สภา กห.ถกรับมือสงครามการค้าทรัมป์ ชี้โดนกันระนาวทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ “บิ๊กอ้วน” ฮึ่มเตรียมหมัดสวนกลับพ่อค้าอาวุธอเมริกา ลั่นไม่โอนอ่อนซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ด้าน “ผู้นำฝ่ายค้านฯ” ชี้ไทยต้องหลีกเลี่ยงเส้นทางวิกฤตเศรษฐกิจประเทศ ด้าน "อดีตทูต" แนะช่องใช้ “ทูตไทย” งดใช้บริการ “ล็อบบี้ยิสต์” อิ๊งค์สวนกลับมูดี้ส์แค่มุมมอง ด้าน สบน.ยันไม่เกี่ยวรัฐบาลกู้ 5 แสนล้าน แจงยิบไม่สะเทือนเพดานหนี้
เมื่อวันพุธ ที่กองบัญชาการกองทัพไทย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุหลังการประชุมสภากลาโหมสัญจรที่กองบัญชาการกองทัพไทยว่า ที่ประชุมได้รับทราบ สรุปสถานการณ์ โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงนโยบายของทางสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภูมิภาคต่างๆ อย่างไรบ้าง รวมถึงภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะถือว่าเป็นพื้นที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ทั้งนี้ ไทยจะต้องมีการปรับตัว โดยต้องวางบทบาทต่อมหาอำนาจต่างๆ ให้สมดุลและเหมาะสม เพราะสองมหาอำนาจกำลังทำสงครามทางการค้า และส่งผลกระทบต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยตรง
เมื่อถามว่า กองทัพจะต้องเตรียมตั้งรับนโยบายของทางสหรัฐในเชิงรุกอย่างไรนั้น นายภูมิธรรมย้ำว่า ประเด็นสำคัญคือก็ต้องเตรียมการภายในประเทศ กรณีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังพูดยาก เพราะเกิดการเปลี่ยนแปลง พรุ่งนี้พูดอย่างมะรืนพูดอย่าง ดังนั้นถ้ากังวลใจในเรื่องนี้มากเราจะทำตัวไม่ถูก ดังนั้นทุกคนต้องนิ่งอยู่กับที่และดำเนินการที่เป็นประโยชน์กับประเทศให้มากที่สุด ต้องพร้อมปรับตัว
"หากจะมีการเจรจา อยากให้ไทยมีอาวุธยุทโธปกรณ์ก็ยินดีพิจารณา แต่ก็ต้องคำนึงถึงปัญหาความต้องการของไทยด้วย ดังนั้นจะให้มาซื้อในสิ่งที่ไม่ต้องการก็คงไม่ซื้อ ทั้งนี้ ประเด็นเหล่านี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่ง ไม่ใช่ประเด็นที่จะมาเสนอ แต่เป็นสิ่งที่เราคาดเดาไว้ ซึ่งไทยก็ต้องดูและเตรียมการไว้ ต้องยืนอยู่บนพื้นฐานให้ไทยเข้มแข็งและแข็งแรงตามศักยภาพของเรา ยืนอยู่ได้ ช่วยกันได้ก็ไม่มีปัญหา" นายภูมิธรรมระบุ
ส่วนกรณีการแจ้งความดำเนินคดีกับพอล แชมเบอร์ส นักวิชาการสัญชาติอเมริกัน จะเป็นเงื่อนไขหนึ่งอุปสรรคในการเจรจากับสหรัฐหรือไม่นั้น นายภูมิธรรมกล่าวว่า ย้ำว่าเรื่องนี้ยังไม่มีเงื่อนไขของสหรัฐ การที่ตั้งคำถามมาไม่รู้ว่าเอาข้อมูลมาจากไหน และการที่ระบุว่ามีข้อมูลจะมาจากนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีนั้น ก็เป็นเรื่องของนายทักษิณ และเรื่องนี้ย้ำว่าไม่มีท่าทีที่ชัดเจนจากทางสหรัฐว่าจะต้องดำเนินการเช่นไร แต่การดำเนินการทั้งหมดต้องคำนึงถึงกระบวนการทางกฎหมาย
นายภูมิธรรมระบุว่า ไม่มีดีลอะไรหรือนำมาทำเป็นเงื่อนไขใดการตั้งข้อหาและแจ้งความของทางทหาร ซึ่งก็ว่าไปตามกระบวนการ และต้องตรวจสอบให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย เชื่อว่าสหรัฐจะเข้าใจ เพราะเป็นกระบวนการตามกฎหมายภายในประเทศ
เลิกล็อบบี้ยิสต์
ที่โรงแรมโนโวเทล แพลทินัม ประตูน้ำ กทม. นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ระบุว่า สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือจะต้องมีความชัดเจนในการเข้าไปเจรจากับสหรัฐ เพราะหากยิ่งเราเข้าไปเจรจาช้า แต้มต่อหรือไพ่ต่อรองของเราจะยิ่งถูกทำให้น้อยลงเรื่อยๆ เพราะประเทศอื่นๆ อาจจะสามารถเจรจาได้สำเร็จไปก่อนแล้ว รัฐบาลควรมีการสื่อสารให้ชัดเจน ให้ทุกคนเห็นภาพตรงกันว่า จะดำเนินการอย่างไร ภาคเอกชนและภาคแรงงานในประเทศไทยจะต้องมีการปรับตัวอย่างไรบ้าง
"สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เราต้องพยายามหลีกเลี่ยงฉากทัศน์ที่เลวร้ายที่สุดสำหรับประเทศไทย ทั้งการส่งออกหดตัวจากผลกระทบที่เกิดขึ้น สินค้าต่างประเทศล้นทะลักเข้าประเทศไทยจำนวนมาก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานและระบบเศรษฐกิจภายในประเทศจนอาจเกิดวิกฤตเศรษฐกิจอีกครั้งในอนาคต ดังนั้น สิ่งที่พวกเราต้องเตรียมรับมือกันในตอนนี้คือเตรียมมาตรการรับมือเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น” นายณัฐพงษ์ระบุ
ด้านนายพิศาล มาณวพัฒน์ อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐอเมริกา ระบุว่า สำหรับการล็อบบี้ทรัมป์ ซึ่งเคยพูดในหลายโอกาสไปแล้วว่าทุกอย่างของทรัมป์เป็นโรคหลงตัวเอง วิธีทางการทูตในวอชิงตัน ดี.ซี. คนที่รู้จักทรัมป์ดีและคนที่สามารถเข้าถึงฝ่ายต่างๆ ได้ก็มีอยู่แล้ว คือทูตของเรา ใช้ล็อบบี้ยิสต์ต่อเมื่อทูตของเราทำไม่ได้ ไม่ต้องไปกดดันรัฐบาลว่ามีล็อบบี้ยิสต์แล้วหรือยัง ไม่จำเป็น ต้องเสียเวลาเสียเงิน จะใช้ก็ใช้เป็นงานๆ ไป ที่เราจะวัดความสามารถของล็อบบี้ยิสต์ ไม่ใช่ไปจ่ายเป็นรายเดือนให้เขา เสียเวลา เสียเงินฟรี เพราะว่าเราทำได้ดีกว่า
อิ๊งค์สวนมูดี้ส์
ที่โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย (ชั้น 10) ถนนราชดำริ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ "ภารกิจพลิกฟื้นเศรษฐกิจ : Mission Thailand" ในงาน TNN DINNER TALK ที่สถานีโทรทัศน์ TNN จัดขึ้น โดยมีนายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ รอให้การต้อนรับ โดย น.ส.แพทองธารกล่าวตอนหนึ่งว่า วันนี้โลกเปลี่ยนเร็วมาก แต่ขอให้ประชาชนมั่นใจว่ารัฐบาลรับรู้การเปลี่ยนแปลง รู้ปัญหาอุปสรรคเรื่องมาตรการภาษีของสหรัฐ ไม่ใช่แค่เราที่เป็นห่วง ทั่วโลกเป็นห่วงเช่นกัน
“วันที่ 29 ม.ย. บริษัทมูดี้ส์เรทติ้งส์ออกมาปรับอันดับความน่าเชื่อถือของไทยลงไปหนึ่งระดับ เป็นเพียงมุมมอง ไม่ใช่การให้คะแนนหรือให้เรตติ้ง ไม่ได้หมายความว่าประเทศไทยขาดความเชื่อมั่น ซึ่งปัจจัยหนึ่งในการวัดของมูดี้ส์มาจากกำแพงภาษี ที่ทั่วโลกเจอเหมือนกัน ในปี 2008 เราเคยถูกปรับลดและปรับขึ้นกลับมาได้" น.ส.แพทองธารระบุ
น.ส.แพทองธารกล่าวว่า เราพอจะรับทราบว่าเขามองเศรษฐกิจอ่อนแอหรือไม่จากเรื่องกำแพงภาษีของสหรัฐที่ทำให้ปั่นป่วน ภาระหนี้ต่อเนื่อง ความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้น เป็นอุปสรรคต่อการขับเคลื่อนนโยบายของประเทศสำเร็จได้ยากหรือไม่ นี้คือสิ่งที่เขามอง สิ่งแรกที่ต้องทำคือต้องไม่ตกหล่นสิ่งที่เขากังวล เตรียมการเรื่องเศรษฐกิจ มุ่งหาเงินเข้าประเทศทำให้จีดีพีโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง สร้างอุตสาหกรรมใหม่ พัฒนาการวิจัย ให้ภาพประเทศไทยดีขึ้น ทั้งนี้ จีดีพีปี 67 อยู่ที่ 2.5 แต่ท้ายปีเป็น 3.2 เป็นแนวทางเราต้องผลักดันต่อเนื่อง แต่ปีนี้มีอุปสรรคแผ่นดินไหวและกำแพงพาษี แต่รัฐบาลก็หาทางออก และร่วมกับภาครัฐ เอกชน เพื่อหาคำตอบจริงๆ โดยการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นคือการปลดล็อกหนี้ เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น
น.ส.แพทองธารระบุว่า ระยะกลางและยาวมีมาตรการเช่นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแบบพุ่งเป้า เชื่อมโยงประเทศไทยและโลกเข้าหากัน ต่อยอดสินค้าการเกษตรและการท่องเที่ยว เช่นรถไฟความเร็วสูง รถไฟรางคู่ สนามบิน ท่าเรือ และแลนด์บริดจ์ ให้ไทยเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์เพื่อทำเงินเข้าประเทศได้อีกเยอะ ที่สำคัญคือการพัฒนาคนดึงดูดการลงทุน
"ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของการลงทุนและภาพรวมเศรษฐกิจที่รัฐบาลมองเห็นและสร้างปัญหาทั้งในประเทศและนอกประเทศ แน่นอนเรื่องภาษีเป็นสิ่งที่ทุกคนเป็นห่วง เรามีการพูดกันแบบไม่เป็นทางการอยู่เสมอไม่มีขาดตอน อันนี้ยืนยันได้ แต่สมมุติเราทำดีล คำว่าดีลเป็นสิ่งที่ฮิตทางการเมือง จะดีลลับหรืออะไรก็ตาม แต่สหรัฐมีคนเข้ามาดีลด้วยในเรื่องนี้จากหลายประเทศมากมาย ถามว่าเขาคงไม่สามารถเปิดเผยได้เช่นกัน และประเทศต่างๆ ก็ไม่สามารถพูดออกไมค์ได้ว่าฉันจะทำหนึ่งสองสามสี่ เพราะไม่ใช่การดีล การคุยกันคือการตกลงกัน ถือเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะเรื่องสำคัญ เรื่องนี้สำคัญอย่างมาก เราเจรจาต่อรองในเรื่องประเทศเราและจับกลุ่มกับประเทศอาเซียนเพื่อให้การต่อรองเราเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น ขอให้ประชาชนมั่นใจว่า เรามีคนเก่งและทีมที่เก่งทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อให้การต่อรองเกิดผลและกระทบน้อยที่สุดต่อประเทศของเรา เศรษฐกิจที่มั่นคงคือเป้าหมายของรัฐบาล" น.ส.แพทองธารระบุ
ด้านนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ ระบุว่า มูดี้ส์ตัดสินประเทศไทยเร็วไปหน่อย และน่าจะใช้เหตุผลของการถูกสหรัฐเก็บภาษีตอบโต้ที่สูงถึง 36% มาประกอบการพิจารณา ทั้งๆ ที่ไทยยังเจรจากับสหรัฐไม่เสร็จ โดยขณะนี้ไทยอยู่ระหว่างการจัดทำรายละเอียดของการเจรจา ที่ต้องการทำให้เสร็จก่อนแล้วเจรจาครั้งเดียวให้จบเลย ล่าสุดทำข้อมูลได้มากแล้ว คาดว่าน่าจะเห็นการเจรจาได้จริงๆ ในเดือน พ.ค.นี้
ไม่สะเทือนหนี้
ด้านนายพชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กล่าวว่า ยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับการที่รัฐบาลส่งสัญญาณว่าอาจจะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยเม็ดเงินอีก 5 แสนล้านบาท แต่ยอมรับว่าการปรับ Outlook ของประเทศไทยจากมูดี้ส์ในครั้งนี้อาจจะมีผลบ้างในเรื่องการปรับตัวเข้าสู่สมดุลทางการคลัง ที่มูดี้ส์มองว่าอาจจะไม่เป็นไปตามเป้าหมายของแผนการคลังระยะปานกลาง เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังมีความท้าทายในเชิงโครงสร้างและการเข้าสู่สังคมสูงยัง ขณะที่การเติบโตของผลิตภาพในภาคการผลิตยังอยู่ระดับต่ำ อาจกระทบขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้
ขณะที่การบริหารจัดการหนี้สาธารณะ ยืนยันว่ายังอยู่ในบริบทที่สามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมูดี้ส์เองยังประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวไม่ต่ำกว่า 2% ขณะที่ IMF ประเมินว่าจะขยายตัวต่ำกว่า 1.8% ก็ยังไม่มีผลกระทบกับการบริหารจัดการหนี้ของไทยแต่อย่างใด
“หลังจากที่มูดี้ส์ได้มีการปรับลดคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจของไทยลงมาที่ 2% นั้น สบน.ได้มีการประเมินว่าสัดส่วนหนี้สาธารณะจะพุ่งไปแตะ 70% ต่อจีดีพีในปี 2570 หรือหากเศรษฐกิจขยายตัวลงไปถึง 1.5% หนี้สาธารณะก็อาจจะเกิน 70% ต่อจีดีพีเล็กน้อยในปี 2570 ดังนั้นหากยังอยู่ในบริบทนี้ สบน.เชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเกี่ยวกับการบริหารจัดการหนี้” นายพชรระบุ
นายพชรกล่าวอีกว่า หลังจากนี้จะมีการจัดอันดับจากอีก 2 สถาบัน คือ S&P และฟิทช์ ซึ่งน่าจะมาในช่วงปลายปีงบประมาณ 2568 ภายใต้ความผันผวนในตลาดโลกที่ค่อนข้างเร็ว ก็อาจจะมีข่าวดีเกิดขึ้นได้ ดังนั้นระหว่างนี้มีเวลาอีกหลายเดือน รัฐบาลจะต้องดำเนินการทั้งการปฏิรูประบบภาษี เพื่อให้เห็นเป็นรูปธรรมว่าสามารถรองรับความผันผวนที่จะเกิดขึ้นได้อย่างยั่งยืนและมั่นคง ซึ่งเป็นเรื่องในเชิงนโยบายที่เชื่อว่ากระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเร่งดำเนินการอยู่แล้ว.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ลาก‘ภท.’เอี่ยวฮั้วสว. ปูด10ชื่อทั้งรมช.พณ.-อดีตสส./สีน้ำเงินชงคุ้ยตัวสำรองด้วย
สภาสูงเรียงหน้าเข้ารับทราบข้อหาจาก กกต.คดีฮั้ว ลั่นไร้กังวลพร้อมชี้แจง “สิทธิกร” ข้องใจดีเอสไอ ต่อไปการเลือกตั้งทุกแบบมีอำนาจตรวจสอบ
‘อนุทิน’มั่นใจรบ.อยู่ครบเทอม
"อนุทิน" คัมแบ็กทํางานวันแรกหลังเปลี่ยนเลนส์ตา ยัน ภท.แพ็กกับทุกพรรค
‘พลเดช’นอนคุก ล่าตัว‘บินลิง วู’ เชื่อมโยงไชน่าฯ
ศาลอาญาไม่ให้ประกัน “พลเดช” กก.บริษัท ว.และสหายฯ หนึ่งในก๊วนผู้ต้องหาเอี่ยวตึก สตง.ถล่ม
สธ.ยันวีโตแพทยสภาได้ ‘ธิดา’จี้แม้วติดคุกเพื่อลูก
"สมศักดิ์" เผยได้รับหนังสือขอความเป็นธรรมแพทย์ รพ.ตร.แล้ว ส่ง คกก.ตรวจสอบ "โฆษก สธ." โต้ "สว.วีระพันธ์"
เบรกแจกหมื่นเฟส3ใช้กระตุ้นศก.
นายกฯ ถกบอร์ดกระตุ้น ศก. ยอมรับภาษีสหรัฐฯ กระทบทั่วโลก "รมว.คลัง" ยอมรับต้องทบทวนงบดิจิทัลวอลเล็ต 1.57 แสนล้านบาท
เรืองไกรบี้อิ๊งค์ ยกเลิกมติครม. ค่าคุมตึก‘สตง.’
“เปรมชัย-พิมล” นอนคุกคืนแรก ถูกให้กักโรคโควิด-19 ที่แดนพยาบาล เหตุสูงอายุ