วอนรับกม.นิรโทษ4ฉบับ แล้วไปถกต่อในชั้นกมธ.

"ธนกร" ย้ำชัด รทสช.ค้านร่าง กม.นิรโทษกรรมคดี ม.112-คดีโกง ลั่นไม่ยอมให้ใครล้างผิดพวกหมิ่นเบื้องสูง ยันเห็นด้วยแค่คดีการเมือง-เหตุไม่รุนแรง หนุนร่าง พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข "สส.ปชน." วอนทุกฝ่ายโหวตรับทุกร่าง กม.แล้วค่อยไปถกต่อในชั้น กมธ. ประธานญาติพฤษภา 35 เสียใจหากร่าง กม.นิรโทษ 4 ฉบับตกค้าง จี้รัฐบาลนิรโทษคดีการเมืองได้แล้ว เครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชนบี้ รบ.อย่าใช้ กม.นิรโทษเป็นตัวประกันดันร่าง กม.กาสิโน จี้นิรโทษทุกคดีรวม ม.112  

เมื่อวันที่ 7 เมษายน นายธนกร วังบุญคงชนะ รองหัวหน้าพรรคและ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เปิดเผยว่า ในวันพุธที่ 9 เมษายนนี้ สภาผู้แทนราษฎรจะมีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรมทั้ง 4 ฉบับ โดยตนและ สส.พรรค รทสช.ทั้ง 36 คน พร้อมให้การสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ. ... ที่นายวิชัย สุดสวาสดิ์ สส.ชุมพร  กับคณะพรรครวมไทยสร้างชาติเป็นผู้เสนออย่างเต็มที่ เพราะร่างของ รทสช.ได้พิจารณาจากคดีทางการเมืองที่มีโทษไม่รุนแรงถึงขั้นมีผู้เสียชีวิต และพิจารณาให้ทุกกลุ่ม ทุกฝ่ายการเมืองโดยไม่เลือกปฏิบัติ และต้องไม่รวมคดีการทุจริตประพฤติมิชอบ โดยมั่นใจว่าร่างกฎหมายดังกล่าวของ รทสช.จะสร้างความปรองดองสมานฉันท์ทางการเมือง ทำให้ประเทศชาติเกิดสันติสุขได้จริง

นายธนกรย้ำจุดยืนว่า กฎหมายนิรโทษกรรมทางการเมืองจะต้องไม่มีการล้างผิด ยกโทษให้ผู้ที่กระทำความผิดคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ตามที่มีบางพรรคการเมืองเสนอเข้ามา เพราะถือว่าเป็นความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งตนในฐานะ สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ และเชื่อว่า สส.ทุกพรรคผู้ที่มีความจงรักภักดี ไม่เห็นชอบให้ยกโทษแก่คดีร้ายแรงดังกล่าวอย่างแน่นอน

 “ผมย้ำจุดยืนชัดเจนมาตลอด คัดค้านไม่เอาด้วยที่จะมีการนิรโทษกรรม ยกโทษความผิดให้กับพวกหมิ่นสถาบันเบื้องสูง เพราะเป็นความผิดร้ายแรงทำร้ายจิตใจคนไทยทั้งชาติ และสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เหนือการเมือง สส.ทุกคนทุกพรรคไม่เห็นด้วยแน่นอน ยกเว้นแค่บางพรรคที่เสนอเข้าสภามา ซึ่งก็เชื่อว่าเมื่อถึงวาระพิจารณาของพรรคนี้ก็จะถูกคว่ำไม่มีใครเห็นชอบแน่นอน หากจะเริ่มต้นการเมืองให้สร้างสรรค์ปรองดอง และยึดผลประโยชน์ของชาติเป็นหลักก็ต้องยึดความถูกต้องด้วย” นายธนกรระบุ

ด้านนายวีรนันท์ ฮวดศรี หรือทนายป๊อก สส.ขอนแก่น พรรคประชาชน (ปชน.) และเป็นอดีตทนายความศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน กล่าวถึงวาระพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ทั้ง 4 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับการนิรโทษกรรมคดีการเมือง ซึ่งจะมีการพิจารณาต่อเนื่องจากร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรว่า เบื้องต้นคาดว่าในการพิจารณาอาจจะไปถึงร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม หากการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงเสร็จเร็ว  แต่ตนไม่แน่ใจเหมือนกันว่าสมาชิกทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ที่ร่วมอภิปรายร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงจะมีมากน้อยแค่ไหน เพราะก็เป็นกฎหมายที่สังคมให้ความสนใจ อาจจะมีผู้อภิปรายเยอะ คงต้องรอดูหน้างานอีกครั้ง

ถามว่าเห็นด้วยหรือไม่กับกรณีที่นายรังสิมันต์ โรม  สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรค ปชน. ระบุว่าพรรคเพื่อไทยใช้ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมมาเป็นตัวประกัน นายวีรนันท์กล่าวว่า ความคิดเห็นเป็นไปในทิศทางที่คล้ายกัน เพราะการเลื่อนร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิง ซึ่งเป็นวาระด่วน ขึ้นมาแซงคิววาระอื่น ก็หนีบเอาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมมาด้วย

เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่หากมีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม แล้วความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จะถูกปัดตกไป นายวีรนันท์มองว่า จากทั้ง 4 ร่างมีแค่ร่างของนายชัยธวัช ตุลาธน อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่มีการระบุถึงความผิดมาตรา 112 ไว้ เท่ากับว่าในความเห็นเบื้องต้นนั้น เราเห็นว่าทุกฝ่ายมองการนิรโทษกรรมเป็นเรื่องสำคัญ ส่วนจะมีการปัดตก ม.112 หรือไม่นั้นต้องรอดูหน้างานอีกครั้ง ส่วนตัวอยากให้รับทุกร่างเข้าไปก่อน แล้วค่อยไปพิจารณาต่อในชั้น กมธ.สำหรับเงื่อนไขที่ว่าจะต้องมีการกำหนดแบบใด หรือจะตั้งคณะกรรมการชุดไหนเพื่อกลั่นกรองพิจารณา

"ใจจริงอยากให้ถอยหลังคนละก้าว แล้วกลับมาดูว่า ทุกคนปรารถนาดีหมด เพราะเราก็เห็นร่วมกันแล้วว่าการนิรโทษกรรมเป็นเรื่องสำคัญ และเป็นทางออกของปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม เพื่อให้สังคมมันขยับไปข้างหน้า แต่ในเนื้อหารายละเอียดอาจจะเห็นต่างกันบ้าง จึงอยากวิงวอนทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้านก็ดี หรือฝ่ายรัฐบาลก็ดี เพื่อนสมาชิกที่อยู่ในการประชุมสภาวันนั้น อยากให้รับทุกร่าง" นายวีรนันท์กล่าวทิ้งท้าย

นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา ๓๕ กล่าวว่า เป็นที่น่าเสียใจอย่างยิ่งที่มีการเลื่อนกฎหมายกาสิโนขึ้นมาพิจารณาก่อนกฎหมายนิรโทษกรรมคดีทางการเมือง เท่ากับว่ารัฐบาลให้ความสำคัญเรื่องบ่อนการพนันมากกว่าเรื่องความสามัคคีปรองดองของคนในชาติ และอาจทำให้ร่างกฎหมายทั้ง 4 ฉบับค้างการพิจารณา ซึ่งปัจจุบันสังคมไทยยังมีความแตกแยกทางสังคม ขาดความรักสามัคคี ความขัดแย้งในอดีตไม่ถูกคลี่คลาย รัฐบาลยังไม่ออกกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อก้าวข้ามความขัดแย้งสู่ความรุ่งโรจน์ของชาติร่วมกัน ทั้งที่คนในรัฐบาลก็มีส่วนอยู่มาก จึงถึงเวลาต้องเร่งนิรโทษกรรมได้แล้ว

 “บทเรียนจากเหตุการณ์พฤษภา ๓๕ เป็นตัวอย่างที่พ่อหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงสอนสั่งไว้ ทำให้เกิดความสามัคคีของคนในชาติ รัชกาลที่ 10 ได้สืบสานรักษาต่อยอดถึงทุกวันนี้ โดยรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ควรเอาบทเรียนในอดีตเป็นอุทาหรณ์ทางการเมืองที่สำคัญ แม้ผู้ใหญ่บางคนในรัฐบาลพยายามให้ความคิดเลอะเทอะ ลืมเลือนความเจ็บปวดที่เคยประสบในอดีต ดังนั้นจึงควรนิรโทษกรรมคดีทางการเมืองโดยเร็ว และสนับสนุนงบประมาณในการก่อสร้างอนุสาวรีย์อนุสรณ์สถานพฤษภาประชาธรรม ตามมติ ครม.สมัยรัฐบาลนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งประชาชนร่วมกันสร้างแล้วแต่ยังไม่สมบูรณ์ เพื่อเป็นสัญลักษณ์เตือนใจประชาชนไม่ให้เกิดความรุนแรง และเป็นอุทาหรณ์ทางประวัติศาสตร์ทางการเมือง ซึ่งจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการปรองดองของประชาชนร่วมกันต่อไป” นายอดุลย์กล่าว

ทั้งนี้ เครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชนได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลมีความจริงใจ อย่าใช้กฎหมายนิรโทษกรรมเป็นตัวประกันเพื่อผลักดัน กม.สถานบันเทิงในวันที่ 9 เม.ย.นี้ และมีข้อเรียกร้องดังนี้ 1.ขอให้รัฐบาลแสดงความจริงใจในการยกเลิกการดำเนินคดีความจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง โดยการเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับของคณะรัฐมนตรี มาประกอบกับร่างที่เสนอโดยพรรคการเมืองและโดยการเข้าชื่อของประชาชน พร้อมกับประกาศแนวทางของรัฐบาลให้ชัดเจนก่อนการเริ่มพิจารณาว่า สส.ฝ่ายรัฐบาลพร้อมจะลงมติรับหลักการของร่างทุกฉบับ เพื่อนำรายละเอียดที่อาจยังเป็นข้อสงสัยหรือเป็นข้อเห็นต่างไปถกเถียงกันในวาระที่สอง เพื่อลดความขัดแย้งและความตึงเครียดในระหว่างการอภิปรายและพิจารณา และลดข้อครหาว่ารัฐบาลใช้ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชนเป็นตัวประกันเพื่อผลักดันกาสิโนเท่านั้น

2.ขอให้ สส.ฝ่ายรัฐบาลยืนยันและรักษามาตรฐานที่เคยเกิดขึ้นมาในประวัติศาสตร์ไทย คือการนิรโทษกรรมให้กับคดีความที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งทางการเมือง โดยพิจารณาช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์เป็นสำคัญ และนิรโทษกรรมให้คดีความทั้งหมดโดยไม่แยกแยะตามประเภทข้อหา เช่นเดียวกับการนิรโทษกรรมให้คดีหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516, 6 ตุลาคม 2519, พฤษภาทมิฬ 2535 และเหตุการณ์อื่นๆ ด้วย

3.ขอให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร แสดงถึงความจริงใจของฝ่ายรัฐบาลที่ต้องการพิจารณาและลงมติร่าง พ.ร.บ.ทั้งสองประเด็น ตามกระบวนการของสภาไม่น้อยไปกว่ากัน และไม่เอาประเด็นใดเป็นตัวประกันของอีกประเด็นหนึ่ง โดยการจัดสรรเวลาการอภิปรายให้แก่สภาอย่างเต็มที่ก่อนการลงมติ ซึ่งอาจเป็นการขยายเวลาไปยังวันที่ 10 เมษายน 2568 หรือเปิดประชุมสมัยวิสามัญเพิ่มสักหนึ่งนัด เพื่อพิจารณาทั้งสองประเด็นแยกกันคนละวัน หรืออาจใช้เวลามากกว่าหนึ่งวันต่อหนึ่งเรื่อง ตามความจำเป็นที่จะต้องอภิปรายลงรายละเอียด โดยการปรึกษากับพรรคการเมืองต่างๆ ในสภาและกำหนดเวลาให้เพียงพอ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง