิจารณาสั่งต่อไป ทั้งผู้ต้องหาทั้งสองมีสิทธิยื่นประกันตัวต่อศาลได้อีก โดยศาลกำชับให้พนักงานสอบสวน ให้เร่งรัดสอบปากคำให้แล้วเสร็จในการฝากขังครั้งนี้ ส่วนคำร้องคัดค้านให้ยก

วันเดียวกันนี้ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ระบุว่า เมื่อวันที่ 4 มีนาคมที่ผ่านมา สำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) ส่งหนังสือให้ตนไปให้ถ้อยคำในคำร้องขอให้ยุบพรรคเพื่อไทย เนื่องจากในการหาเสียงการเลือกตั้งที่ผ่านมาได้สนับสนุนการแก้ไข ป.อาญา มาตรา 112 ซึ่งถือเป็นพรรคที่ 2 ที่ตนยื่นเรื่องต่อจากพรรคก้าวไกล ซึ่งได้นัดจะไปให้ถ้อยคำในวันที่ 18 มีนาคมนี้.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง