เริ่มจดทะเบียน สมรสเท่าเทียม กทม.จอง322คู่

“รัฐสภาไทย” ประดับธงสีรุ้ง คิกออฟ "สมรสเท่าเทียม" 878 อำเภอ-50 เขต กทม.  พร้อมบริการจดทะเบียน ปลัด กทม.เผยลงทะเบียนล่วงหน้าแล้ว 322 คู่

เมื่อวันที่ 22 ม.ค.2568 ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า เนื่องจากในวันที่ 23 ม.ค.68 จะนับเป็นวันประวัติศาสตร์สำคัญของการเปลี่ยนแปลงกฎหมายว่าด้วยการสมรสและครอบครัวของประเทศไทย ด้วยเป็นจุดเริ่มที่ พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ.2567 หรือกฎหมายสมรสเท่าเทียม จะมีผลใช้บังคับ โดยกฎหมายได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 24 ก.ย.67 ทั้งนี้ จะบริการจดทะเบียนสมรสเท่าเทียมของสำนักทะเบียน 878 อำเภอใน 76 จังหวัดทั่วประเทศ และ 50 เขต ในกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่ 23 ม.ค.68 เป็นต้นไป ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้เป็นหน่วยงานหลักในการส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยในระดับนานาชาติ ในฐานะประเทศที่ยอมรับและเคารพสิทธิมนุษยชนสนับสนุนเพศที่หลากหลาย

ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า นายวันมูหะมัดนอร์  มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้อนุญาตให้สภาร่วมประดับธงสีรุ้งภายในบริเวณรัฐสภาและจัดกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ โดยเชิญชวนให้ประชาชนพร้อมทั้ง สส.ติดสติกเกอร์ “หัวใจสีรุ้ง”  เพื่อร่วมกันเฉลิมฉลองความสำเร็จที่รัฐสภาได้ร่วมกันดำเนินการ

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการ รมว.มหาดไทย และโฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า กรมการปกครองได้รายงานให้นายอนุทิน  ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ทราบว่าขณะนี้ได้เตรียมความพร้อมแล้วทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง  โดยระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการจดทะเบียนครอบครัว (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2568 เพื่อรองรับการจดทะเบียนสมรสตามกฎหมายใหม่ ก็ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วเมื่อวันที่ 20 ม.ค.68 ที่ผ่านมา และจะมีผลบังคับ 23 ม.ค.68  ทางด้านระบบมีการแก้ไขพร้อมทดสอบระบบทะเบียนสมรสและทะเบียนหย่าเรียบร้อยแล้ว  รวมทั้งจัดเตรียมผลิตแบบพิมพ์ ใบสำคัญการสมรส (คร.3) และใบสำคัญการหย่า (คร.7) เพื่อรองรับการให้บริการที่เพิ่มขึ้น

น.ส.ไตรศุลีกล่าวอีกว่า วันที่ 23 ม.ค.  กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการปกครอง จะมีกิจกรรม “ตีฆ้องชัย ให้ทุกความรัก 878 อำเภอทั่วไทย" ที่อำเภอกะทู้ จังหวัดภูเก็ต ขณะที่อำเภอต่างๆ ทั่วประเทศก็จะมีกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ เพื่อเฉลิมฉลองให้กับทุกความรัก และในโอกาสเริ่มต้นที่สำคัญนี้ ท่านอนุทินได้ขอให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกๆ คน ร่วมอำนวยความสะดวกและบริการประชาชนให้เต็มที่ ให้ความสำคัญกับเคารพสิทธิมนุษยชน และให้ภูมิใจที่กระทรวงมหาดไทยได้เป็นหน่วยงานหลักในการส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยในระดับนานาชาติ  ในฐานะประเทศที่ยอมรับและเคารพสิทธิมนุษยชนสนับสนุนเพศที่หลากหลาย

ด้านนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า ขณะนี้กรุงเทพมหานคร (กทม.) มีความพร้อมเต็มที่ในการให้บริการจดทะเบียนสมรสเท่าเทียมที่จะมีขึ้น เพราะว่าโดยหลักการแล้วเป็นการจดทะเบียนสมรสเหมือนปกติทั่วไป เป็นหลักการเดียวกันที่ทำให้ทุกคนเท่าเทียมกัน สิ่งที่สำคัญคือรายละเอียดของสิทธิต่างๆ ภายหลังจากการจดทะเบียนสมรสแล้ว เช่น หากเป็นข้าราชการ ภายหลังจดทะเบียนสมรสแล้วจะมีสิทธิการลา การเบิกค่ารักษาพยาบาลเป็นอย่างไรบ้าง เป็นต้น ซึ่งต้องดูให้ละเอียด

ในส่วนของการให้บริการประชาชน กรุงเทพมหานครได้มีการอบรมให้ความรู้กับเจ้าหน้าที่เพิ่มเติมไปแล้ว เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องให้ความใส่ใจ รวมถึงเรื่องการใช้คำพูดต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของคนที่แตกต่างและมีความหลากหลาย ซึ่งคำพูดที่ใช้ในกลุ่มเพื่อนกับคำพูดที่ใช้ในการให้บริการย่อมแตกต่างกัน ได้มีการเน้นย้ำในเรื่องนี้ เพราะมีความละเอียดอ่อน ต้องให้มีความเข้าใจกันในการให้บริการ

“การจดทะเบียนสมรสเท่าเทียมในวันพรุ่งนี้  (23 ม.ค.68) ถือเป็นก้าวสำคัญ เพราะเป็นวันแรกที่กฎหมายมีผลใช้บังคับ แต่หลังจากนี้ก็จะเหมือนการจดทะเบียนสมรสทั่วไป และทุกคนก็จะเหมือนกัน เท่าเทียมกัน” ผู้ว่าฯ ชัชชาติกล่าวในตอนท้าย

นางวันทนีย์ วัฒนะ ปลัด กทม. กล่าวถึงความคืบหน้าการเตรียมความพร้อมจดทะเบียนสมรสเท่าเทียมในพื้นที่ กทม.วันแรกว่า กทม.พร้อมอำนวยความสะดวกให้คู่รักที่มีความหลากหลายทางเพศเข้าจดทะเบียนสมรส เพื่อส่งเสริมความเท่าเทียม ความเสมอภาค และการไม่เลือกปฏิบัติ โดยเปิดให้ลงทะเบียนล่วงหน้า และดำเนินการจดทะเบียนสมรสได้ที่สำนักงานเขต ทั้ง 50 เขต โดยทั้ง 50 เขต มีความพร้อมในทุกด้านในการให้บริการจดทะเบียนสมรสเท่าเทียมแก่ประชาชน ตั้งแต่เวลา 08.00-16.00 น. ซึ่งหลายสำนักงานเขตได้จัดเตรียมของที่ระลึก เพื่อร่วมแสดงความยินดีและเฉลิมฉลองให้กับทุกความรักที่ได้รับความเท่าเทียมครั้งประวัติศาสตร์นี้ด้วย

ปลัด กทม.กล่าวต่อว่า จากการเปิดลงทะเบียนล่วงหน้า ได้รับรายงาน ณ วันที่ 21 ม.ค.  พบว่ามีคู่รักที่ประสงค์จะเข้ารับการจดทะเบียนสมรส จำนวน 322 คู่ แบ่งเป็น แจ้งความประสงค์เข้ารับการจดทะเบียนที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน 190 คู่ ขณะที่สำนักงานเขตต่างๆ ก็มี จำนวนมากถึง 114 คู่ ส่วนอีก 18 คู่ ทำการยกเลิก หรือเอกสารยังไม่ครบ

นางวันทนีย์กล่าวด้วยว่า กทม.ยังได้ร่วมจัดงานและให้บริการจดทะเบียนสมรสเท่าเทียมที่สยามพารากอนเป็นกรณีพิเศษ โดยเปิดให้บริการเวลา 08.00-18.00 น. ซึ่งจะมีสำนักงานเขตปทุมวันเป็นหน่วยงานหลัก และประสานความร่วมมือกับสำนักงานเขตที่เกี่ยวข้อง 3-4 เขต มาร่วมให้บริการ มีการจัดเตรียมแบบฟอร์ม อุปกรณ์ และสัญญาณการสื่อสารเรียบร้อยแล้ว ส่วนของกิจกรรม “Marriage Equality - สมรสเท่าเทียม” ณ Paragon Hall ชั้น 5 สยามพารากอน เขตปทุมวัน จะจัดขึ้นในวันที่ 23 ม.ค. ตั้งแต่เวลา 10.00-22.00 น. ผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะได้พบกับพิธีจดทะเบียนสมรสเท่าเทียมครั้งแรก เสวนาเกี่ยวกับการสร้างครอบครัวหลากหลาย  นิทรรศการเส้นทางสู่สมรสเท่าเทียม มินิคอนเสิร์ตจากศิลปินแนวหน้า และงานเฉลิมฉลองบนพรมแดงสีรุ้ง Pride Carpet สัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจและการยอมรับ พร้อมแสดงออกถึงตัวตนผ่านการแต่งกายที่สะท้อนอิสรภาพทางความคิดและจิตวิญญาณแห่งความรัก

 สำหรับคุณสมบัติของผู้จะจดทะเบียนสมรสเท่าเทียม มีดังนี้ 1.บุคคลทั้งสองจะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ กรณีผู้เยาว์ต้องนำบิดามารดาหรือผู้ปกครองมาให้ความยินยอมด้วย กรณีอายุต่ำกว่า 18 ปี จะต้องได้รับอนุญาตจากศาล 2.ไม่เป็นคนวิกลจริต หรือไร้ความสามารถ 3.ไม่เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดา หรือร่วมแต่บิดามารดา 4.ไม่เป็นคู่สมรสของบุคคลอื่น 5.ผู้รับบุตรบุญธรรมจะสมรสกับบุตรบุญธรรมไม่ได้  6.หญิงที่ชายผู้เป็นคู่สมรสตาย หรือการสมรสสิ้นสุดลงด้วยประการอื่น จะสมรสใหม่ได้ต่อเมื่อสิ้นสุดการสมรสไปแล้วไม่น้อยกว่า 310 วัน เว้นแต่คลอดบุตรแล้วในระหว่างนั้นศาลมีคำสั่งให้สมรสได้ มีใบรับรองแพทย์ว่าไม่ได้ตั้งครรภ์ สมรสกับคู่สมรสเดิม

 โดยเอกสารที่ต้องใช้ในการจดทะเบียนสมรสเท่าเทียม กรณีคนไทยกับคนไทย ประกอบด้วย บัตรประจำตัวประชาชน หรือยืนยันตัวตนผ่านแอปพลิเคชัน ThaiD กรณีคนไทยกับคนต่างชาติ เอกสารประกอบด้วย บัตรประจำตัวประชาชนคนไทย หรือยืนยันตัวตนผ่านแอปพลิเคชัน ThaiD หนังสือเดินทางคนต่างชาติ หนังสือรับรองสถานภาพการสมรสที่แสดงว่าไม่มีคู่สมรสในขณะที่จะจดสมรส และกรณีคนต่างชาติกับคนต่างชาติ เอกสารประกอบด้วย หนังสือเดินทาง และหนังสือรับรองสถานภาพการสมรสที่แสดงว่าไม่มีคู่สมรสในขณะที่จะจดสมรส ทั้งนี้ การจดทะเบียนสมรสเท่าเทียม ทั้ง 3 กรณี จะต้องมีพยาน 2 คน ซึ่งเป็นบุคคลที่บรรลุนิติภาวะ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง